เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..

บทกลอนไพเราะ => บทประพันธ์อันน่าประทับใจ => ข้อความที่เริ่มโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15 ตุลาคม, 2561, 09:32:03 AM



หัวข้อ: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15 ตุลาคม, 2561, 09:32:03 AM
 


(https://preview.ibb.co/d3dWFf/44100032-2023923494340996-7152672847805022208-n.jpg) (https://ibb.co/kNSQaf)


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15 ตุลาคม, 2561, 09:33:00 AM
                                 
 
เพลงยาวแทรกกลบท

 เรื่อง
 แม่ศรีวรรณทอง
 ตำนานบ้านย่านดินแดง

 ธนุ   เสนสิงห์
 ประพันธ์

                                  


 ต่อเติมเสริมฝัน    อัศจรรย์ดังใจนึก
 บันทึกประวัติพื้นบ้าน   สืบสานตำนานท้องถิ่น


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15 ตุลาคม, 2561, 09:33:58 AM


                                        แม่ศรีวรรณทอง

             ISBN ;         978 – 974 – 7291 – 52 – 9
                  ผู้ประพันธ์/ เจ้าของ ;      ธนุ   เสนสิงห์
                      พระแสงการไฟฟ้า-ก่อสร้าง  อ.พระแสง  
                        สุราษฎร์ธานี  84210
                  ประสานงานการพิมพ์ ;      สมาคมกวีร่วมสมัย
                  ประธานดำเนินการ ;      พ.ท. สมพงษ์  โหละสุต
                  บรรณาธิการอำนวยการ ;   นายประจักษ์  สิทธิกรทวีชัย
                  บรรณาธิการบริหาร ;      นายมังกร  แพ่งต่าย
            คณะที่ปรึกษา ;         นายณรงค์  อิ่มเย็น
                     นายสมศักดิ์  ศรีเอี่ยมกุล
                     นางบุญล้อม  โหละสุต
                     นางเพชรีย์  แพ่งต่าย
                  บรรณาธิการผู้พิมพ์ ;      นายสุวัฒน์  ไวจรรยา
            พิสูจน์อักษร ;         กองบรรณาธิการ
            ภาพปก ;         ศิลปินกลุ่มเมืองสุราษฎร์  
            พิมพ์ครั้งที่ 1 ;         ตุลาคม  2550
            จำนวนพิมพ์ ;         ๑,๐๐๐  เล่ม

 
              พิมพ์ที่ บริษัทธรรมรักษ์การพิมพ์ จำกัด
                 1/5-6   ถนนไกรเพชร  ต.หน้าเมือง  อ.เมืองราชบุรี  จ.ราชบุรี  
                โทร. 0 3232 5534-5. 0 3233 7518   โทรสาร   0 3231 4147
                   นายธนิตศักดิ์  พิชิตศักดิ์พงศ์  เจ้าของ/ผู้จัดการ
[/size]



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15 ตุลาคม, 2561, 09:35:02 AM
(https://preview.ibb.co/b2cSML/44083895-337366900368113-4337561955553247232-n.jpg) (https://ibb.co/cZD1gL)


 

                                                   อาเศียรวาท
                                                    ***********
                จากฟ้ามาสู่พื้นดินชื่นฉ่ำ           เย็นหยาดน้ำพระหทัยดุจสายฝน
         พระบารมีแผ่ครองทุกผองชน           ทั่วแห่งหนจึงเกษมสุขเปรมปรีดิ์
          แปดสิบพรรษามหาราช                 ไทยทั้งชาติหลอมใจในทุกที่
         เป็นหนึ่งเดียวด้วยรู้รักสามัคคี           ถวายแด่พระภูมี ทรงพระเจริญ

                                  ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
                     ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้จัดทำหนังสือแม่ศรีวรรณทอง
                                 (นายสุวัฒน์  ไวจรรยา   ร้อยกรอง)

(ภาพเสด็จพระราชดำเนิน บ้านย่านดินแดง อ.พระแสง  เมื่อ   ๒๔
                                           กรกฎาคม  ๒๕๑๑)
 




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17 ตุลาคม, 2561, 09:28:30 AM
        
                                       ธนุ  เสนสิงห์ 7

                                   คำนิยม
                                   *******

              “แม่ศรีวรรณทอง” ที่มองเห็น
                นับว่าเป็น “เพลงยาว” ยอดเยี่ยมยิ่ง
                เป็นเรื่องเก่าเล่าขานกาลก่อนจริง
                “คุณธนุ  เสนสิงห์” สร้างตำนาน

                เขียน “กลอนเก้า” เคล้าคละ “กลบท”
                ครบทุกรส “ร้อยวลี” ที่สืบสาน
                เป็น “สื่อถ้อยร้อยกรอง” ของโบราณ
                เพื่อลูกหลานเหลนโหลนได้เรียนรู้

                เป็น “รากฐาน” จารึกประวัติศาสตร์
                คือเก่งกล้าสามารถจัดหมวดหมู่
                “วิสัยทัศน์” ชี้ให้เห็นความเป็นครู
                เพื่อเชิดชู “วรรณศิลป์” ท้องถิ่นไทย

                                       พันโท สมพงษ์  โหละสุต
                                       นายกสมาคมกวีร่วมสมัย




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17 ตุลาคม, 2561, 09:31:35 AM

 8 แม่ศรีวรรณทอง

                   คำนำ
                                

    เรื่อง “แม่ศรีวรรณทอง”นี้เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาช้านาน เคยเห็น
      เขียนรวมเป็นเล่มไว้เหมือนกัน
     แต่สำหรับเล่มนี้ คุณธนุ  เสนสิงห์  ผู้มีความเพียรพร้อมได้ประดิด-
     ประดอยร้อยกรองเป็นรูปแบบของกลอน ทำให้น่าอ่านยิ่งขึ้น  เรื่องราว
     จะเป็นเช่นไร ขอท่านผู้อ่านได้โปรดพลิกอ่านโดยเร็วพลัน
   สิ่งที่ผมได้จากการอ่าน ขอเรียนฝากไว้คือ ภูมิปัญญาของบรรพชน
     ของเรา  เรื่องท้องถิ่นทุกเรื่องที่เล่าขานหรือบันทึกไว้  ล้วนมีนัยะที่เป็น
     คติธรรมแฝงไว้  เพื่อเป็นความรู้ประเทืองปัญญา เพื่อสอนใจ  เพื่อให้
     เกิดสติ  ความระลึกได้ถึงความถูกต้อง   ความดีงามในการอยู่ร่วมกัน
     ให้เป็นปรกติสุข
   สังคมคนเรามักจะเกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งเย้ายวน   ต้องการสิ่งที่ชอบ
     ไม่ต้องการสิ่งที่ชัง  แก่งแย่งชิงดี ซึ่งล้วนเป็นโลกียวิสัย อันมี รัก โลภ
     โกรธ หลง.....ความทุกข์  พื้นฐานของคนเราคืออยากได้แล้วไม่ได้.....
     ไม่อยากได้แล้วได้...อยากมีอยากเป็นแล้วไม่มีไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ
     ไม่อยากมีไม่อยากเป็น...แล้วก็ต้องมีต้องเป็นอย่างที่ไม่ต้องการ........  
     การปลด ปลง การปล่อยวางนั้นมีวิธี แต่ก็เผลอสติทุกทีที่กิเลสมันมา
   แม่ศรีวรรณทอง เป็นเรื่องราวโลกียะอีกรูปแบบหนึ่ง   ถ้าใครอ่าน
     แล้วตรองตามอย่างผู้รู้เท่าทัน...จะรู้จะคิดได้ว่า... ไปทำอย่างนั้นทำไม..
     มาอาฆาตจองเวรกันอยู่ทำไม... ทำไมไม่ใช้ขันติธรรม... ทำไมไม่ใช้หลัก
     สามัคคีธรรม... ทำไมไม่ใช้อภัยทาน... ฯลฯ

 



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17 ตุลาคม, 2561, 09:32:28 AM

ทำไมจึงเกิด... ทำไมจึงเป็น... ทำไม... ก็เพราะว่า ความรัก ความโลภ
     ความโกรธ และความหลงนี่น่ะมันคอยปิดหูปิดตา คอยบังสติปัญญา ใคร
     ไม่อยู่ในเหตุการณ์ไม่รู้หรอก   เหมือนเพลงที่ร้อง....  “เธอไม่เจ็บเธอไม่รู้”
   ดังนั้น  เมื่อ(เธอ) ท่านผู้อ่านอ่านแล้ว คงจะได้อะไรต่อมิอะไรจากภูมิ-
     ปัญญาชาวบ้านมากมาย แล้วจะนึกออกทันทีว่า ถ้าสังคมมนุษย์อยู่ด้วยรัก
     มีความพร้อมด้วยศีลห้า... พวกเรา สรรพสัตว์ และธรรมชาติจะอยู่ร่วมกัน
     อย่างเป็นปรกติสุขที่สุด  ลองทบทวนดู ถ้าเราไม่เบียดเบียนกัน  ไม่ข่มเหง
     รังแกกัน ไม่ฆ่ากัน... ไม่ยินดีในทรัพย์สินของผู้อื่น....ไม่ล่วงละเมิดทางเพศ
     สตรีผู้มิใช่ภรรยาของตน..ไม่พูดปด... ไม่เป็นผู้มัวเมาในสิ่งเสพติดทั้งหลาย
     แล้วรักษาให้สมบูรณ์ โลกนี้จะสุขสันต์ ร่มเย็นและน่าอยู่เพียงใด ส่วนเรื่อง
     แม่ศรีวรรณทอง จะจบลงอย่างไรนั้นท่านลองอ่านดู

                                           มังกร  แพ่งต่าย
                                       บ้านร้อยฝัน กรุงเทพมหานคร
                                               ๒๘  มิถุนายน  ๒๕๕๐




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 ตุลาคม, 2561, 08:20:43 AM
    10 แม่ศรีวรรณทอง

         ความเป็นมา...เป็นไป...และจากใจผู้เขียน

                บ้านย่านดินแดง เป็นที่ตั้งของอำเภอพระแสง   จ.สุราษฎร์ธานี
           แต่เดิมการเดินทางเข้าสู่อำเภอนี้ อาศัยเพียง แม่น้ำตาปี และ คลองอีปัน
     เท่านั้น  เมื่อผ่านถึงย่านที่ตลิ่งสูงและมีสีแดงเข้มเป็นที่สังเกตได้ง่าย  ผู้ที่
     เดินเรือจะรู้ได้ทันทีว่าถิ่นนี้คือที่ตั้งชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองสุราษฎร์
     คือ  “บ้านย่านดินแดง”  อันมีตำนานเล่าขานต่อๆกันมาว่า ผู้ที่ก่อให้เกิด
     “ดินแดงดั่งเป็นสีเลือด”ตลอดย่านตลิ่งนั้นคือ พญาท่าข้าม พญายอดน้ำ
     และแม่ศรีวรรณทอง   ทั้งสามชื่อนี้เป็นที่รู้จักของคนสุราษฎร์และท้องถิ่น
     ใกล้เคียงเป็นอย่างดี    แต่ตำนานอันเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากมิได้บันทึกไว้
     เป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องจึงไม่ปะติดปะต่อ  ขาดหายเป็นห้วง ๆ ตอน ๆ
     ไม่มีที่มาที่ไป ซ้ำร้ายไปยิ่งกว่านั้นคือบางคนก็เล่าไปคนละที่ละทางเลย

     ผู้เขียนเห็นว่าตำนานเรื่องนี้มีคุณค่า  จึงได้นำเกล็ดสำคัญๆ มา
     สร้าง“โครงเรื่อง” ขึ้นใหม่ ให้มีที่มาที่ไปอย่างมีเหตุมีผล การดำเนินเรื่อง
     ได้สอดแทรกเรื่องราวความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่นแต่อดีตไว้     เช่น  
     การล่องซุง และการสัญจรทางเรือ  ซึ่งวิถีชีวิตในอดีตนั้น ในปัจจุบันนี้ได้
     เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วอย่างสิ้นเชิง  ทั้งผู้เขียนยังได้สอดแทรกตำนาน
     ที่มาของชื่อเรียกท้องถิ่นต่างๆ มาบันทึกไว้ด้วยเพื่อให้เรื่องราวและความ
     เป็นมาของแต่ละที่แต่ละถิ่นได้สืบทอดต่อๆ กันไป

    “แม่ศรีวรรณทอง” นี้ได้เคยพิมพ์มาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นลักษณะ
     ของกลอนพื้นบ้าน  มิได้เน้นเรื่องฉันทลักษณ์มากนัก   จึงมีทั้งสัมผัสซ้ำ
     ผิดเสียง ฯลฯ อยู่หลายที่หลายแห่งจนเมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นสมาชิก





หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 ตุลาคม, 2561, 08:22:02 AM

                                    ธนุ  เสนสิงห์ 11



     สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย และสมาชิกสมาคมกวีร่วมสมัยในเวลา
     ต่อมา ก็ได้รับการแนะนำจากผู้ใหญ่หลายท่านให้ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ถูก
     ต้องตามฉันทลักษณ์ ผู้เขียนจึงเริ่มปรับปรุงแก้ไขมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้
     อ่านหนังสือ“กลกลอน” ของ พันโท สมพงษ์ โหละสุต นายกสมาคมกวี
            ร่วมสมัย ซึ่งท่านกรุณามอบให้ไว้ศึกษา  จึงเหมือนเป็นการจุดประกายให้
     ในที่สุดตำนานพื้นบ้านเรื่อง “แม่ศรีวรรณทอง”  จึงมี “กลบท”แทรกไว้
     จนครบโดยเฉพาะกลอนกลบทที่เป็น “กลอนเก้า”

     อนึ่ง  ตั้งแต่เริ่มปรับปรุงมาจนถึงขณะนี้ ได้รับความกรุณาช่วย
     ตรวจแก้ไขจากครูกลอนหลายท่าน เช่น  คุณสุวัฒน์  ไวจรรยา อุปนายก
     สมาคมกวีร่วมสมัย  ท่านได้ให้คำแนะนำในเรื่องความหมายของ  “คำ”
     และ “เสียงวรรณยุกต์” ตลอดจนช่วยปรับปรุงแก้ไขให้ด้วยดี      โดย
     เฉพาะ พันโท สมพงษ์  โหละสุต  นายกสมาคมกวีร่วมสมัย นอกจากที่
     ผู้เขียนศึกษากลอนกลบทจากหนังสือของท่านแล้ว  ท่านยังได้ช่วยตรวจ
     หลายครั้งหลายคราว  เกินกว่าที่ใครจะเชื่อว่าจะมีครูบาอาจารย์ท่านใดที่
     ตั้งใจ อดทน และสละเวลาให้กับศิษย์ ดังที่ท่านได้ทุ่มเทให้กับผู้เขียนและ
     หนังสือ “แม่ศรีวรรณทอง”  เล่มนี้   ตลอดจนคุณบุญล้อม   โหละสุต
     คุณมังกร - คุณเพชรีย์  แพ่งต่าย   คุณณรงค์  อิ่มเย็น   คุณประจักษ์  
     สิทธิกรทวีชัย   คุณสมศักดิ์  ศรีเอี่ยมกุล   อดีตนายกสมาคมนักกลอน
     แห่งประเทศไทย และคุณธงชัย จุลินทร ที่ให้การช่วยเหลือแนะนำทั้งเป็น
     กำลังใจให้ด้วยดีตลอดมา  จึงขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน  ไว้ ณ ที่นี้

                                                     ธนุ  เสนสิงห์  
                                                พระแสง   สุราษฎร์ธานี




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 19 ตุลาคม, 2561, 08:58:10 AM

12 แม่ศรีวรรณทอง

      
                      จากใจ
                   ********

      คำนิยมชมชื่นนักจักสมค่า           
  ดั่งวาจาร้อยรับมาขับขาน
  เพียงเรื่องราวเล่าลับไปกับกาล       
  หากไร้ท่านขัดเกลาจนเงางาม

  ผิดพลาดมากยากจะแก้รู้แต่ต้น      
  เหตุและผลตอบได้หากใครถาม
  เขียนไปก่อนย้อนศึกษาพยายาม  
  นับเป็นความพลาดมหันต์ของขั้นตอน

    จาก...เม็ดหินดินทรายที่ไร้ค่า            
  มีราคาขึ้นด้วยครูผู้สั่งสอน
  หากผู้อ่านซ่านซึ้งใจในคำกลอน       
  คือดอกไม้แทนคำพร...บูชาครู

                     ธนุ  เสนสิงห์
         ประธานเครือข่ายสมาคมกวีร่วมสมัย



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 19 ตุลาคม, 2561, 08:59:16 AM


                                ธนุ  เสนสิงห์ 13

                      สารบัญ
                       ********

         ตอนที่ ๑   สวรรค์อาญา           หน้า  ๑๗-๒๔  

         ตอนที่ ๒   เสน่หาสามนงลักษณ์      หน้า  ๒๕-๓๕  

         ตอนที่ ๓   แรงรักแห่งอดีตชาติ       หน้า  ๓๖-๔๐

         ตอนที่ ๔   นิราศตาปี           หน้า  ๔๑-๕๘

         ตอนที่ ๕   กุมภีล์หลุมพราง        หน้า  ๕๙-๗๙

         ตอนที่ ๖   สละร่างเพื่อรัก            หน้า  ๘๐-๘๖

         ตอนที่ ๗   อกหักคืนดง           หน้า  ๘๗-๙๐
  
         ตอนที่ ๘   สัตว์สงคราม           หน้า  ๙๑-๑๐๓

         ตอนที่ ๙   ละกามโลกีย์           หน้า  ๑๐๔-๑๐๖





หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21 ตุลาคม, 2561, 03:17:03 PM


                                  ธนุ  เสนสิงห์ 17


                                                                               แม่ศรีวรรณทอง
                                                                                   ********    
                                   ตอนที่ ๑   สวรรค์อาญา  
        
                                                                  น้อมประณตคณาจารย์ผ่านยุคสมัย
                  สืบตำนาน“ย่านดินแดง”ให้แจ้งใจ      มอบ “แม่ศรีวรรณทอง”ไว้ในแผ่นดิน
                  ชุลีกรไหว้ครูต้นผู้ค้นคิด                  เริ่มประดิษฐ์เรียงอักษรเป็นกลอนศิลป์
                  ระรื่นรสพจนาทิพย์วาทิน           หยาดคำรินร้อยอักษรเป็นกลอนกานท์
                  แม้รู้น้อยด้อยศึกษาอุรารัก                     ด้วยใจภักดิ์ภูมิภาษาจักสืบสาน
                  ขอตั้งต้นเรื่องหนหลังครั้งโบราณ         ณ พิมานสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
                  สรวงสวรรค์ชั้นที่สองอันผ่องใส          มิว่าใครต่างมุ่งหมายไปให้ถึง
                  องค์อินทราเทวราช*ทรงรำพึง          เหตุใดจึงมิชื่นเย็นดั่งเป็นมา  

                 กลบทสะบัดสะบิ้ง

                      ยามนี้ในพระหทัยไยรุ่มไยร้อน        อาสน์เคยอ่อนมาแกร่งเป็นแผงเป็นผา
                  ทิพย์เนตรส่องเห็นสองเทวเทวา          ต่างโกรธาจู่โจมเข้าโรมเข้ารัน  
                  กามาพจรร้อนฤทธิ์สถิตสถาน            ทิพย์พิมานสะเทือนจนเลื่อนจนลั่น
                  ฤทธิ์โทษาอาฆาตฉกาจฉกรรจ์            จ้าละหวั่นปานแมนสรวงทะลวงทลาย        
                  ด้วยเทพสองปองอัปสรสวรรค์สวาท      หลายภพชาติผ่านพ้นยังขวนยังขวาย
                  หญิงมิปัดตัดรักสักชู้สักชาย              จึงวุ่นวายชิงดีทุกวี่ทุกวัน
                    สองชายต่างหมายปองครองหนึ่งหญิง  แก้ยากยิ่งจริงแน่แท้แม้สวรรค์
                  สองเทพท่านด้านความดีมีอนันต์          แต่รักนั้นทำให้เขลาจนเมามัว
                  เฝ้าขันแข่งแย่งชิงนางต่างหลงรัก         มิรู้จักคิดจำแนกแยกดีชั่ว
                  มีกึ่งดีกึ่งชั่วช้ามาพันพัว                   ไม่เกรงกลัวต้องตกไปในอบาย

      ------ ---------------------------------------------------------------------  
      อินทราเทวราช   เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
               และจาตุมหาราช  คือ พระอินทร์
 






หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22 ตุลาคม, 2561, 10:46:38 AM

องค์อินทร์กลุ้มรุ่มร้อนเร่าเศร้าในอก
คิดไม่ตกยังก้ำกึ่งซึ่งความหมาย
ส่งคดีอติเทพ*แล้วบรรยาย
เรื่องวุ่นวายป่วนสวรรค์ขอบัญชา

เมื่อครานั้นเอกองค์พระมุนินทร์
สามโลกสิ้นชี้โศกสุขทุกสังขาร์
อัตตาจิตอนิจจังอนัตตา
พระพรหมาท่านผู้สร้างสัพพัญญู

ตามกรรรมตัวทั้งชั่วดีวายชีวาตม์
ชดใช้ชาติเพิ่มเติมศักดิ์จักอดสู
เทพวนากรรมสนองตกต้องงู
ทพนทีกรรมนำสู่หมู่กุมภา

พินิจกรรมด้านความดีที่รักมั่น
ก้ำกึ่งกันกับชั่วมีที่หิงสา
แจงเหตุย้ำคำสำคัญพรหมบัญชา
เทพวนาก็เกิดพลันในกลางไพร

กรรมดีตนส่งผลเห็นเป็นมนุษย์
เพ็ญพิสุทธิ์ข้างขึ้นอันจันทร์สุกใส
ถึงเดือนแรมต้องรับกรรมที่ทำไว้
ร่างกลับกลายเป็นงูใหญ่ในพนา

แรมล่วงผ่านกาลข้างขึ้นให้คืนร่าง
ได้เดินทางกลับคืนสู่อยู่เคหา
เทพนทีก็ต้องเห็นเป็นกุมภา
อยู่ธาราจนเดือนขึ้นคืนร่างคน

เทพอัปสรศรีสุวรรณกัลยา
สู่พนาไพรผืนกว้างกึ่งกลางหน
ณ จุดอันบรรจบของสองสายชล
อีปันข้นไหลล่องมาลงตาปี

เป็นดินแดนแร้นแค้นนักไร้มรรคา
สายธาราใช้เดินทางต่างวิถี
มิเช่นนั้นต้องดั้นดงลัดพงพี
จึงไม่มีผู้ปรารถนามาเขตคาม

พระพรหมท่านเปล่งวาจาประกาศิต
ผู้ลิขิตเวไนยสัตว์โลกทั้งสาม
สิบเอ็ดภูมิสบสุขโศกโลกนิยาม
ติดห่วงกามตัณหากามาวจร

อบายภูมินั้นทั้งสี่มีนรก*
ที่ไหม้หมกผู้ชั่วช้ายากจะถอน
แปดขุมลึกอเวจีนิรันดร
ถูกบั่นทอนทรมานนานกัปกัลป์

ขึ้นเป็นเปรตอสูรกายเดียรัจฉาน
สิ่งบันดาลกรรมตนแท้มิแปรผัน
กรรมผ่อนคลายได้เป็นคนชนสามัญ
ดีสร้างสรรค์จนเป็นเลิศประเสริฐชน
--------------------------------------------------

อติเทพ เทวดาผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย คือ พระพรหม

นรก มี ๘ ขุม คือ (๑) สัญชีวะนรก (๒) กาฬสูตรนรก
(๓) สังฆาตนรก (๔) โรรุวนรก(๕) มหาโรรุวนรก
(๖) ตัปนรก (๗) ปตาปนนรก (๘) อเวจีนรก
[/color][/size]


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 23 ตุลาคม, 2561, 08:45:45 AM
                                                         ธนุ  เสนสิงห์ 19


หากระเริงเหลิงถลำสร้างกรรมชั่ว        
หลงเมามัวต้องตกต่ำซ้ำอีกหน
ด้วยกงกรรมดั่งกงเกวียนซ้ำเวียนวน    
จักหลุดพ้นเพราะผลบุญหนุนชีวี

สู่สวรรค์ลำดับไปได้หกชั้น              
ทิพย์สวรรค์ผู้ปรารถนาหาสุขศรี
ต้องไต่เต้าเท่าบุญผลอันตนมี          
ลำดับที่เริ่มจาตุมหาราชิกา

ดาวดึงส์ยามาดุสิตสองสามสี่          
ถึงนิมมานรดีชั้นที่ห้า
ปรนิมมิตวสวัตดีสุดเทวา              
ชั่วลงมาดีขึ้นเปลี่ยนหมุนเวียนวน

แม้นผู้ใดไม่มั่นหมายในวัฏฏะ              
ขันธ์สละปล่อยจิตว่างทางมรรคผล
ก่อนกลับโลกไปตามกรรมทั้งสามคน      
จำเหตุที่จรดลให้จงดี

อันเงื่อนปมความรักเก่าเจ้าทั้งสาม      
แก้ให้ตามเหตุและผลชนวิถี
ไม่พ้นวันชันษายี่สิบห้าปี                  
ช่วงชีวีอันชนชมนิยมกัน  
    
สิ้นปัจฉิมโอวาทพรหมในบัดดล        
ทั้งสามคนพลันลาล่วงสรวงสวรรค์
จุติลงมาตามกรรมทั้งสามครรภ์        
สถานอันตามเหมาะสมพรหมบัญชา
                                  
ล่าวถึงบ้านชื่อ“ท่าข้าม”นามกระเดื่อง  
ค้ารุ่งเรืองทุกกิจการนานนักหนา
ชาวจีนเรียกกัน“พานพาน”โบราณมา      
มีธาราผ่านหลายสายขยายไกล

ฝรั่งแขกมาลายูต่างรู้จัก                
เป็นแหล่งพักสำเภาผ่านกาลสมัย
ป็นเมืองท่าอาณาจักรศรีวิชัย          
ช่องข้ามไปสู่พังงาอันดามัน

จุดบรรจบสองสายน้ำนามยิ่งใหญ่        
ดั่งล่องไหลล่วงลงมาจากสวรรค์
แม่น้ำหลวงจากเขาหลวงห้วงอรัญ      
เมื่อครานั้นได้นามใหม่พระราชทาน

จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า      
แก่ผู้เฝ้า ณ สราญรมย์สถาน
เทียบอินเดีย “ตาปติ”มีมานาน          
ซึ่งไหลผ่านเมือง “สุรัฎฐ์”ธานี*

ด้วยสายน้ำสายใหญ่นี้มิแห้งเหือด        
เป็นสายเลือดสายใยรักร่วมศักดิ์ศรี
พระราชทานนามไว้ว่า “แม่ตาปี”      
อันนามนี้ผูกชีวิตจิตสัมพันธ์
-------------------------------------------------------------

สุรัฎฐ์ - สุราษฎร์ ในช่วงที่มีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองสุราษฎร์นี้สายงานการปกครอง
เคยขึ้นกับ มณฑลนครศรี -ธรรมราช ชุมพร ไชยา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบางช่วงเวลา จนเมื่อ
วันที่  ๒๙  กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๘  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯพระราชทานนามให้ใหม่ว่า
 “สุราษฎร์ธานี”  และหนึ่งเดือนต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ให้แม่น้ำหลวง ว่า “ตาปี”
 และโปรดเกล้าฯ ให้เรียก “มณฑลสุราษฎร์”     เมื่อมีการปกครองแบบจังหวัด  เมืองสุราษฎร์ธานี
ได้เป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานีตั้งแต่บัดนั้นมา


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24 ตุลาคม, 2561, 11:23:27 AM
 
นามมณฑลท่านแปลงให้ใช้ “สุราษฎร์”    
ด้วยหมายมาดให้ความดีนี้สร้างสรรค์
 “สุราษฎร์ธานี”เป็นศรีนามจังหวัดนั้น    
ท่านหมายมั่นให้รุ่งเรืองเมืองคนดี

 ลุปี “สองสี่ห้าแปด” พุทธศก      
ประกาศยกมงคลนามตามดิถี
แดนวัฒนธรรมล้ำค่าประเพณี       
อารามมีทั่วทุกถิ่นแผ่นดินธรรม

เหนือท่าข้ามอีกสายน้ำมาสมทบ      
จุดบรรจบสองสายธารนานฉนำ
เรือสินค้าขึ้นล่องเห็นเป็นประจำ     
ช่องทางนำสินอันดาเชื่อมตาปี    
                                                        
ชื่อสายน้ำนาม“พุมดวง”เดิมเรียกขาน    
ตามชื่อท่านเจ้าเมืองสองคีรีศรี*
แลเจ้าเมือง “ท่าทอง” ครองบุรี      
สองท่านนี้เคยสร้างชื่อจนลือชา

ณ ท้ายย่านมีบ้านเศรษฐีเก่า     
ทิ้งเรือนเหย้ากิจการเคยสรรหา
ท้อแท้ใจเมื่อไร้บุตรและธิดา        
กิจการค้าแม้ยิ่งใหญ่มิใยดี

ขายโรงร้านกิจการอันล้ำค่า              
สองยายตารอวันตายไร้สุขศรี
เหลือแต่เพียงบ่าวไพร่กระฎุมพี          
จะจนมีรักกันจริงไม่ทิ้งกัน

ทุกค่ำเช้าเฝ้าสวดมนต์ภาวนา          
ขอเมตตาทายาทจากสรวงสวรรค์
กาลเวลาล่วงเลยลับนับคืนวัน          
บุญมาทันกรรมส่งฟ้าให้ปรานี

ด้วยคำขอข้อสุดท้ายให้ได้ลูก            
จะผิดถูกอัปลักษณ์สิ้นศักดิ์ศรี
เป็นลูกเสือลูกจระเข้ก็ยินดี          
เทพนทีมาเกิดได้ดังใจพลัน


----------------------------------------------------------
สองคีรี   คือ
  ๑.  เมืองธาราวดี หรือ คงคาวดี   ปัจจุบันได้แก่  อ.คีรีรัตน์นิคม
  ๒.  เมืองท่าทอง  ซึ่งก่อนนั้นชื่อเมืองสะอุเลา  ปัจจุบันได้แก่  อ.กาญจนดิษฐ์





หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25 ตุลาคม, 2561, 10:33:08 AM
          ธนุ  เสนสิงห์ 21

กลบทพระจันทร์ทรงกลด

 ลูกเอ๋ยรอรอบุญปลูกโอ้ลูกเอ๋ย      
ดังฝันเลยเลยแม้ล่ามาดังฝัน
ตื้นตันจิตจิตชื่นมื่นด้วยตื้นตัน         
จัดงานใหญ่ใหญ่รับขวัญวันจัดงาน

คราแรมมามาพิศหน้าเมื่อคราแรม      
สงสารหนูหนูตุ่มแต้มแสนสงสาร                        
พิการกลกลทั่วกายคล้ายพิการ          
ร่างกายกลับกลับเข้คลานเปลี่ยนร่างกาย

ซึ้งคำขอขอลูกเสือเข้ซึ้งคำ          
สลายโศกโศกรับกรรมโศกสลาย
กลับกลายร่างร่างกลับรักมิกลับกลาย  
ตาปีใหญ่ใหญ่ลงว่ายสายตาปี  
....................................

อำนาจนั้นเหนือเผ่าพงศ์พันธุ์ทั้งหลาย    
ต่างถวายสวามิภักดิ์ด้วยศักดิ์ศรี
ขานชื่อว่า “พญาท่าข้าม”ตามบุรี      
ท้องนทีครั่นคร้ามทั่วมิกลัวใคร

เมื่อเดือนขึ้นบางคราคืนกลับมาบ้าน     
บางคราผ่านหลายแรมเร่เถลไถล
พ่อแม่นั้นหมั่นสอนสั่งอย่างห่วงใย      
ขออย่าให้ก่อบาปกรรมซ้ำชีวี

ด้วยความรักห่วงหนักในใจพ่อแม่        
ไม่อยากแก่ไม่อยากตายไม่หน่ายหนี
แต่ชีวิตเป็นอนิจจังดังวจี           
มินานปีแม่และพ่อก็สิ้นบุญ

มีแม่บ้านคนขยันอันเก่าแก่        
ช่วยดูแลการทั้งหลายได้เกื้อหนุน
ด้วยหวังดีมีเมตตารักการุณย์         
อยู่ค้ำจุนบ้านบ่าวไพร่เหมือนนายมี  

     ณ แดนดินถิ่นยอดน้ำนามอิปัน*     
พนาวันอันห่างไกลไร้วิถี
เหนือเขตบ้านปลายพระยาวนาลี      
หมู่บ้านนี้เชื้อสืบมานาคีพงศ์

บูชางูเฉกเช่นเป็นเทพเจ้า          
แต่ผู้เฒ่าสืบทอดศาสน์พึงประสงค์  
ใช้ชีวิตติดในถิ่นดินแดนดง           
มิจำนงจะเดินดินไปถิ่นใด

-นายบ้านยังชื่อนายพังกับนางพาน     
สืบวงศ์วานจากพ่อปู่ผู้เชื้อไข
สถิตอยู่บนภูเขาลำเนาไพร           
เป็นงูใหญ่ลำตัวยาวราวเจ็ดวา
..........................................

อีปัน  สายน้ำที่มีต้นน้ำจากเขต  อ.ปลายพระยา  จ.กระบี่
 เป็นสายน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงให้ความอุดมสมบูรณ์เป็นดังสายชีวิต
ของชาว อ.พระแสง ไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำตาปี
 ณ ปากปันเหนือย่านบ้านดินแดง



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 26 ตุลาคม, 2561, 08:48:02 AM
         ธนุ  เสนสิงห์ 23


อายุมีมิใช่น้อยหลายร้อยปี        
นอนกับที่ไม่ไหวติงอหิงสา
จนเถาวัลย์พันปกคลุมคุ้มกายา     
แต่ปากอ้าค้างเอาไว้คล้ายซุ้มพง

รอคอยสัตว์ตัวใดคราชะตาขาด          
ถึงคราวจะสิ้นชีวาตม์จึงพลาดหลง
เดินเข้าปากเป็นเหยื่อได้ให้ชีพทรง       
เพื่อดำรงรูปร่างนี้ไว้นิรันดร์

กลบทสิงโตเล่นหาง.

ได้เวลาเทพวนามาบังเกิด        
สิ่งประเสริฐของพานพังดังที่ฝัน
มุ่งหวังใจได้บุตรชายหมายนานครัน      
มาถึงวันสิ่งที่หวังดั่งใจปอง

ถึงแรมได้กลายร่างเห็นเป็นงูน้อย        
เพื่อนบ้านพลอยร่วมสุขสันต์กันทั้งผอง
หวังภายหน้าพญางูผู้ปกครอง          
งานฉลองต่างเริงรื่นชื่นชีวา

วัยลำดับสลับร่างอย่างเปิดเผย          
มิได้เคยคิดน้อยใจในวาสนา
ทั่วแดนดงล้วนจงรักภักดิ์บูชา            
นามพญาแห่งยอดน้ำล้ำพงศ์พันธุ์

สาวน้อยใหญ่มีมากหลายหมายสมัคร    
มั่นคงรักนางกลางใจในความฝัน
โอ้เนื้อเย็นหลีกเร้นคู่อยู่ไหนกัน          
ทุกคืนวันเฝ้าคะนึงถึงแต่นาง

กลบทธงนำริ้ว.

 รื่นรื่นกลิ่นมะลิลาดอกส่าเหล้า      
เคลิ้มเคลิ้มนอนก่อนเริ่มเช้าหนาวรุ่งสาง
กกกกพรอดกอดถนอมหอมนวลปราง    
รัดรัดแนบแอบอิงร่างมิห่างกาย

สุดสุดแสนเสน่หาตราตรึงจิต            
หวั่นหวั่นคิดใจระรัวกลัวน้องหาย
เอ๊กเอ๊กไก่ขันกระชั้นตะวันพราย          
ตื่นตื่นสายแสนอายหมอนนอนแทนน้อง
.......................................................
                
อีปันล่องไหลเรื่อยเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว
ตกโตน*ลิ่วหลากหลั่งดังกึกก้อง
หน้าฝนมาผืนป่าชุ่มลุ่มน้ำนอง            
รวมลำคลองหลายธาราเป็นตาปี

ณ เขตคามเหนือปากน้ำอีปันนั้น           
อัปสรสุวรรณกัลยามารศรี
จุติเป็นธิดาของสองผู้ดี                  
ที่หลบลี้มาครองรักจากแดนไกล

 -------------------------------------------
โตน   กระแสน้ำที่ไหลผ่านโขดหินที่ขวางลำคลองอยู่  คล้ายน้ำตกเตี้ย ๆ




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 27 ตุลาคม, 2561, 08:37:58 AM
24 แม่ศรีวรรณทอง

มีผิวพรรณนั้นดั่งทองธรรมชาติ        งามผุดผาดพักตร์เพริศพราวเนตรวาวใส
จนขึ้นชื่อเลื่องลือนามความวิไล          ตั้งชื่อให้ตามผิวงามนามว่าวรรณ
กิริยามารยาทนาฏอ่อนช้อย             ทุกคำร้อยถ้อยสรรค์หามาเสกสรร
รู้บาปบุญคุณศีลทานการแบ่งปัน        ความดีสร้างทั้งยึดมั่นกตัญญุตา
มีหนุ่มน้อยและหนุ่มใหญ่บ้านไกลใกล้    หลงรักใคร่....แต่ต้องห่างเสน่หา
เธอบอกปัดอย่างชัดคำจำนรรจา        จนเลิกราอ่อนอกใจไปทุกคน
มิพึงใจไม่มีจิตปฏิพัทธ์                   มุ่งเข้าวัดอยากสรรค์สร้างทางกุศล
จนพ่อแม่ห่วงมิหายถ้าวายชนม์          ลูกของตนขาดคู่ใจได้พึ่งพา
     จึงเผยภูมิหลังพ่อแม่เป็นแง่คิด     เห็นถูกผิดสิ่งใดใดให้ปุจฉา
เรื่องที่ลูกเฝ้าเพียรถามความนานมา     วิสัชนาให้ไปตามความเป็นจริง
อันความรักที่เที่ยงแท้แน่ในรัก         ย่อมประจักษ์ด้วยหัวใจทั้งชายหญิง
มิใช่แกล้งแสร้งเป็นรักจักแอบอิง      แล้วทอดทิ้งร้างราไปมิใช่รัก
ทุกคนหมายได้ประสบซึ่งรักแท้          ไม่ผันแปรพร้อมฟันฝ่าอุปสรรค
รักพ่อแม่เหนือดวงใจอาลัยนัก        แต่จำหักอาลัยลามาไกลเรือน
ตระกูลตาวานิชใหญ่แห่งไชยา        เมืองนครฯปู่ก็ค้ายิ่งใหญ่เหมือน
จากนครฯมักสัญจรมาเยี่ยมเยือน       ตาปู่เพื่อนร่วมขายค้ามานานครัน
แม่กับพ่อเราก็ได้สานใยรัก           จนประจักษ์ในใจแน่ไม่แปรผัน
แล้วปู่ตาเกิดขัดแย้งการแบ่งปัน       เรื่องติดพันจากการค้ามาแดนไกล
ปู่ตาท่านนั้นจึงปรามห้ามคบหา        ห้ามสุริยันห้ามจันทราหยุดไฉน
แต่ย่ายายทั้งสองท่านนั้นเห็นใจ       มอบทรัพย์ให้เป็นทุนที่หลบหนีมา
ก่อนจากลาแสนอาลัยใจจะขาด       จำนิราศเหมือนรวบรัดตัดปัญหา
คำสุดท้ายย่ายายให้ก่อนไคลคลา        ชาตินี้ลาจากไปแล้วต้องแคล้วกัน
หวังชาติหน้าเกิดมาแล้วอย่าแคล้วคลาด จนทายาทเจ้าเติบใหญ่ได้ดังฝัน
สั่งลูกไว้คราเจ้านี้วายชีวัน           กระดูกนั้นให้มารวมร่วมตระกูล



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 28 ตุลาคม, 2561, 08:33:35 AM
         ธนุ  เสนสิงห์ 25

ขอขมาต่อวิญญาณ์ปู่ตาเจ้า         
ที่ต้องเศร้าโศกเหลือล้นจนชีพสูญ
พ่อแม่ร้างห่างเรือนไปใจอาดูร          
จงเพิ่มพูนบุญล้างบาปตราบชีวี

เมื่อมีลูกหนึ่งเป็นหญิงยิ่งเดียวดาย      
ความย่ายายที่สั่งไว้ยากหน่ายหนี
ทางกันดารอันแสนไกลในพงพี      
ลูกต้องลี้แรมรอนร้างช่างอ่อนใจ

แต่สาววรรณนั้นตอบความเป็นคำมั่น     
ตั้งใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหน
มิย่อท้อต่อหนทางร้างแรมไกล      
จะมุ่งไปตามวาจาของย่ายาย

       ตอนที่ ๒  เสน่หาสามนงลักษณ์

ย้อนกล่าวมาถึงพญาท่าข้าม      
ท่องเที่ยวตามลำน้ำไปดังใจหมาย
ขึ้นพุมดวงล่วงแดนไกลเพลินใจกาย      
เดือนแรมกลายเป็นเดือนขึ้นมิคืนเรือน

กลายร่างเป็นมาณพน้อยลอยชายไป    
เที่ยวโลกกว้างช่างสุขใจหาใดเหมือน
จนลุสู่หมู่บ้านใหญ่ไม่เคยเยือน          
บ้านกลาดเกลื่อนกลางหุบเขาลำเนาไพร

เคยมีผู้ปกครองบ้านท่านตาขุน          
เมื่อสิ้นบุญเมียที่รักชีพตักษัย
จึงหันหลังให้ทางโลกโศกฤทัย            
เข้าป่าใหญ่หาโมกข์ธรรมตามคีรี

ให้ลูกสาวทั้งสามนางต่างนายบ้าน        
ทุกคนล้วนสวยสะคราญบรรเจิดศรี
หนุ่มใกล้ถิ่นมิกล้าเทียบบารมี            
 เนิ่นนานปีขาดคู่ใจได้ชิดชม

เมื่อพบหน้าหนุ่มพญาอาชาไนย          
ผิวผ่องใสรูปกายก็ช่างเหมาะสม
ทั้งสามนางมิได้ต่างในอารมณ์            
หลงนิยมเฝ้าปองหมายได้ชื่นเชย

เคยฝันไว้มีชายสามตามมาเกี้ยว          
แต่พญามาโดดเดี่ยวเปลี่ยวอกเอ๋ย
พี่ใหญ่พร้อมยอมเขินอายแม้ไม่เคย      
สองน้องเลยหลบเลี่ยงกายไปหลังเรือน

ฝ่ายพญาท่าข้ามวาบหวามจิต     
เมื่อมิ่งมิตรเฝ้าเอาใจหาใดเหมือน
อยากเฉลยเผยความนัยไม่บิดเบือน      
แม้ต้องเอื้อนเอ่ยอ้อมอ้อมมิยอมตรง

สาวเจ้าก็จัดข้าวปลาอาหารให้          
ทั้งผลไม้จากสูบยาพร้อมชาผง
เตรียมผ้าผ่อนที่นอนให้ได้เอนองค์     
แล้วยังคงปรนนิบัติเฝ้าพัดวี


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 29 ตุลาคม, 2561, 12:57:45 PM
26 แม่ศรีวรรณทอง

เอ่ยออดอ้อนวอนวาจาประสาหญิง      
ว่ารักจริงในความหมายไม่หน่ายหนี
แม้พญาท่าข้ามทราบความดี            
หากทำทีเหมือนกับยังยับยั้งใจ

จนจวนดึกจึงจำให้แขกได้พัก            
แต่ความรักลึกถลำเกินห้ามไหว
รุ่งเช้ามาจัดน้ำท่าหาข่อยไพล       
 เตรียมพร้อมไว้เฝ้าคอยท่าหน้าห้องนอน

อาหารเช้าตามเข้ามาไม่ช้าที         
ต่างเปรมปรีดิ์แสนสุขโขสโมสร
ตะวันสายท่านพญาจึงลาจร        
สาวใหญ่อ้อนว่าอย่างไรก็ไม่ฟัง

ลงบ้านพลางนางก็ห้ามพร้อมตามติด     
ไม่เคยคิดเลยหนอว่าจะผิดหวัง
น้องรองเจ้าเฝ้ารอรับรีบยับยั้ง      
ขอโอกาสนางสักครั้งได้ดูแล

จะชวนไปเที่ยวทั้งในนอกหมู่บ้าน     
ชมทุ่งธารเข้าถ้ำทองล่องกระแส
เย็นกลับมาชายคาเรือนมิเชือนแช     
นอนค้างแค่อีกสักคืนให้ชื่นใจ

 
โอ้พญาท่าข้ามในยามนั้น     
คิดแข็งขันมุ่งหน้าเดินเกินฝืนได้
เมื่อหญิงสาวเจ้าออดอ้อนให้อ่อนใน     
มิเป็นไรนะขอพักอีกสักคืน

เช้าน้องรองพาเที่ยวกันตามสัญญา     
ค่ำนิทราปรนนิบัติไม่ขัดขืน
หวังสัมพันธ์อันปลูกฝังจะยั่งยืน      
แต่เช้าตื่นพญาก็ขออำลา

สาวคนน้องจึงครวญคร่ำร้องร่ำไห้     
อกเราเอ๋ยแสนน้อยใจในวาสนา
เป็นคนดงคงต่ำต้อยด้อยราคา     
แม้พ่อข้าอยู่เขาไกลมิไปพบ

ขอท่านพักอีกสักคืนให้ชื่นจิต       
หนึ่งน้ำมิตรประทับใจได้ประสบ
ขึ้นเขากราบท่านพ่อพลันมิทันพลบ     
พอกล่าวจบพญาท่าข้ามยอมตามใจ

พ่อท่านขุนอยู่ขุนเขาเฝ้าภาวนา     
พบพญาชมราศีที่แจ่มใส
ต้องบุญแรงแฝงกรรมอยู่ดูกระไร     
พญาไม่ตอบคำตรงลงเขามา


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 30 ตุลาคม, 2561, 08:23:39 AM
  

ค่ำคืนนั้นน้องเล็กเฝ้าปรนนิบัติ      
ตามบัญญัติแม่ศรีเรือนเหมือนใฝ่หา
แต่รุ่งเช้าพญาก็ขอไคลคลา              
แม้ระอาแต่ไม่ท้อง้อต่อไป




          ธนุ  เสนสิงห์ 27


ต่างเฉลยเผยความนัยหัวใจรัก        
สุดจะหักเกินจะห้ามตามวิสัย
รักดั่งเพลิงใจก็พร้อมยอมลุยไฟ          
ก้าวมาไกลเกินกว่ากลับจึงมิกลัว

อันชาตินี้เมื่อมีรักสักครั้งหนึ่ง            
มินึกถึงเรื่องใดให้ได้เป็นผัว
ใครนินทาจะว่าร้ายไม่หมองมัว          
สร้างครอบครัวร่วมผัวเดียวเป็นเกลียวใจ

กลบทวิมลวาที

อันความรักอยู่นอกหลักของศักดิ์ศรี  
ศีลวาประเพณีชาวไศล
ด้วยศรัทธามิศังกาถึงความนัย       
ศศิธรอ่อนโอนให้จักโอบองค์

ศรวณีย์พี่น้องปรองดองรัก              
ศิริณาครานอนพักพาลุ่มหลง
ชายศรัถพร้อมผูกมัดดังจำนง            
ศยนะจะก้องดงมิยินใด
...............................
                                                          
อ้างธรรมเนียมประเพณีมีแขกบ้าน     
ต้องจัดงานรับและส่งคงขานไข
ให้ลูกบ้านนั้นทั้งหลายอยู่ใกล้ไกล      
มาสานใยสัมพันธ์มั่นฉันท์ไมตรี

อย่ารังเกียจหรือเดียดฉันท์คนบ้านป่า    
โปรดเมตตาขอท่านได้อย่าหน่ายหนี
ความรู้สึกจารึกไว้ในสิ่งดี            
ตราบชีวีแม้ต้องไกลใจผูกพัน

 พญายอมพร้อมรับคำตามเหตุผล     
ที่ร้อนรนด้วยเวลาบัญชาสวรรค์
ใช่จะตั้งข้อรังเกียจเหยียดหยามกัน     
อัศจรรย์ที่ดวงใจไยเฉยชา

ชาวบ้านค่อยทยอยไปแต่บ่ายคล้อย     
เป็ดไก่ห้อยถือหิ้วหามตามสรรหา
เป็นกับแกล้มน้ำตาลเมาและเหล้ายา     
ต่างปรีดาได้ชมชื่นรื่นเริงใจ

ปูลาดสาดกระจูดไว้ในลานบ้าน     
รายรอบงานจุดไต้ตั้งสว่างไสว
แล้วลงนั่งชวนตั้งวงก๊งแบบไทย          
สามสาวได้นำทักทายคนร่วมงาน

พญาเดินเคียงสามนางอย่างใกล้ชิด      
เปี่ยมน้ำมิตรอย่างลึกล้ำรักฉ่ำหวาน
ดื่มคารวะรายวงไปไม่เนิ่นนาน     
เห็นอาการของพญาพาซวนเซ

เคยเงียบขรึมกลับสนุกครึ้มสุขสม     
เสียงคุยขรมหลายเรื่องล้วนชวนสรวลเส
ชาวบ้านชอบสนทนาด้วยฮาเฮ          
พอคะเนจะดึกมากจึงจากลา




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 31 ตุลาคม, 2561, 11:49:16 AM
28 แม่ศรีวรรณทอง

เหลือสามสาวเฝ้าแขกหนุ่มอยู่ชิดใกล้      
ลุกไม่ไหวพาหันเหเซถลา
สามพี่น้องประคองกายดังหมายมา      
ช่วยกันพาพญาฝืนขึ้นเรือนไป

ยังพูดจาเชิงหยอกล้ออยู่อ้อแอ้      
สาวจ้อแจ้อย่างชื่นชอบตอบเสียงใส
นางหนึ่งเอ่ยเปรยขึ้นถามเป็นความนัย      
ปวดเมื่อยไหมที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน

จะนวดให้พอเส้นสายคลายเมื่อยขบ      
นาบประคบสมุนไพรให้สุขสันต์
รังเกียจไหมได้อาสาอย่าว่ากัน           
นอนลงพลันพญาถนัดอยากดัดกาย


สามสาวเข้าพะเน้าพะนอมิรอช้า   
แค่มองตาต่างรู้ใจในความหมาย
พี่ใหญ่รีบบีบนวดไหล่ลงแขนซ้าย      
ถอยจากปลายนิ้วดัดคลึงถึงลำตัว

น้องคนรองเข้าประคองนวดแขนขวา      
ทั้งใบหน้าคอลงหลังกระทั่งหัว
น้องเล็กนวดเท้าขึ้นบนจนเนียนัว      
เริ่มพันพัวอวลไออุ่นสมุนไพร

มือสัมผัสเนื้อแน่นตึงคลำคลึงเคล้า     
เน้นหนักเบาบีบคลิงเคล้นร่างเต้นไหว
คนถูกนวดคนนวดฝันรัญจวนใจ         
กำหนัดในเลยล้ำล่วงห้วงอารมณ์

    ดังเขื่อนร้าวจวนทะลายมาหลายวัน 
พังลงพลันธารถลาเสียสาสม
ทั้งสี่ร่างดั่งละลายคล้ายก้อนกลม      
ดำดิ่งจมลงสู่ห้วงบ่วงกามา

เริงแรงฤทธิ์พิศวาสแสนเร่าร้อน         
ไซร้ซอกซอนย้อนวนกลับสลับฝา
พญาเข้เร่ขึ้นล่องท่องธารา             
ดั่งค้นหาจะสถิต ณ ถ้ำทอง

พอเหนื่อยนักพักเขนยขึ้นเกยหาด       
ทรายสะอาดเนินหญ้านุ่มคลุมขอบหนอง
แล้วจู่โจมโถมถลำถ้ำน้ำนอง             
ถ้ำหนึ่งสองไปสามกลับสลับเวียน

ตลึงลานตระการงามทั้งสามถ้ำ         
ทั้งผุดดำว่ายสะบัดฉวัดเฉวียน
ลูกคลื่นไล่ไถลถลาคายอาเจียน         
สุดแรงเทียนจึงม่อยพับแล้วหลับไป


จากคืนวันต่อนั้นมาเจ็ดราตรี       
ต่างสุขีแสนสมหวังอย่างหลงใหล
อิ่มรสข้าวใหม่ปลามันกันถึงใจ           
วันจำไกลพญาพร่ำกล่าวคำลา


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 02 พฤศจิกายน, 2561, 12:49:55 PM
           ธนุ  เสนสิงห์ 29

บอกเล่าขานว่ามีงานต้องสานต่อ        
มินานพอให้เสร็จสรรพกลับมาหา
สุดหวงห้ามสามนางสั่งทั้งน้ำตา        
สะอื้นอ้อนแล้ววอนว่าอย่าลืมเลือน
 
 กลบทหงส์คาบพวงแก้ว
 
อย่าเป็นผึ้งผึ้งเชยชิมชิมเกสร      
อย่าเหมือนภู่ภู่บินจรจรจากเถื่อน
จรลาลับลับลาจากจากไม่เยือน     
คลาคล้อยเคลื่อนเคลื่อนมิคืนคืนค่ำคอย

มาลีโรยโรยรักรอรอเดือนปี        
ชื่นชมง่ายง่ายหน่ายหนีหนีให้หงอย
สาวบ้านป่าป่าโศกเศร้าเศร้าใจลอย     
คนแดนดงดงค่าด้อยด้อยเพียงดิน

ด้วยรักมากมากกว่าใครใครเคยรัก      
มิอาจหักหักใจห้ามห้ามถวิล
กินรีรีรออยู่อยู่อาจินต์                  
ไม่อาจลาลาท้องถิ่นถิ่นไปเยือน      
.......................................
                   
กล่าวย้อนมาถึง “พญายอดน้ำ”    
พ่อแม่ย้ำว่าเวลาพาเลยเลื่อน
ร้อนใจหมายให้ลูกชายได้ออกเรือน      
อย่าแชเชือนเถิดพ่อแม่แก่ชรา

ใกล้วันตายคงคลายกลุ้มได้อุ้มหลาน    
ให้แต่งงานแม่พ่อเห็นเป็นฝั่งเป็นฝา
ร้อยนางในใกล้บ้านช่องมิต้องตา        
คิดเสาะหาไกลบ้านนั้นยังหวั่นใจ

เขาจะตั้งข้อรังเกียจเหยียดหยามหยัน    
เราพงศ์พันธุ์แห่งนาคีนี้ไฉน
เรื่องแม่ผัวกลัวมิถูกลูกสะใภ้            
นิทานไทยแต่ก่อนเก่าเล่ากันมา

                   
ชายหนุ่มหนึ่งซึ่งรักแม่ที่แก่มาก        
แสนจนยากก็สุขสันต์ตามประสา
สุขสลายเมื่อลูกชายได้ภรรยา            
ริษยาที่ผัวรักแม่มากไป

จึงใส่ความแม่ผัวตัวถูกแกล้ง                
แล้วยุแยงให้เลือกข้างเอาทางไหน
ลูกหลงเมียพาลว่าแม่แก่ไยไพ     
จับแม่ใส่ลงโลงหวังเผาทั้งเป็น

พอใกล้ค่ำช่วยหามยายไปป่าช้า     
เผามารดาเสียอย่าให้ใครใครเห็น
ยายโศกาจนเลือดตาแทบกระเด็น     
ยังใจเย็นสุดแต่กรรมเคยทำมา

พอถึงที่เกิดไม่มีไม้ขีดไฟ                
ลืมเสียไดเกี่ยงกันกลับบ้านไปหา                                          
ไปทั้งคู่ไม่กล้าอยู่ในป่าช้า                
คงเหลือแต่แม่ชราสวดมนต์รอ

   


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 03 พฤศจิกายน, 2561, 11:47:29 AM
30 แม่ศรีวรรณทอง

“ลูกคงคิดกลับใจได้ไม่เผาแม่”     
เปิดฝาแลรอบโลงไม่มีใครหนอ
ปีนโลงออกนอกกองฟอนนอนพิงตอ     
พักให้พอมีแรงค่อยถอยคืนเรือน

สองผัวเมียย้อนกลับมาพาคบไต้*     
จุดทันใดเหี้ยมเช่นนี้มีใครเหมือน
สมดังหมายกลับบ้านไปไม่แชเชือน     
ดินสะเทือนเสียงควบม้ามาแต่ไกล

กลุ่มโจรร้ายปล้นทรัพย์ได้จากต่างเมือง  
ไฟโชนเหลืองจากกองฟอนสว่างไสว
อาศัยแสงแบ่งทรัพย์นับโดยไว      
ยายดีใจ “ช่วยส่งยายไปบ้านที”

หน้ายายเหี่ยวซีดเซียวเหลือเสื้อขาดวิ่น  
 โจรได้ยินเสียงยายพร่านึกว่าผี
ขึ้นม้าได้ควบไปไม่คิดชีวี        
ยายรอรีถึงอย่างไรไม่กลับมา

หยิบเงินทองของมีค่าที่กระจาย          
ห่อแล้วยายลาไฟฟอนคอนห่อผ้า
เดินถูลู่ถูกังละลังละล้า                  
เช้าถึงหน้าบ้านสะใภ้ลูกชายงง

มอบทรัพย์ให้เล่าความได้ไม่กี่คำ            
ร่างขาดน้ำเสียงฝ่อคอเป็นผง
หมดแรงกายยายล้มเป็นลมลง                    
ลูกสะใภ้กรรมเจาะจงโลภครองใจ

เชื่อเป็นเคล็ดทีเด็ดหมายได้สมบัติ          
ช่องรวยลัดครานี้เศรษฐีใหญ่
คนแก่เฒ่าเอามาได้ไม่เท่าไร                      
หากเราไปต้องรวยราวเจ้าพารา

เชื่อเผาตัวทั้งเป็นหรือก็คือเคล็ด              
ที่ดีเด็ดไปขุมทรัพย์เกินนับค่า        
แสนดีใจบังเอิญได้ยอดวิชา                    
พิษโลภาและผลกรรมงำฤดี

   สั่งผัวย้ำคำขาดมิอาจขัด                        
จึงได้จัดการเผาเมียเสียเป็นผี
ยายฟื้นกายบอกลูกชายฟังให้ดี                  
“ตัวแม่นี้คงอยู่ได้ไม่กี่วัน

    สั่งผัวย้ำคำขาดมิอาจขัด                        
จึงได้จัดการเผาเมียเสียเป็นผี
ยายฟื้นกายบอกลูกชายเรื่องชีวี                
“ตัวแม่นี้คงอยู่ได้ไม่กี่วัน

   เจ้าจงเอาทรัพย์ทั้งหลายออกไปซื้อ          
แม่ใครหรือที่ยอมขายให้กับฉัน”
ถูกด่าทอต่อว่ามาสารพัน                            
อ่อนใจครันกลับมาบ้านรายงานยาย

   ยายให้ทรัพย์ส่วนน้อยค่อยบอกว่า...          
“เจ้าจงพาขอสาวงามตามที่หมาย”
มิทันไรได้ดั่งใจอย่างง่ายดาย                      
แล้วลูกชายของยายจึงซึ้งฤดี

   เมื่อรวยทรัพย์กับภรรยาหาได้แน่              
หากโลกนี้มีเพียงแม่หนึ่งที่นี่
หาคนใหม่อื่นในโลกไม่มี                            
จบวจีคำเล่าขานนิทานไทย    


 กลบทนาคบริพันธ์  

 พระคุณแม่นั้นยิ่งใหญ่ในโลกหล้า    
ในโลกลูกปลูกชีวาอายุขัย
อายุขึ้นชีพดำเนินเจริญวัย              
 เจริญวิทย์แต่จิตใจมักลืมเลือน
มักลืมหลงคงไขว่คว้าหาสุขสม          
 หาสุขเสพแข่งสังคมเสมอเหมือน
เสมอมาดขาดคุณธรรมมาย้ำเตือน        
มาย้ำตนจนแชเชือนกตเวที  

----------------------------------  

ไต้  คบไฟชนิดหนึ่งส่วนใหญ่ทำด้วยเปลือกไม้แห้งคลุกน้ำมันยาง


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 05 พฤศจิกายน, 2561, 11:25:49 AM
         ธนุ  เสนสิงห์ 31

แม้พญาจะสงสารพ่อแม่นัก     
หากความรักเกิดแก่ใจจะไม่หนี
ผิรักพร้อมยอมถวายให้ชีวี              
โอ้รักนี้จุดเริ่มต้น ณ หนใด

พ่อแม่บอกบริวารออกควานหา          
หญิงโสภาแห่งแดนดินอยู่ถิ่นไหน
ถ้าลูกรักสินสอดมากสักเท่าไร     
จะตามไปเพื่อสู่ขอเป็นคู่ครอง

ครั้นข่าวลืออันเซ็งแซ่แพร่มาถึง     
ว่าสาวหนึ่งเลิศวิไลไม่มีสอง
สวยสง่าผิวดั่งทาด้วยเปลวทอง          
อยู่ปากคลองสุดอิปันสบตาปี

ชื่อสาววรรณอันงดงามทั้งน้ำจิต     
แม่มิ่งมิตรสร้างกุศลบุญราศี
สืบประยูรตระกูลพงศ์วงศ์ผู้ดี            
ที่หลบลี้มาครองรักอยู่ปากปัน

ได้ยินนามแม้เพียงนิดอยากชิดใกล้      
แน่ในรักปักหทัยนางในฝัน
ดวงจิตดั่งต้องมนตราพางงงัน          
กรรมผูกพันเร้าระรัวขั้วหัวใจ

ถึงจะอยู่ไกลแสนไกลไม่เห็นหน้า        
ท่านพญาก็พะวงจิตหลงใหล
พานและพังเกิดความหวังขึ้นทันใด      
ด้วยยังไม่เคยพบเห็นที่เป็นมา

มั่นใจหมายลูกได้พบประสบคู่            
เคยสมสู่เป็นบุพเพเสน่หา
เมื่อลูกรักนั้นเอ่ยปากจะจากลา          
ออกตามนางสั่งโยธาพร้อมทันใด

เตรียมเข้าของทั้งหยูกยาพร้อมอาหาร  
บริวารนับมิถ้วนขบวนใหญ่
จงอางกล้าขุนทหารอันเกรียงไกร        
ติดตามไปอีกไม่น้อยคอยคุ้มกัน

เมื่อเคลื่อนพลพ่อพญามาสั่งความ        
ว่าก่อนข้ามผ่านลำธาร “บางสวรรค์”*
เป็นข้อวัตรปฏิบัติมานานครัน            
เยี่ยมราชันแดนนาคาทุกคราไป

คารวะตระกูลวงศ์นาคราช          
บรมบาทเจ้าบาดาลกาลสมัย
แวะ “สระแก้ว”*อัศจรรย์อันวิไล        
น้ำผุดใสทิพยวังอลังการ    

----------------------------------------------
 บางสวรรค์ เป็นธารน้ำใหญ่กว่าสายน้ำที่ไหลออกจากใต้ ชั้นหินภูเขาทั่วไป
ถ้าวิ่งเรือทวนกระแสน้ำขึ้นไป เหมือนสายน้ำนั้นมุดหายลงไป
ใต้ภูเขาโดยทันที  จึงเรียกขานกันว่าธาร บางสวรรค์  
สระแก้ว  เดิมเชื่อกันว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธ์ น้ำในสระนี้เคยใช้เข้าพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก ของพระมหากษัตริย์ไทยมาแต่โบราณ
ถือเป็นส่วนหนึ่งของสหัสธารา ซึ่งประกอบด้วยน้ำจากปัญจมหานทีแห่งมัธยมประเทศ
และแม่น้ำสำคัญ ๕ สายของไทย  รวมกับน้ำในสระทั้ง ๔  คือ สระเกศ สระแก้ว
สระคงคา สระยุมนา  หลังสุดเคยใช้ในพระราชrพิธีพระมุรธาภิเษก ในรัชกาลปัจจุบัน  








หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06 พฤศจิกายน, 2561, 11:30:52 AM
32 แม่ศรีวรรณทอง

คือสระใหญ่อยู่ใกล้สายอิปันนั้น     
สระน้ำอันเป็นประตูบาดาลสถาน
 น้ำพลุ่งเห็นเป็นกระแสแต่โบราณ     
เกิดลำธารไหลลงรวมร่วมอิปัน

เจ้าจงไปยืนในทิศบูรพา                  
ท่องคาถาแห่งนาคีมีอาถรรพณ์
น้ำกลางสระจะพวยพุ่งสูงขึ้นพลัน        
มหัศจรรย์ทวารบาดาลมนต์

จงกระโจนพุ่งลงตามเกลียวน้ำไหล     
ต้องว่องไวก่อนสุดสายจึงได้ผล
ดั่งวูบดับลาลับล่วงบ่วงสกล        
จักผ่านพ้นถึงจุดหมายใต้บาดาล

ลำดับความมาตามมูลตระกูลตน     
ให้ตั้งต้นจากพ่อปู่ผู้สืบสาน
เมื่อท่านรับลำดับขั้นชั้นวงศ์วาน     
จนเสร็จงานเจ้าจึงไปดั่งใจปอง

การตามล่าหาหัวใจได้เริ่มต้น     
ต้องดั้นด้นสู่แดนไกลไม่หม่นหมอง
จะสมหวังได้นางอยู่คู่เคียงครอง     
หรือจะต้องนองน้ำตาจนอาดูร

อยากเอาฝันที่มันค้างอยู่กลางอก     
วานนางยกออกเสียให้มลายสูญ
ส่วนจะเติมเพิ่มความฝันอันจำรูญ     
จนพอกพูนก็สุดแท้แต่ใจนาง

 พอขึ้นค่ำเลยล่วงมาสามราตรี     
จรลีออกมุ่งหน้าแต่ฟ้าสาง
จวบเจ็ดคืนที่แรมรอนนอนกลางทาง    
ลุบ้านบางสวรรค์นั้นทันเวลา

จึงมุ่งไปสระแก้วดังพ่อสั่งไว้            
ผู้ติดตามนั้นสั่งให้ไปล่วงหน้า
พักรอข้าง “บางสวรรค์” ลำธารา     
ธารที่ไม่ธรรมดาอัศจรรย์

คนไม่รู้แวะเข้าไปหมายขายค้า          
ไม่เชื่อตาความรู้สึกนึกว่าฝัน
เมื่อสายน้ำเกิดสุดสายหายไปพลัน      
ภูผากั้นขวางเบื้องหน้าต้องราเรือ

จึงเรียกขานว่าเป็นธารแห่งสวรรค์      
สายน้ำนั้นใสลึกจริงเย็นยิ่งเหลือ
น้ำลอดหินปราศจากกลิ่นสินแร่เกลือ    
ไร้รสเจือดื่มอาบเล่นเย็นฤทัย

 ครั้นพญาเดินทางถึงซึ่งสระแก้ว    
อันเพริศแพร้วมองลึกเห็นน้ำเย็นใส
น้ำสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์เหนือจิตใจ        
ลึกลงไปแววแสงสดมรกตงาม

กำหนดจิตอยู่ด้านทิศบูรพา              
พอจะท่องมนต์คาถาพาวาบหวาม
ตั้งสติมั่นคงไว้ได้ชั่วยาม                
จึงว่าตามบทคาถาแห่งนาคี



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 07 พฤศจิกายน, 2561, 08:20:25 AM
34 แม่ศรีวรรณทอง

ฤทธิ์คาถาพาน้ำใสในกลางสระ     
วนวัฏฏะแผ่เกลียวสายกระจายสี
แล้วพวยพุ่งสูงขึ้นกลางหว่างนที          
ไม่รอรีพญาโหนกระโจนลง

รู้สึกชัดน้ำพัดไหลไปในช่อง              
อยากกู่ร้องตะโกนไปให้เสียงหลง
อึดใจหนึ่งหยุดเคลื่อนไหวคลายงวยงง    
รู้ว่าคงถึงปลายทางยังลอยคอ

ในสระทองอยู่บนลานอันกว้างแสน      
สุดปลายแดนปราสาทใหญ่รายยอดหอ
รีบก้าวขึ้นสระน้ำไปไม่รีรอ                
อะไรหนอแล่นลิ่วมาขอบฟ้าไกล

มาสะดุดแล้วหยุดลงที่ตรงหน้า          
ยานนาคาบรรจถรณ์นอนไฉน
เพชรจินดาประดับพราววาววิไล          
มีงูใหญ่ขนาบข้างไกวหางมา

ชูคอขึ้นให้คานตั้งอย่างแนบเนียน        
ม้าเทียมเกวียนต่างกันที่ไม่มีขา
ครึ่งมนุษย์ท่อนล่างเห็นเป็นนาคา        
เจรจาด้วยวจีที่เข้าใจ

พญาขึ้นยืนบนยานบรรจถรณ์     
เป็นยานนอนแห่งนาคีมิสงสัย
พ้นพื้นปลิวละลิ่วล่องอย่างว่องไว        
มิทันไรจอดลงหน้าปราสาททอง

ทวยนาคาสวนสนามนำเข้าเฝ้า          
ผู้เป็นเจ้าแห่งบาดาลนั้นทั้งสอง
ปฏิสันถารฉันญาติอย่างปรองดอง      
ท่านรับรองนั่งบัลลังค์ในร่างคน

พญากราบลำดับเหล่าเผ่าพงศ์พันธุ์  
พ่อปู่นั้นไล่เรียงไปไม่สับสน
แต่พญาปากปราศรัยใจร้อนรน          
ต้องขอตนชี้แจงย้ำไปตามนาง

ให้สัญญาจะแวะมาคารวะ              
รับธรรมะรับพรใหม่ไม่เมินหมาง
ยามนี้ใจใฝ่รักอยู่มิรู้วาง                  
ขอลาร้างรอนแรมไกลไปกลางดง

บังคมลาผู้ยิ่งใหญ่ในบาดาล            
ทวยทหารส่งกลับหลังดังประสงค์
ยานลำเดิมนำพญามุ่งหน้าตรง          
 ผ่านทางลงสระน้ำเก่าขึ้นเขาไป

ประเดี๋ยวหนึ่งจึงหยุดลงตรงธารา      
อันล่องมาจากสวรรค์อสงไขย
ลอดลงผ่านภูผาอันขวางกั้นไว้          
ทหารได้ชี้ทางจรก่อนอำลา

ท่านจงขึ้นไปยืนขวางกลางลำน้ำ        
แล้วเริ่มการบริกรรมมนต์คาถา
ท่องกลับกันกับที่ได้ใช้ลงมา              
น้ำจะพาตัวท่านออกนอกบาดาล



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 08 พฤศจิกายน, 2561, 11:26:28 AM
       ธนุ  เสนสิงห์ 35

พญาทำตามเคล็ดแห่งนาคราช      
พ้นผาลาดเบิกรับแสงสุริยฉาน
ร่างพญาล่องโลดไหลไปมินาน      
ออกสู่ธารบางสวรรค์ในบัดดล

พบพหลพลโยธีที่รอท่า                  
ไม่รอช้าสั่งเดินทางต่ออีกหน
ทุกคนทำตามบัญชาหน้าที่ตน            
แล้วดั้นด้นเดินฝ่าดงมุ่งตรงไป


ถึงปากปันวันแรมใหม่ใกล้เข้ามา      
คอยพบกันยามจันทราลอยฟ้าใส      
เฝ้าแอบมองยอดพธูอยู่ไกลไกล      
ยิ่งมั่นใจนางในฝันนั้นคือเธอ

ในใจพี่มีตัวเจ้าเข้าแฝงเร้น              
มิทันเห็นก็ใฝ่หามาเสมอ
ชะรอยครั้งปางก่อนชู้คู่บำเรอ          
จึงพร่ำเพ้อถึงแต่ยอดเยาวมาลย์

แล้วให้ถางโค่นป่าไม้ใกล้ปากปัน        
สร้างหนำ*พลันมุงทัง*ใหญ่กั้นไผ่สาน
ปลูกพืชพรรณอันเคยทำจนชำนาญ      
กับเพื่อนบ้านค่อยพันผูกปลูกเยื่อใย

ให้บอกว่าย้ายกันมาจากกระบี่          
มาหาที่ไว้พึ่งพาอยู่อาศัย
ถ้าพืชออกงอกงามดีมีกำไร              
ค่อยกลับไปรับครอบครัวของตัวมา

เมื่อรับกรรมกลับกลายร่างไม่ห่างหาย  
ยอมทุกข์ทรมานกายซ่อนชายป่า
แอบมองวรรณอย่างพึงใจไม่คลาดตา  
เสน่หาเร้าฤทัยไม่หลับนอน

    
กลบทกวางเดินดง

อกเอ๋ยรุ่มกลุ้มจริงหนอต้องรอท่า  
น้องเอ๋ยขอข้างขึ้นมาเชยสมร
โธ่เอ๋ยแรมเหมือนแช่มช้าพาใจรอน      
เดือนเอ๋ยจรจงลอยเด่นเถิดเพ็ญจันทร์

.............................................
ขอย้อนกล่าวถึงพญาแห่งท่าข้าม  
ยังมีความอิ่มเอมใจให้สุขสันต์
จากโฉมตรูอยู่เคหามาสิบวัน            
เย็นวันนั้นเพื่อนบ้านเล่าถึงข่าวดี
                          
ว่าปากปันนั้นมีสาวงามพราวพรั่ง        
ผิวเปล่งปลั่งดั่งสุวรรณนวลฉวี
งามจิตใจงามวาจางามท่าที              
กุลสตรีเป็นหนึ่งเดียวในดินแดน

 --------------------------------------
หนำ   กระต๊อบชั่วคราวขนาดเล็ก            
ทัง   ไม้ป่าตระกูลปาล์มต้นใหญ่ใบกว้างราว  ๑  เมตร



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 09 พฤศจิกายน, 2561, 03:31:02 PM
36 แม่ศรีวรรณทอง

      
        ตอนที่ ๓  แรงรักแห่งอดีตชาติ

     พญาไม่สนใจนางฟังผ่านผ่าน     
ยังอิ่มไออุ่นรักหวานอันสุขแสน
คนส่งข่าวเขากลับไปใจคลอนแคลน      
แปลกใจแม้นอยากนอนหลับกลับตื่นตา

เฝ้าครุ่นคิดจิตพะวงแสนสงสัย          
เหตุไฉนใจตื่นเต้นเป็นนักหนา
หรือใจติดคิดถึงข่าวเขาเล่ามา     
เรื่องเขาว่าหรือทุกสิ่งจะจริงจัง

เมื่อค่อนแจ้งแรงอ่อนล้าพาเคลิบเคลิ้ม  
ความฝันเริ่มภาพรักนางแต่ปางหลัง
สะดุ้งตื่นจิตคืนกายใจเต้นดัง              
“นิมิตตังอวมังคลัญ” ท่อง“ยันทุน”*

ใจมันตื่นฝืนอย่างไรตาไม่หลับ     
ลุกขยับนั่งกอดเข่าเอาคางหนุน
คิดใคร่ครวญทบทวนความยามอรุณ    
โอ้แม่คุณหรือมีมนต์ดลหทัย

จิตประหวัดพยายามจะห้ามหัก          
ฤทธิ์แรงรักบุพชาติพาหวาดไหว
สุดท้ายแล้วก็ไม่แคล้วตัดสินใจ     
เดินทางไปตามกรรมนั้นบันดาลดล

     ต้องรีบเร่งแรมไล่มาเวลาน้อย     
ลัดเลียบดอยเขาหัวควายเมื่อปลายฝน
ผ่านบ้านนา*หน้าสาวใดไม่ยอมยล     
รีบดั้นด้นมุ่งหน้าผ่าน “บ้านลำพูน”*

กลางแดดฝนทนเดินทางอย่างเร็วรี่     
ดั่งจะหนีคำสาปไว้แห่งไอศูรย์
เดือนแรมมาถึง “ท่าชี” มิอาดูร     
พอกลายร่างอย่างสมบูรณ์ล่องน้ำไป

ทวนกระแสน้ำไหลเชี่ยวเกลียวแรงกล้า  
ถึงกายล้าเมื่อใจสั่งยังทนไหว
อยากเห็นหน้านางยิ่งนักสุดหักใจ     
ลัดคลองไวไม่มีพักถึงปากปัน

วนเวียนว่ายใกล้ศาลาริมท่าน้ำ     
แม่งามล้ำจริงดั่งลือหรือเสกสรร
ยามสนธยามาก็เป็นเช่นทุกวัน     
สาววรรณนั้นลงอาบน้ำตามเคยมา

                   ------------------------------
ยันทุน  พระพุทธมนต์บทหนึ่ง โบราณให้ท่องหลังฝันร้าย  จะทำให้คลายความกังวล
และนอนหลับต่อได้ และเชื่อว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี
บ้านนา   อ.บ้านนาเดิม     ลำพูน   ชื่อเดิมของ  อ.บ้านนาสาร ปัจจุบัน



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 10 พฤศจิกายน, 2561, 12:31:41 PM
       ธนุ  เสนสิงห์ 37

กลบทอธิบดีอักษร

ยลผิวนางษฑังค์*พรั่งดั่งคำขาน     
ตลึงลานเกษมจิตฤทธิ์ปรารถนา
ษณฑาลี*แหล่งนี้นางล้างกายา   
ดาษดาบุษบงทรงพิไล

หากโฆษะนางจะผละประหวั่นจิต     
อยากใกล้ชิดขอษมาถ้าน้ำไหว
ษัฑวารมินานนักหักฤทัย        
ภาษิตให้อดเปรี้ยวรอพอหวานมัน

...............................

วันขึ้นค่ำน้ำค้างพราวยามเช้าตรู่     
ผู้รออยู่หวังวันชื่นคืนสุขสันต์
เหนือใต้คลองมีสองหนุ่มมุ่งบ้านวรรณ     
มาพบกันช่างพอดีที่ปากคลอง

เลี้ยวเข้าซอยต่างไม่เลี่ยงเดินเคียงคู่     
มั่นหมายให้เป็นหนึ่งอยู่มิเป็นสอง
เดินชิงทางต่างหวังได้ดั่งใจปอง     
เพื่อคู่ครองกัดฟันคอยไม่ถอยท้อ

สาววรรณตื่นตั้งแต่เช้าเข้าครัวไฟ     
หุงข้าวใหม่กุ้งแกงส้มต้มปลาหมอ
เสร็จแบ่งสรรเป็นสามส่วนอันควรพอ  
 เลี้ยงแม่พ่อพระคุณเลิศควรเทิดทูน

สองเตรียมไว้ถวายพระภิกษุสงฆ์     
สืบศาสน์คงรักษาไว้ไม่เสื่อมสูญ
สามแบ่งขอพอเลี้ยงกายให้สมบูรณ์     
เหลือเกื้อกูลสัตว์ทุกหมู่กรุณา

กรวดน้ำแผ่เมตตาให้ไปเป็นนิตย์     
หมั่นฝึกจิตละความโลภริษยา  
เตรียมทุกสิ่งเมื่อเสร็จสรรพจับถาดพา     
ออกด้านหน้าพ้นประตูมิรู้ความ

ว่าจะพบผู้ร่วมกรรมแต่ปางหลัง     
จุติดังพรหมบัญชากันทั้งสาม
สองพญาชิงกันเอ่ยเปิดเผยนาม     
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมตามอยู่หลังใคร

สาววรรณนั้นมีน้ำใจไมตรีจิต        
คบดุจมิตรจำนรรจาอัชฌาสัย
ครั้นพระสงฆ์ตรงมาถึงซึ่งบันได          
สองพญาต่างพร้อมใจช่วยกานดา

วรรณตักข้าวใส่ลงบาตรจบถาดงาม      
พญาท่าข้ามรับชั้น*ไว้ใส่มัจฉา  
ฝ่ายพญาแห่งยอดน้ำรับย่ามพา          
ถวายยาพร้อมดอกไม้ใส่หมากพลู

เสร็จเข้ากราบทั้งบิดาและมารดร     
รับคำสอนโอวาทเข้มเต็มสองหู
มีมิตรแท้ดีแน่กว่าหาศัตรู        
ท่านหยั่งรู้ประสบการณ์ผ่านโลกมา

-----------------------------------------------------

ชั้น   ปิ่นโต (ภาษาถิ่น),      
ษฑังค์  ส่วนสำคัญทั้งหกของร่างกาย คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ลำตัว ๑
ษณฑาลี  สระน้ำ-ที่หญิงชอบเล่น


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 12 พฤศจิกายน, 2561, 08:58:31 AM
38 แม่ศรีวรรณทอง

เห็นสองหนุ่มต่างสนิทชิดบุตรสาว     
คาดเรื่องราวคงถึงขั้นก่อปัญหา
จึงฝากฝังลูกสาววรรณด้วยปัญญา     
เพียงหนึ่งหนาได้สมสู่เป็นคู่ครอง

กลบทวัวพันหลัก

ผู้พลาดไปพลอยดีใจไม่เคืองคิด     
คิดผูกมิตรกันต่อไปไม่เป็นสอง
สองมิตรแท้นั้นดีแน่ถูกทำนอง     
ทำนองความตามครรลองของผองชน

ชนกลุ่มใดที่ร่วมใจสมานสมัคร     
สมัครรักสามัคคีย่อมมีผล
ผลในด้านสันติสุขแก่ทุกคน        
คนเราเลิกเห็นแก่ตนสังคมดี

’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’

แต่นั้นมาทุกเพลาเช้าถึงค่ำ     
เป็นประจำชิงกันใกล้ต่างไม่หนี
ไม่สบช่องสองต่อสองเลยสักที     
ทุกเวลาจะต้องมีกันสามคน

มาพร้อมกันกลับพร้อมกันรู้ทันเท่า     
วันรุ่งเช้ารอหน้าบ้านนั้นอีกหน
ใกล้เดือนแรมกลัวร้างราพากังวล     
สิ้นอดทนเร่งเร้าถามคำตอบรัก

แม้นึกคิดเหมือนสนิทกันนานมาก     
ความจริงหากพิเคราะห์ดูเพิ่งรู้จัก
ทั้งอยู่ในเหตุการณ์อันบีบคั้นนัก     
มิใช่ผักใช่ปลาไว้ให้แบ่งปัน

วรรณปุจฉาหานิยามแห่งความรัก     
ที่ท่านมักนำมาอ้างสร้างเสกสรร
หรือเพียงหมายให้ชนะคะคานกัน     
เพราะยึดมั่นและหลงใหลในรูปกาย

อันมิใช่จะจิรังยั่งยืนแท้        
เสื่อมลงแน่รักเสื่อมตามงามสลาย      
หรือสัญญาจะรักกันจนวันตาย     
แลมั่นหมายพิศวาสทุกชาติไป

กลบทพยัคฆ์ข้ามห้วย

ปรารถนาก็ว่ารักเสียหนักหนา     
มองตรงไหนก็โสภากว่านางไหน
ยามพึงใจรำพันนักรักหมดใจ        
ปานจะกลืนนานจะไกลให้กล้ำกลืน

เมื่ออยากได้เดือนหรือดาวเอาให้ได้     
หญิงขัดขืนมิยอมให้ก็ข่มขืน
เพียงชั่วคืนสาวสลายไม่อาจคืน     
ชายผูกใยมิยั่งยืนสิ้นเยื่อใย                                        
 ----------------------------------------------


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 13 พฤศจิกายน, 2561, 01:52:16 PM
                          ธนุ  เสนสิงห์ 39

สองพญาตอบความหมายคล้ายยืนยัน  
อันรักนั้นเปี่ยมล้นจินต์สิ้นสงสัย
ไร้เหตุผลต้นสายรักจากหนใด     
สุดหัวใจแล้วเมื่อรู้อยู่ว่ารัก

สาววรรณฟังคำเฉลยเอ่ยแถลง     
ประจักษ์แจ้งแต่ดวงจิตให้คิดหนัก
เลือกฝ่ายหนึ่งอีกฝ่ายต้องหมองใจนัก    
มิอยากหักหาญน้ำใจใครสักคน

จึงหวังจะใช้เวลามาแก้ไข        
บอกปีใหม่ไม่นานช้ามาอีกหน
มีพ่อแม่แก่เฒ่ายังห่วงกังวล         
ตั้งใจตนอยู่รับใช้ได้แทนคุณ

ถึงปีใหม่วัยครบเกณฑ์เบญจเพส      
คงมีเหตุมีผลเอื้อมาเกื้อหนุน
ขอท่านได้ให้เมตตาและการุณย์     
หากมีบุญร่วมกันแล้วไม่แคล้วกัน

มิอยากอ่อนต้องผ่อนตามจำยอมรับ     
 ถูกบังคับด้วยเวลาบัญชาสวรรค์
สองพญาจำลาไกลอาลัยวรรณ     
สัญญานั้นย้ำให้ทำตามสัญญา

ว่าแต่นี้ไปจนครบจบขวบปี        
จะไม่มีใครฉ้อฉลวนมาหา
ต้องรอไปให้จนถึงซึ่งเวลา        
นางนัดหมายพิพากษาปัญหาใจ

แววตาสัตว์ที่มองเห็นซ่อนเร้นอยู่     
ต่างก็รู้ว่าแฝงเล่ห์ทำเฉไฉ
รับปากพอเหมือนล่อเหยื่อมิเชื่อใคร     
แต่จำไกลไปด้วยกรรมตามทางตน


ญายอดน้ำเคลื่อนย้ายพลใหญ่น้อย
คืนดงดอยค่อยปีหน้ามาอีกหน
จัดทหารเหล่างูเห่าเฝ้าอยู่ยล        
คุ้มครองคนรักมิให้ใครรังควาน

สั่งงูสิงผู้ว่องไวใจหาญกล้า           
รายพนาตลอดทางฟังข่าวสาร
คืนเริ่มแรมพอล่วงถึงกึ่งวิกาล     
มิช้านานกลายร่างพลันดั้นดงไป

ฝ่ายพญาท่าข้ามแหวกน้ำข้น        
ยังว่ายวนละแวกนี้มิไปไหน
แวะรายวังสร้างพวกพ้องมองการณ์ไกล  
ผูกมัดใจเข้ไว้เติมเสริมพลัง

สั่งคุ้มภัยคนรักซ้ำย้ำทุกหน        
อำนาจมนต์เวชตบะพลังขลัง
เหล่ากุมภาต่างยินยอมพร้อมเชื่อฟัง     
พญายังได้ปลุกเร้าเรื่องเผ่าพันธุ์

ว่าศัตรูพญางูแห่งยอดน้ำ      
  มารุกล้ำดั่งคุกคามเหยียดหยามหยัน
ในภายหน้าข้าจะสั่งสอนให้มัน     
 รู้โทษทัณฑ์บังอาจเทียบเปรียบศักดา
 


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 14 พฤศจิกายน, 2561, 01:23:58 PM
      40 แม่ศรีวรรณทอง

ไอ้งูน้อยกระจ้อยร่อยกระจิริด     
ร่างเรียวนิดเหมือนไม้ไผ่ไร้แขนขา
จะงับฟาดพินาศไปในพริบตา           
หากขืนกล้าทำกำแหงมาแข่งฤทธิ์

กุมภาฟังต่างคลั่งแค้นแสนพิโรธ     
ให้เกลียดโกรธมิเข้าใจใครถูกผิด
เมื่อพญาเห็นว่าได้เหมือนใจคิด     
พันผูกจิตสมดั่งใจจึงไคลคลา

ตลอดคลองเข้ผสานสมานสมัคร     
มุ่งทายทักใส่ไฟพิษริษยา                    
จนใกล้ถึงบ้านท่าข้ามตามเวลา     
ใจสะท้านเมื่อผ่านหน้าคลองพุมดวง
  
ได้กลิ่นอายสายน้ำเก่าเร้าดวงจิต     
ทำให้คิดถึงภรรยาน่ารักหวง  
คงชะแง้เฝ้าแลหาว่าพี่ลวง        
โอ้พุ่มพวงพี่จะคืนไปชื่นใจ

คิดถึงนักผลักดันให้ว่ายเร็วรี่        
มิรอรีแวะเวียนวนแห่งหนไหน
เหนื่อยนักหนาเสาะหารักจากแดนไกล     
ถึงอย่างไรรักยังมีศรีภรรยา  
  
กลบทเบญจวรรณห้าสี.

สัตว์สิงห์เสือสมสู่เพื่อสืบพันธ์ตน     
กินเกียรติ์กามเกมกลคนเสาะหา              
สำส่อนสู่เสพสมสุขคลุกกามา     
ขัดเคืองแค้นขับเข่นฆ่าท้าชิงชัย

ตัวตนตั้งตักตวงเอาเมาโลภหลง     
ผิดพันธุ์พงศ์พิพาทฤทธิ์พิสมัย
ดวงเดือนดาวดื่นดาษตาบนฟ้าไกล     
เจาะจงใจจับจองเดียวดวงดารา                    
.....................................

   ที่ปากปันเกิดเหตุร้ายไม่คาดฝัน     
พ่อสาววรรณล้มป่วยหนักยากรักษา                    
ท่านสิ้นลมหลังเจ็บไข้หลายเพลา     
ความเศร้าพาแม่ล้มหมอนนอนตรอมใจ

แล้วแม่ก็ลาโลกไกลตายตามพ่อ     
วรรณนั้นหนอยิ่งหมองหม่นสุดทนไหว
พึ่งพระธรรมนำโศกคลายสลายไป     
ทุกสิ่งไซร้ไม่เที่ยงแท้แน่จิรัง      

แต่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ให้เปล่าเปลี่ยว     
ตัวคนเดียวแสนเหว่ว้าพาสิ้นหวัง
นึกขึ้นมาภาระใหญ่ในใจยัง        
คือคำสั่งของพ่อแม่ก่อนแกตาย

อัฐิแม่แลของพ่อขอโอบอุ้ม        
ไปรวมกลุ่มแห่งพงศ์พันธุ์ดั่งมั่นหมาย
ฝากเคหาทั้งนาไร่ไม่มากมาย        
เพื่อนหญิงชายใกล้บ้านด้วยช่วยดูแล



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15 พฤศจิกายน, 2561, 09:28:18 AM

         ตอนที่ ๔  นิราศตาปี

    หน้าน้ำหลากมีแพล่องจากคลองปัน
เช้าตรู่วรรณขออาศัยในกระแส
นิราศร้างมากลางชลหม่นดวงแด     
พร้อมอัฐิของพ่อแม่ น้ำตาคลอ

เป็นห่วงหลังมิเคยร้างห่างถิ่นฐาน     
ข้างหน้าการณ์จะเป็นไปไฉนหนอ                                                
ทอดอาลัยมาในคลองคอยมองตอ     
ขวางคลองพอได้ค้ำแพเสียแต่ไกล
              
กลบทบุษบงแย้มผกา.

แพเล็กใหญ่เริ่มจากไผ่มารวมรวบ  
แพลูกบวบช่วยพยุงซุงลอยไหล
แพเรือล่องสภาพคลองต้องเข้าใจ     
แพชีวิตมีอภัยผูกใยรัก

แพสังคมดุจไม้จมและไม้ลอย     
แพรัฐร้อยคนดีร้ายไว้ด้วยหลัก
แพลอยไปถึงที่หมายไม่ง่ายนัก     
แพเมื่อพบอุปสรรค์มักผันแปร
..............................

 บนแพท่านผู้ชราชื่อตาขำ      เ
สร็จพิธีกรรมร่ำสุราหน้าแดงแจ๋
เป็นครูหมอ*ขวัญลูกหลานท่านดูแล     
ถึงเฒ่าแก่ทุกคนย้ำความสำคัญ

สร้างความหวังกำลังใจให้ลูกหลาน     
ประสบการณ์มีมากมายได้สร้างสรรค์
ท่านสืบทอดภูมิปัญญาสารพัน     
หน้าที่นั้นเล่านิทานอันมีมา

ออกจากทับ*มองเห็นวรรณนั้นเหงาหงอย    
จึงได้ค่อยย่างเท้าก้าวเข้ามาหา
วรรณดีใจพนมไหว้ชายชรา        
เจรจาพอให้หายคลายกังวล

แล้วกล่าวว่าตาจะเล่าเค้ามูลบ้าน     
เมื่อแพผ่านไปถึงแหล่งทุกแห่งหน
เจ้าจงจำนำสืบสานลูกหลานตน     
เกิดเป็นคนให้เห็นคุณมูลอัตตา

ตำนานเก่าหรือเค้าความนำเล่าไว้     
มิรู้แจ้งเร่งสนใจใฝ่ศึกษา
อันเรือนบ้านย่านตาปีนี้วัฒนา     
ตราบธาราเป็นวิถีที่จุนเจือ
   
-----------------------------------------------------
                             
ครูหมอ    ผู้นำการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวบ้าน      
ทับ   เพิงพักขนาดเล็กที่สร้างขึ้นพอได้บังแดดฝนชั่วคราว


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 16 พฤศจิกายน, 2561, 11:14:24 AM
42 แม่ศรีวรรณทอง

คลองตาปีในย่านนี้ปลามีมาก       
เข้หลายหลากตามอาหารอันล้นเหลือ
สมัยก่อนหาปลาง่ายใช้ลอยเรือ       
พายขึ้นเหนือแล้วปล่อยเลียบตลิ่งมา

เอาไม้พายจ้วงตีน้ำขึ้นตั้มตุ้ม          
ปลาชุกชุมอยู่เป็นฝูงทั้งซ้ายขวา
ปลาตกใจจะดีดโจนลงนาวา          
ตีหลายคราอาจหนักล้นจนเรือจม

เรือทุกลำต้องทำกรงเอาลงครอบ       
เข้นั้นชอบกัดคนเช่นเด็กเห็นขนม
สิ่งล่อใจปลากุ้งใหญ่อันอุดม        
เรือจะล่มเข้จะดุยังสู้ตาย  
                  
 ถึง“บ้านนูน”บ้านคงนูนขึ้นเหนือน้ำ  
มีที่ต่ำรายอยู่รอบขอบความหมาย
จริงตามเค้าหรือเล่าเพิ่มจนเริ่มกลาย       
บ้านประปรายบนดอนมีชี้ความนูน

ผ่านบ้านนูนเลยถึงย่านบ้าน“หานทราย”
ป่าค่อยหายอีกไม่นานหานคงสูญ          
ทรายเลื่อนไหลเมื่อไร้ป่ามาเกื้อกูล     
 ไม่เพิ่มพูนอนุรักษ์มักไม่นาน

ผ่านหานทรายไปถึงย่านบ้าน“ไสขรบ”*  
ไม่ค่อยพบเห็นบ้านใครสุดปลายย่าน
จะหาเห็นเป็น “ต้นขรบ”ไม่พบพาน     
 ชื่อก็ขานอยู่ป่าไส*ใช่ริมคลอง

วรรณฟังเรื่องที่ตาขำนำมาเล่า       เ
ค้านามเก่าของหานทรายพอคลายหมอง      
ผ่านไสขรบชวนขบคิดจิตไตร่ตรอง       
ลมล่องคลองตะวันบ่ายเย็นกายใจ

ถึง“คลองเหียน”หรือคลองนั้นมันหันเหียน       
จนวิงเวียนตามคลองคดหมดสงสัย
แต่ตาขำมิอาจเน้นความเป็นไป       
ปล่อยแพไหลตลอดย่านบ้านไม่มี

พงอ้อรายไม่มีท่าป่ารกร้าง          
ให้อ้างว้างมิได้ยินว่าถิ่นที่
ปลายยางยูงฝูงลิงค่างบ่างชะนี       
เสียงอึงมี่โจนเล่นไล่ไม่เกรงกัน
  
เลยแนวป่ามาใกล้ย่านบ้าน“ปากสาย”
เห็นไร่รายปลูกฟักแตงดูแข็งขัน
ข้าวโพดบ้างข้าวฟ่างสลับกับแปลงมัน       
ปากคลองนั้นบ้านแน่นหนาเบิ่งตามอง

ในย่านนี้ที่เรียกขานบ้าน“ควนร่อน”       
แต่แน่นอนมี “ปากสาย”คล้ายชื่อสอง
บนควนนั้นคงเคยร่อนก้อนแร่ทอง       
สายนั้นคลองชื่อว่า “สาย”ไหลล่องมา

   -------- -- ---------------------------  
                 
ไส  ป่าที่ผ่านการถางโค่นแล้วจุดไฟเผา เพื่อทำไร่ ครั้งหนึ่งแล้วง
 เรียกว่าไส  เมื่อทิ้งไว้จนต้นไม้ขึ้นรกเป็นป่าอีกเรียกว่าป่าไส



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17 พฤศจิกายน, 2561, 04:08:20 PM
44 แม่ศรีวรรณทอง

เป็นทางผ่านคนเหนือย่านบ้านนี้ไซร้       
จากถิ่นไหนต้องผ่านแท้แน่นักหนา
ควนร่อนเป็นเช่นประตูสู่พารา       
เป็นรอยต่อของบ้านป่า ศิวิไลซ์

จากคลองปันดินแดนไกลในไพรสณฑ์       
ขึ้นรถยนต์หรือสองล้อก็พอไหว                                                                
แต่หน้าฝนรถไม่คล่องต้องเดินไกล       
 ต่อรถไฟที่ “บ้านส้อง”ขึ้นล่องมี

คนคลองปันเขาเรียกกันว่าคนเหนือ       
ใช่หน่อเนื้อเชื้อชาวเวียงเพียงเสียดสี
อันเหนือนั้นคือหยามหลู่อยู่ในที       
เหนือถิ่นที่ชาวบ้านเมืองเขาเฟื่องฟู

อยู่“เขาปด”บ้าน“น้ำดำ”“โตรม”“สามพัน”    
ห่างไกลครันไร้รถบ้านร้านเลิศหรู
ถึง “บ้านส้อง”ร้องโอ้โฮโก้น่าดู       
รถหลายตู้คือรถไฟให้ตื่นตา

ปากต่อปากต่างเล่าขานลือกันใหญ่       
เหนือกิ้งกือที่ฝันไว้หลายร้อยขา                                          
ความตื่นใจโลกที่ไม่เคยเห็นมา       
จนซุ่มซ่ามทำเซ่อซ่าน่าติติง

ถึงดูเชยดูเปิ่นเปิ่นทั้งเขินเคอะ       
ทำเซิงเซอะจนใครใครไม่สุงสิง        
แม้รุ่งเรืองอาจเสื่อมได้ให้ประวิง       
ต่ำต้อยยิ่งอาจวัฒนามาเทียมทัน  

กลบทวัวพันหลัก.

เกิดเป็นหงส์อย่าทะนงว่าทรงศักดิ์    
ศักดิ์เสื่อมลงหงส์ปีกหักมักถูกหยัน
หยันเขานักมักโดนหมายไว้สักวัน       
วันพลาดพลั้งถึงทางตันจะเจ็บตัว

ตัวตนใจอยู่ภายในยิ่งใหญ่กว่า       
กว่าหัวโขนหมวกชฎาที่สวมหัว        
หัวหน้ายศศักดินาพาเมามัว          
มัวเพลินใจในทางชั่วพาตัวตาย
...................................

ผ่าน“ปากเหยียน”ใครหรือเหยียนเตียนถากถาง
คนเดินทางมิอาจซึ้งถึงความหมาย
ปล่อยแพล่องตามคลองไปใจสบาย       
ครั้งตายายเหยียน*ขี้ไต้ให้ติดไฟ    
      
ผ่าน“หานหมวย”คงหมายว่าปลามีหลาย  
ได้มากมายหมายว่า“หมวย”*เสียไม่ไหว
พอนานอดเพราะหมดปลาว่าซวยไป       
มีหรือหวังสมดังใจได้ทุกครา

-----------------------------
-                                    [/color][/size]      
เหยียน  พื้นบ้านใช้ในความหมายว่าเหยียดหยามอย่างรุนแรง  
หรืออาการที่ช้างใช้เท้าเหยียบแล้วขยี้คนหรือสัตว์  
หรือการขยี้ขี้ไต้ให้หลุดออกเพื่อให้ไฟลุกโชนขึ้น
หรือขยี้อย่างแรงและรวดเร็วเพื่อดับไฟ
หมวย     โชคในการจับปลาดี  หาได้โดยง่าย มากๆ  




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 19 พฤศจิกายน, 2561, 11:01:00 AM
                                ธนุ  เสนสิงห์ 45

ถึง “บางทะลุ”ทะลุช่องลัดคลองโค้ง       
น้ำไม่โกงเมื่อตรงได้ตรงไปหน้า
เพลินน้ำใสใกล้เย็นย่ำสนธยา       
วอนเทวาท่านอารักษ์ขอพักคืน

ตอเพิงหวายรายชายคลองให้ข้องขัด       
ถ้าไม่หมัด*มืดลำบากไม่อยากฝืน        
เตรียมหวายเดา*เรียงคนรายท้ายแพยืน  
ใช้ดุ้นฟืนตีสัญญาณทำงานพลัน

ลากหวายโหนโจนลงในสายน้ำหลาก       
เป็นงานยากต้องมีแรงอันแข็งขัน
เสียจังหวะเกิดติดขัดหมัดไม่ทัน       
แพย้อน*เฉี่ยวเที่ยวบ้าหวัน*อันตราย

แต่เย็นนั้นวรรณเตรียมปรุงหุงอาหาร       
ทำเชิงกรานฟืนสุมวางอย่างง่ายง่าย
ไม้แห้งกองสองฝั่งฟากมีมากมาย       
หุงข้าวสบายด้วยปล้องไผ่ที่เตรียมมา

ใต้ข้อไผ่ตัดออกเป็นปากกระบอก       
ข้าวสารกรอก แล้วใช้ใบพ้อ* อุดฝา
ตั้งพิงกลุ่มสุมฟืนใส่รอไฟรา          
มินานช้าหอมตลบอบอวลแพ

เบ็ดเกี่ยวเหยื่อหย่อนไว้รอล่อมัจฉา       
มากมิหาแค่พอเพียงไม่เหวี่ยงแห
ผักอุดมยอดหวายขม ชะมวง แค       
แกง ต้มแต่ล้วนเลือกใช้บอก*ไผ่เรียง  
                                                        
ยินวิหคเหล่านกกาบนคาคบ          
ไล่จิกรบแย่งคอนกันสนั่นเสียง
ทั้งลิงค่างกลางไพรพงส่งสำเนียง       
พอค่ำลงก็เหลือเพียงหริ่งเรไร

โอ้ย่ำค่ำยามเมื่อค้างกลางสายน้ำ    
วรรณหนาวล้ำทั้งเหว่ว้าจักหาไหน
ตาขำดูก็พอรู้ความในใจ          
จึงชวนให้สนทนาเฮฮากัน

เหล้าขาวมีที่เตรียมมาคว้าออกตั้ง       
ตาขำนั่งคนแพรวมร่วมสังสรรค์
ของใช้กินรินเหล้ายามาแบ่งปัน       
เกร็งทั้งวันผ่อนเส้นสายสบายอุรา

------------------------ ---------------------

หมัด  การผูกโยงแพ(ภาษาถิ่น)   การผูกมัดที่มีแรงดึง  
หรือที่มีการกวดให้ตึง
หวายเดา หวายใหญ่จากป่าลึกในท้องถิ่น ขนาดที่ใช้  
 โคนประมาณ 2” ปลายประมาณ 1”  ยาว 10-20 เมตร    
ย้อน ปะทะ กลับหน้ากลับหลัง   ภาษาถิ่นใช้ในความหมายว่า
ชน กระแทกบ้าหวัน ขวาง หมุนไปมาไม่รู้ทิศทาง
พ้อ(กะพ้อ) ไม้ตระกูลปาล์ม ขนาดเล็ก  licuala spina  
ใบใช้ห่อข้าวเหนียว ข้าวต้ม ทำจุกข้าวหลาม
สุกแล้วจะช่วยให้ข้าวมีกลิ่นหอม       บอก  กระบอก  


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 20 พฤศจิกายน, 2561, 12:13:09 PM
 46 แม่ศรีวรรณทอง

ไม้ไผ่ตงตัดติดข้อทั้งสองข้าง          
ขวานผ่ากลางเป็นจานใช้ง่ายนักหนา
ใส่ต้มย่างแบบลูกทุ่งทั้งกุ้งปลา           
สนทนาดื่มกินไปไม่เมามาย

ได้เวลาตาขำเล่าเรื่องชาวบ้าน        
หลายเหตุการณ์ย่านตาปีมีมากหลาย          
บ้างเข้กัด บ้างถลำตกน้ำตาย           
ปีหลายรายเป็นข่าวดังได้ฟังมา

เล่าถึงคนใต้ปากปันนั้นคนหนึ่ง       
เป็นผู้ซึ่งเข้เคยกัดเกือบตัดขา
แต่ยังสู้อยู่แม่น้ำค่ำหาปลา          
แล้วชะตาเกิดเคราะห์หามยามร้ายครัน

เมื่อคืนหนึ่งเหมือนเคยมาพาคู่หู         
วางเบ็ดอยู่อย่างเร็วรี่ขมีขมัน
เจอเข้ใหญ่ฟาดคนท้ายหายไปพลัน        
เรือเป็นอันจมดิ่งลงในคงคา

ความกลัวรีบปีนเพิงหวายขึ้นชายคลอง    
น่าสยองหวายมีหนามอยู่แน่นหนา
ปีนขึ้นได้ตัวเลยรอดปลอดภัยมา       
แล้วตามหาคนไปดูคู่หูตน

ชี้เพิงหวายที่ปีนป่ายภูมิใจว่า          
แปลกนักหนาหนามหวายไม่ระคายขน
ลูกมากอดถอดเสื้อออกยอกพิกล          
เมียอีกคนช่วยเขี่ยหนามอยู่สามวัน

ยามกลัวตายเรื่องผิวกายไม่รู้สึก         
หลายเรื่องนึกขึ้นเล่าความเป็นขำขัน
ความตกใจไปอย่างไรก็ไปกัน          
ผ่านช่วงนั้นทำได้ไงให้สงกา

ตั้งนิทานกินอาหารจนอิ่มหนำ       
หลังพลบค่ำยุงมันชุมรุมแขนขา
เก็บข้าวของต้องกินหมากปากสูบยา       
ตบตัวตาแขนคางหูอยู่พัลวัน

 กลบทยัติภังค์.

เมื่อยามเช้าเช้าตรู่ตรู่กู่ก้องธา-       
รามองหาหาเห็นแพแลส่งสัญ-
ญาณให้ปล่อยปล่อยแพไหลจำใจครร-       
ไลล่องลอยลอยเหหันไปตามชล-

ธีดั่งนกนกขมิ้นเหลืองอ่อนแสง-     
สุรีย์แดงโรยโรยรอนจะนอนหน-
ใดเล่าค่ำค่ำไหนนอนวอนเทพดล-       
บันดาลผลผลพิพัฒน์สวัสดี
......................................                              
แพลดเลี้ยวลุชะวาก“ปากคลองตาล”
แต่นมนานธารได้เห็นเป็นวิถี
กาลก่อนครั้งทางรถยนต์ยังไม่มี       
อันคลองนี้มากนาวาใช้มาไป


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22 พฤศจิกายน, 2561, 08:37:29 AM
     ธนุ  เสนสิงห์ 47

เมือง“เวียงสระ”*ก่อนเก่าตามตำนานชี้  
พระเจ้าศรีธรรมโศกราชผู้เป็นใหญ่
หนีโรคร้ายคือไข้ห่าพร้อมข้าไท       
จากแดนไกล “คีรีรัฐ”*นครมา

ได้สร้างบ้านแปลงเมืองไว้ให้เรืองรุ่ง       
หมายผดุงชนและชาติศาสนา
ก่อสร้าง “วัดเวียงสระ”อันตระการตา    
สร้างไร่นาคือ“ทุ่งหลวง”ให้ปวงชน

ไข้ห่าเป็นเช่นผีร้ายหายไปนาน       
ตามรังควานมาผลาญเผาเอาอีกหน
ต้องหลบลี้หนีไข้ห่าพาผู้คน          
ข้ามเขาด้นมุ่งหมายไปชายทะเล  
                                      
ตาขำยั้งตั้งนิทานอันยืดยาว          
ข้ามเรื่องราว “ละหานคน”พ้นหันเห
ถึง “มอเก็ด”ราวบ่ายสามตามคะเน       
แพเรียงรายให้เรือเมล์เข้าจอดเคียง

แถวถิ่นนี้มีอู่เรือน่าเชื่อถือ          
“เรือมอ” คือเรือมาดที่มีชื่อเสียง
เรือใหญ่มากถากสะเก็ดไม้รายเรียง       
นานเหลือเพียงแต่“มอเก็ด”เป็นเหตุมา
                        

ถึง “คลองโร”ลือกันมาว่าเข้ร้าย       
ขยับกายไกลขอบแพดวงแดผวา
ยินเสียงเครื่องเรือหางดังหลังธารา       
เร่งยาตราที่เห็นมีกว่าสี่ลำ

สี่ลำทาบขนาบแพแลซ้ายขวา       
ลำหนึ่งชิดติดแพหน้าพบตาขำ
คนยกปืนขึ้นลำกล้องพูดสองคำ       
ไม่ต้องย้ำทราบความหมายให้“สักแพ”

ตาขำรู้อยู่แก่ใจแต่ได้เห็น                  
พวกมันเป็นเหล่าโจรร้ายในกระแส
อิทธิพลมากนักหนานะพวกแก        
คิดว่าแน่มาข่มเหงไม่เกรงใคร

กว่าจะได้เป็นแพนั้นมันลำบาก             
บุกป่าเขาต้องเหนื่อยยากหนักแค่ไหน
ชุบมือเปิบกันจริงนะช่างกระไร         
คิดในใจเสียนานมาไม่กล้าวอน
    
สาววรรณทนไม่ไหวตั้งใจช่วย       
ขอร้องด้วยถ้อยสำเนียงเสียงออดอ้อน
หัวหน้าเห็นเป็นสาวงามอรชร       
อันแต่ก่อนนั้นตั้งใจได้แค่แพ
  --------------------------------  

เวียงสระ  ปัจจุบันเป็น  อ.เวียงสระ  จ.สุราษฎร์ธานี  
ทุ่งหลวง   ปัจจุบันเป็น  เทศบาล ทุ่งหลวง   อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี
คีรีรัฐ  อ.คีรีรัฐนิคม  เดิมเรียกท่าขนอน  เป็นท่าด่านที่เก็บอากร
เรือสินค้าที่ขนสินค้าไปมาระหว่าง
ทะเลอันดามันกับอ่าวไทย



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 23 พฤศจิกายน, 2561, 01:14:54 PM
48 แม่ศรีวรรณทอง

บัดนี้พลันมันได้ทีเกินที่หมาย          
จักฉุดไปสาวหรือหม้ายไม่แยแส
พอจะจับต้องผงะตะลึงแล           
เห็นงูแผ่แม่เบี้ยชูอยู่รายเรียง

เรือก็โคลงเคลงไปมาท่าจะคว่ำ         
เข้ฟาดน้ำตูมตามลั่นสนั่นเสียง
ริมแคมเรืองูขู่ฟ่อส่อสำเนียง          
เข้ก็เอียงอ้าปากค้างอยู่ข้างเรือ

โจรตระหนกหัวอกสั่นจนขวัญหาย       
กลัวงูร้ายโดดน้ำไปคงไม่เหลือ
พวกนี้มีภูตผีป่ามาจุนเจือ             
สิ้นลายเสือเร่งเรือหนีว่าผีอำ

ตาขำยังนึกแปลกใจอะไรนี่         
พ่อตา*ที่แห่งใดมาอุปถัมภ์
ต่างคนก็ไม่เข้าใจว่าใครทำ            
ไว้หัวค่ำเมื่อร่วมวงคงคุยกัน

แพลอยล่องลำคลองไปค่อยคลายหมอง  
เกือบจะต้องสูญเสียแพแค่เสียขวัญ
หลังขอบคุณท่านพ่อตาด้วยตื้นตัน          
ยังรำพันถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา

คนแก่เฒ่าจะเอาแรงขันแข่งใคร          
ยังจำได้นิทานมีดีนักหนา              
ถึง “ปากจน”ปากคลองไยไร้เงินตรา       
พูดอะไรไม่เข้าท่า “ปากพาจน”

แพล่องไหลไม่นานจึงถึง “ปากฉวาง”      
กำเนิดกลาง “เขานครศรี”ไพรสณฑ์
เลย“ฉวาง” ล่วง“นาสาร”บ้านตำบล    
 มีผู้คนได้อาศัยใช้ไปมา  
                  
แพคงลอยเลี้ยวไปตามสายน้ำหลาก      
มิเนิ่นนานผ่านชะวาก “ปากนาขา”    
ถึง “หานยาง”เห็นยูงยางข้างธารา       
ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงท่า “ละหานดำ”

ตั้งใจไปจนให้ถึงซึ่ง “เคียนซา”       
แต่เวลาพอเพลินไปมักไวค่ำ
ถึง “บ้านซุม”เมฆคลุมฟ้าพามืดคล้ำ       
จวนเย็นย่ำแพล่องมาถึง “ท่ากุล”

เคยเป็นท่า “บริษัทป่าไม้สุราษฎร์”       
ได้อนุญาตสัมปทานนั้นเกื้อหนุน
ถึง “เทพา”วอนเทพารักษ์การุณย์       
ช่วยค้ำจุนเดินทางโดยสวัสดี

------------------------------
              
พ่อตา เทพประจำถิ่นสถานที่  คนที่นับถือ
เมื่อจะทำอะไรที่เป็นที่รบกวนท่าน  จะต้องจุดธูปบอกกล่าวก่อน
หรือเป็นการขอพรให้ปลอดภัย โชคดีฯ



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24 พฤศจิกายน, 2561, 12:39:45 PM
    ธนุ  เสนสิงห์ 49

ผ่าน “อัมรัด”ขอให้ธารเป็นอำมฤต        
เทพประสิทธิ์พรล้ำเลิศประเสริฐศรี  
อยากปล่อยใจให้ฉ่ำชื่นรื่นวารี              
สองฝั่งมีที่ได้เห็นเป็นอรัญ

ไม่มีย่านบ้านห้องหอพออาศัย           
นั่งตกปลาปล่อยฤทัยให้สุขสันต์
ธารเลี้ยวลดแล้วคดเคี้ยวเดี๋ยวหมดวัน       
หมัดแพพลันที่หน้าย่าน “หานชะโด”

ชะโดใหญ่ในละหานเล่าขานว่า         
คนลงหาปลาครั้งไหนให้โมโห
ไล่งับคนถือว่ามันนั้นตัวโต           
สุดท้ายโถ...ถูกจับกินเกือบสิ้นพันธุ์

พักแรมค้างกลางธาราหน้าละหาน        
ฟังนิทานเรื่องสนุกแสนสุขสันต์
พอหัวค่ำว่ายน้ำมาหารวมกัน          
ได้แบ่งปันของกินพลางวางแผนการณ์

ถึงที่หมายคงได้ทรัพย์รับสินจ้าง       
เวลาว่างเที่ยวให้สุขสนุกสนาน
แต่ตอนนี้แสบคันจังยุงรังควาน       
พักสักคืนให้ชื่นบานเช้าอำลา

เสียงไก่ป่าขันกระชั้นเพลาเช้า       
ดั่งเร่งเร้าสัตว์อื่นอื่นตื่นผวา
นกจากคอนคนแพจรพร้อมนกกา       
สายธารายังล่องไหลอีกไกลครัน  
        
ถึง“บางประ”เป็น“ลูกประ”*หรือไฉน    
มองผ่านไปเห็นแต่ป่าพนาสัณฑ์
ถึง “เขาตอก”ยังตอกย้ำความสำคัญ       
แล้งนัดกันพร้อมจับปลาชายวารี

จนใกล้ถึงบ้าน “เคียนซา”ดูคลาคล่ำ       
เรือหลายลำจอดเรียงรายชายวิถี
ที่ขึ้นล่องมองขวักไขว่ในนที           
อันถิ่นนี้รุ่งเรืองมาแต่ช้านาน

คำว่า“เคียน”คือพันธุ์ไม้ในท้องถิ่น         
มิเคยยินต้น “เคียนซา”ว่าใครขาน
“เคียนทราย”บ้าง“เคียนทอง”ช่างสร้างเรือนชาน
หรือโบราณหมายถึงเกวียนล้อเวียนวน

อีก “เรือเกวียน”* มาขายค้าบ้านป่าดอน  
กาลครั้งก่อนมี“เกวียน”มากจากทุกหน
“ซาเกวียน”ค้ามาจอดค้างกลางสายชล    
จนบางคนยังเรียกขานบ้าน“เกียนซา”*

-----------------------

ลูกประ (คำปักษ์ใต้) ลูกกระ ผลไม้ป่ามักขึ้นบนภูเขา  
เม็ดในกินได้มันเหมือนถั่วเม็ดเท่านิ้วชี่เรียวยาวราว 2 ข้อมือ  
เปลือกสีน้ำตาลดำ กินได้ทั้งคั่วสุกแบบเกาลัด  และดองเปรี้ยว
เคียนซา  ปัจจุบันคือ อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี    เรือเกวียน
เรือที่มีรั้วกันรอบเพื่อใส่สินค้าคล้ายเกวียน เกียน คำที่เพี้ยน
มาจากเกวียนมาตราใช้ตวงข้าวเปลือกของชาวบ้าน



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 07 ธันวาคม, 2561, 12:32:29 PM
50 แม่ศรีวรรณทอง
 
อีกตำนานสมัยรัตนโกสินทร์          
ชาวธานินทร์นครศรีฯแสวงหา
ไม้ตะเคียนต้นใหญ่งามตามตำรา       
สร้างนาวาพระที่นั่งอลังการ

เจอตะเคียนคู่ต้นใหญ่ในป่าลึก         
สมใจนึกหลังเสาะหาหลายสถาน
จึงเกณฑ์คนมามากมายล้วนชายชาญ       
ทั้งพร้าขวานระดมโค่นจนล้มลง

ทำเป็นเพียงเรือโกลนไว้ในกลางป่า          
ไม่อาจจะลากออกมาดังประสงค์
หรือเทพารักษ์จักผิดจิตจำนง           
 จึงเจาะจงให้เกิดเหตุอาเพศภัย

ผู้โค่นไม้หลายคนนั้นเจ็บรันทด       
คนทั้งหมดจึงเชื่อความตามสงสัย
ขอขมาเทพารักษ์แล้วลาไกล        
 ตะเคียนได้ค้างอยู่เห็นเป็น“เคียนคา”

     อันชื่อที่ถิ่นสถานนานวันนั้น       
มักแปรผันจนเปลี่ยนความตามภาษา
จนลืมเลือนคำดั้งเดิมแต่เริ่มมา        
แต่“เคียนซา”ก็เรียกขานมานานครัน

นอกจากดำเนินกิจการด้านป่าไม้         
 “บริษัทบ่อถ่านศิลาไทย”ได้จัดสรร
ขุดถ่านหินถิ่นเคียนซามาอิปัน           
แม้ถ่านนั้นจำนวนมีมิมากมาย

จบเรื่องราวได้เล่าขานบ้าน“เคียนซา”       
แพล่องมาถึง“เกาะแก้ว”แล้วยามสาย
หลายถิ่นฐานตำนานจริงอิงนิยาย        
 น่าเสียดายคนมองข้ามมินำพา

     จนพบบ้านอยู่ประปรายริมชายฝั่ง    
มีชื่อตั้งให้เรียกขานบ้าน “จอกหล้า”
“ย่านลำใน”ชื่อขานไว้ไม่พูดจา            
สุดพรรณนาไร้เรื่องเล่าเค้าความใด

ถึง “ตะปาน”ไร้ตำนานแต่กาลหลัง        
วรรณรอฟังตาขำต่อข้อสงสัย
น่าเชื่อบ้างน่าขำบ้างช่างแต่ใจ       
บรรยายไปยามนั่งว่างกลางสายชล

ถึง“จันทโคตร”โคตรนายจันท์หรือพันธุ์ไม้  
จะชี้ชัดได้อย่างไรใจฉงน
จันทน์กะพ้อ*อ้อพงหวายแซมให้ยล        
ที่มากต้นกระท่อมขี้หมูอยู่ชายคลอง    
  
 --------------------------------
จันทน์กะพ้อ   (Vatica  scortechinii)
 ไม้ใหญ่ ดอกสีขาวเหมือนพะยอม
 กลิ่นหอมเหมือนน้ำมันจันทน์
เป็นต้นไม้ประจำถิ่นภาคไต้

 


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 08 ธันวาคม, 2561, 08:45:58 AM
               ธนุ  เสนสิงห์ 51

ถึง “บางเบา”คือเบาบางอย่างเล็กน้อย  
หรือค่อยค่อยละมุนละไมไม่ช้ำหมอง
แต่ต้นไม้ชอบที่ต่ำมีน้ำนอง          
ชื่อถูกต้องนั้นหรือคือ “บางกระเบา”*

เป็นพันธุ์ไม้ชอบที่ชุ่มในลุ่มลาด           
ผลขนาดมะม่วงมันนั้นเท่าเท่า
เนื้อหอมหวานเมล็ดมันแต่กินเมา        
ผลสุกเอาหน้าน้ำมากไหลหลากมา

เมื่อหล่นลงแตกกระจายในสายธาร        
เหยื่อโปรดปราณเหล่ากุ้งปูหมู่มัจฉา                                          
ทั้ง“ปลาพลวง” “โสด”ก็ดีมี “แม่ปลา”  
เฉพาะหน้าน้ำไหลหลากจักเมามาย

มากน้ำมันนั้นจนเหียนพาเวียนหัว          
ชาเนื้อตัวมึนเมายิ่งสวิงสวาย       
ย่านนี้กองหมอนรถไฟไว้เรียงราย          
เรื่องส่งขายบริษัทเขาจัดการ

ชื่อบริษัท “เซาท์อีสต์เอเซียติก”          
ผู้เคยพลิกผืนป่าใหญ่อันไพศาล
ความ“บางเบา”หลายเรื่องราวเล่าอยู่นาน
แพลุ “หานโตนด” โตนดปราย

     ล่องเลยมาถึงท่าย่านบ้าน“แม่แขก”  
แต่“พ่อไทย”ไม่เห็นแปลกมีมากหลาย  
ต่างพงศ์พันธุ์มิอาจกั้นรักหญิงชาย        
จากเชื้อสายชาติไหนไหนไทยเหมือนกัน  
        
พ้น “แม่แขก”มองที่หมายได้จอดพัก       
ถ้ามืดลงคงขลุกขลักจักคับขัน
ถึง “ทุ่งปักขอ”พอถนัดก็หมัดพลัน       
คนอิปันขอนอนพักอีกสักคืน

“ทุ่งปักขอ”พอมีเค้าให้กล่าวขวัญ         เ
ข้าที่พลันตาขำขานมิขัดขืน
ร่ำสุราคว้าปลาย่างอังไฟฟืน         
ก่อนดึกดื่นผ่อนเส้นสายเมื่อปลายวัน    
                  
ยกนิทานเรื่องตำนาน “ทุ่งปักขอ”        
มิรีรอรีบเอ่ยอ้างมาสร้างสรรค์  
อยู่ข้างขวาเข้าไปในทุ่งใหญ่ครัน        
หญ้าหลากพันธุ์ดินน้ำสมอุดมดี

ยามว่างงานควาญปล่อยช้างออก “วางไพร”*  
อยู่ลำพังกลางทุ่งใหญ่พนาศรี
ถึงเวลาตามหาช้าง ช้างไม่มี              
ลั่นวจีผรุสวาทกราดทุ่งไป

 -----------------------------------------
กระเบา  ที่ภาคใต้มีมากคือกระเบากลักหรือกระเบาลิง
 บางที่เรียกลูกหัวค่าง ตามลักษณะของผล
กระเบาน้ำ  เกสรตัวผู้มีกลิ่นหอมคล้ายดอกจันทน์กระพ้อ
 หรือดอกกาหลาหมัด   (ภาษาถิ่น)  การผูกมัดที่มีความแน่น
ดึงจนเชือกที่มัดนั้นตึงแบบขันชะเนาะ
วางไพร  การปล่อยช้างให้หากินเองในป่า
 ถ้าช้างเชื่องมากๆ จะไม่มีการผูกหรือล่ามไว้



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 09 ธันวาคม, 2561, 04:03:08 PM

52 แม่ศรีวรรณทอง

เดินจนเมื่อยเหน็ดเหนื่อยล้าอุราร้อน       
นั่งพักผ่อนริมสระงามมีน้ำใส
กระหายน้ำเอาขอค้ำข้างหลังไว้           
ก้มหมายใจกอบน้ำเอาเข้าปากตน

ขอล้มลงสับเอาตรงที่ท้ายทอย          
พอลุกถอยเกี่ยวเอาหูเข้าอีกหน
โมโหหนักจักขว้างขอก็ไม่พ้น           
หญ้าพันวนกลับตีแรงหน้าแข้งปัง

เจ็บปวดสุดร่างทรุดลงกลางพงหญ้า       
นั่งครวญคิดตนผิดมาแต่หนหลัง
เคยสับช้างทั้งดุด่าว่าตึงตัง         
คงถึงครั้งที่“พ่อตา”มาสอนตน

สำนึกบาปก้มกราบวอนขอขมา        
ไว้ชีวาจะกลับใจใฝ่กุศล
เคยชั่วโฉดโกรธใจดำทำเสียคน        
จะตั้งต้นเป็นคนดีมีเมตตา

จบคำมั่นหันหลังกลับมือจับขอ         
เดินทางต่อก็เห็นช้างอยู่ข้างหน้า
เข้าใจพลันว่าท่านได้คลายมนตรา        
แต่นั้นมาควาญใจหยาบจึงกลับใจ

       กลบทตรียมก

ใครเคยชั่วใครเคยฉ้อใครเคยฉล       
สิ่งไหนดีสิ่งไหนดลสิ่งไหนได้
คนอาจพลาดคนอาจพลั้งคนอภัย        
ทำเพื่อชาติทำเพื่อชัยทำเพื่อชน

เรารักชาติเรารักศาสน์เรารักกษัตริย์       
มีเหตุข้องมีเหตุขัดมีเหตุผล
เลิกแค้นเคืองเลิกค้างคาเลิกฆ่าคน        
ให้ชาติตั้งให้ชีพตนให้เชิดไทย


หนาวน้ำค้างต่างแยกย้ายไปพักผ่อน  
บ้างร้องกลอนส่งสำเนียงเสียงสดใส
เพลงตะลุงจรุงรื่นชื่นหัวใจ          
กล่อมจินต์ให้สุขสนิทสู่นิทรา  
                    
เช้าปล่อยแพอ้อมรอบ“ย่านขอบกระด้ง”  
ธารเป็นวงสมดั่งนามคำเรียกหนา
อันคลองคดกำหนดได้ด้วยสายตา        
คนคดในไม่อาจหาที่หมายมอง

แพล่องผ่านย่าน“ทัพชัน” พลันสงสัย    
“ทัพ”หรือ“ทับ”*ถ้อยคำไหนใช้ถูกต้อง
แต่ที่เห็นเป็นต้นยางข้างชายคลอง        
ถูกเซาะร่องโดนเจาะต้นคนทำชัน*    

----------------------------------------

ทับ กระท่อมชั่วคราวขนาดเล็ก  
ชัน น้ำมันจากต้นยางป่า,ไม้ยุงหรือไม้ที่มีน้ำมัน
ใช้ทำไต้จุดไฟและทาเรือ
กันน้ำซึม (พื้นบ้านเรียกลาพอน)  
ใช้คลุกกับด้ายดิบแล้วตอกเข้าไปในร่องไม้กระดานเรือ เรียกตอกหมัน)



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 10 ธันวาคม, 2561, 11:09:41 AM
          ธนุ  เสนสิงห์ 53

 ตาขำท่านนั้นเล่าแจ้งหลายแหล่งท่า  
สาววรรณฟังนั่งหลับตาพาเคลิ้มฝัน
เผลอปล่อยใจให้ลอยคว้างฝันกลางวัน    
ตื่นตัวพลันตาขำขาน “บ้านลำพูน” *  
        
คนข้องใจไฉนเหมือนเมืองเหนือนั่น       
เขาเล่ากันสืบความไว้ไม่เสื่อมสูญ
ที่ชื่อคลองพ้องชื่อบ้านอันสมบูรณ์       
ได้เกื้อกูลชลมารคจากถิ่นไกล

ตำนานเก่าได้เล่าขานกันมาว่า          
ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นใหญ่
สมเด็จพระราเมศวรจอมราชัย        
ยกพลไกรขึ้นเมืองเหนือเพื่อยุทธนา

เจ้าเชียงใหม่แข็งเมืองกล้าเป็นกบฏ       
ที่คิดคดด้วยมีจิตริษยา                    
หากปล่อยไว้จะเป็นภัยแก่พารา           
สั่งโยธายกพลพร้อมล้อมเวียงชัย

เจ้าเชียงใหม่เพทุบายถวายสาร             
ขอทรงโปรดพระราชทานวินิจฉัย
สัญญาว่าอีกเจ็ดวันแต่นั้นไป              
ชวนข้าไทหันกลับมาสวามิภักดิ์  
พระราเมศวรทรงระวังทั้งสงสัย
         
เวลาใกล้ได้เจ็ดวันพลันประจักษ์
ปืนใหญ่ยิงจากเวียงมาหนาแน่นนัก       
มิตระหนักคงพ่ายแพ้แก่ไพรี
พระสั่งทัพให้ทำทีหนีแตกพ่าย
         
แยกกระจายแบ่งกำลังดั่งถอยหนี    
เจ้าเชียงใหม่เห็นเป็นง่ายว่าได้ที          
ออกตามตีหวังให้เสร็จเผด็จชัย

ทัพอโยธยาพร้อมล้อมซ้ายขวา             
โอบพาราไม่ให้ลี้หนีไปไหน
รบพุ่งกันมินานนักสักเท่าใด            
ทัพเชียงใหม่ต้องแตกพับย่อยยับลง

ฐานที่ตั้งคุ้มทั้งหลายค่ายเล็กใหญ่         
ถูกจุดไฟเผาทำลายไหม้เป็นผง
เจ้าเชียงใหม่ให้สำเร็จเด็ดชีพปลง           
ทั้งวรรณวงศ์ที่ใกล้ชิดผู้คิดการณ์

ชาวล้านนาหากปล่อยไว้ในภายหน้า        
อาจหาญกล้าคิดแข็งข้อขึ้นต่อต้าน                                                                                             ต้องจัดทัพมารบรามิช้านาน               
จำต้องกว้านกวาดต้อนเอาชาวล้านนา

ให้กระจายในภาคกลางบ้างลงใต้         
ที่อยู่ได้ต้องหลบลี้เร้นหนีหน้า
ชาว “ลำพูน”ที่จำร้างห่างเมืองมา          
แผ้วถางป่าสร้างบ้านไว้ในกลางดง

 ------------------------------

บ้านลำพูน   ชื่อเดิมของ  อ.บ้านนาสาร  จ.สุราษฎร์ธานี


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 11 ธันวาคม, 2561, 09:53:28 AM
54 แม่ศรีวรรณทอง

เรียกชื่อบ้านและชื่อคลองพ้อง“ลำพูน”    
ตามตระกูลแต่หนหลังดังประสงค์                                                                                              
สืบเชื้อสายกันมานานร่วมวรรณวงศ์       
ชื่อดำรงจนได้เห็นเป็นอำเภอ

วรรณฟังอยู่ได้รู้ซึ้งถึงคุณค่า              
เรื่องล้านนาที่ตาขำนำเสนอ
ผู้นำคดชาติเราหนอขออย่าเจอ            
ดั่งท้าวเธอเจ้าเวียงหนาพาวอดวาย  

แพล่องธารผ่าน“ไทรงาม”ยามแดดกล้า  
ชะแง้หาไม่เห็นไทรชวนใจหาย
เห็นแต่ไซใช้ดักปลาทั้งขวาซ้าย          
หรือความหมายแต่เดิมมาว่า“ไซงาม”

ประวัติบ้านย่านถิ่นคลองต้องเขียนไว้      
เกินร้อยปียากที่ใครอยู่ให้ถาม
ที่สำคัญนั้นความหมายได้ตรงความ       
มิต้องตามสันนิษฐานบานบุรี

     แพล่องผ่านย่านลุ่มต่ำน้ำนองลาด*  
 ไร้อาวาสทั้งเรือนบ้านย่านไพรศรี
ถึงปากคลองพอมองเห็นเป็นเรือนมี       
อันชื่อนี้คือ “ปากเซียด”เสียดแทงใจ

“เซียด”เป็นชื่อของต้นไม้นั้นนัยหนึ่ง        
มิได้ซึ้งว่าสัมพันธ์กันไฉน
แต่ยังมีตำนานเก่าเล่าขานไว้             
 เรื่องเข้ใหญ่ยาวหลายวาจากตามอง

บางคนกล่าวว่าเท่าช้างว่ายหลังโผล่       
หรือใหญ่โตเพราะเล่าเติมเพิ่มคูณสอง                            
เหมือนคนเราคราวจับปลาในลำคลอง       
หลุดมือต้องได้คุยโวโตทุกที

     อันคำคนเล่าข่าวความตามตลาด    
เพิ่มขนาดมักต่อเสริมและเติมสี
จงฟังหูเอาไว้หูดูให้ดี                     
อย่าไปผลีผลามเชื่อมิเหลือเชิง

ลางคนชอบยุให้รำตำให้รั่ว               
ขืนหลวมตัวตามคำเผาเขาก็เหลิง
บางคนชอบเอาน้ำมันนั้นราดเพลิง       
เพื่อนกระเจิงจึงสะใจในสังคม

 กลบทกินนรเก็บบัว
  
อีกนินทามักฉาบทาด้วยยาพิษ        
ทำเหมือนมิตรเป็นอมิตรคิดทับถม
อันใดหวังได้อย่าหวังคนชังชม              
ซ่อนคารมดูรื่นรมย์แต่ขมใน

แม้แต่ชู้เคยชื่นชู้ชมชูเชิด               
คราร้างเริดก็ร้างเริดพิสมัย
พบใหม่ดีเก่าหมดดีมิเยื่อใย                
 ยากหาใครยกย่องใครด้วยใจจริง


------------------------------- ---------
 ลาด  ท้องถิ่นภาคใต้หมายถึง ที่ลุ่มต่ำ เมื่อถึงหน้าน้ำจะมีน้ำท่วมทุกปี



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 13 ธันวาคม, 2561, 10:51:45 AM
 
ตาขำออกนอกนิทานกล่าวขานไข       
ฝากเตือนใจคนรุ่นหลังทั้งชายหญิง
 เรื่องเข้ใหญ่ความทั้งหลายให้ประวิง        
ข้อที่เข้นั้นเชื่องยิ่งไม่กัดใคร

ยามดุร้ายเขาก็ว่าโดนปรามาส           
 บางคนอาจหลงเชื่อตามคำพูดได้  
เดรัจฉานนั้นมิควรด่วนวางใจ           
จงเลี่ยงไปอย่าทายท้ากล้าเผชิญ

“พ่อท่านเซียด”อีกตำนานเล่ากันว่า  
อยู่วัดเซียดเรืองฤทธาทางเหาะเหิน
ท่านเลี้ยงช้างไว้เชือกใหญ่วัยจำเริญ       
งายาวเกินเลี้ยงด้วยว่านด้านพลัง

สวมตะกรุดเป็นของขลังครั้งเยาว์วัย       
ครั้นเป็นหนุ่มหนังหุ้มไว้อยู่ใต้หนัง
ทั้งปืนผาหรือหน้าไม้ให้ประดัง             
แม้โดนจังไม่ระคายแค่แสบคัน

ชอบท่องดงแดนพงไพรไม่ดุร้าย         
แต่อย่าหมายจะประณามหรือหยามหยัน
คราหนึ่งได้ท่องเที่ยวป่าพนาวัน             
ลุเขตขัณฑ์ของจังหวัดพัทลุง

     พ่อท่านแห่งวัดเขาอ้อย่อพสุธา        
ท่านลือชาด้านมนต์เวทย์เดชเรืองรุ่ง
มิใช้ผิดคิดช่วยชาติศาสน์บำรุง             
ชนจึงมุ่งใจนบน้อมค้อมบูชา  
                                                    
สองพ่อท่านนั้นสนิทเป็นมิตรมั่น          
สานสัมพันธ์ช่วยสืบสานพระศาสนา
เคยร่วมเพียรเล่าเรียนเวทย์วิทยา        
สองศึกษาจากอาจารย์ท่านเดียวกัน

เมื่อเห็นช้างพ่อท่านผ่านเหมือนการนัด       
“พ่อท่านวัดเขาอ้อ”ก็เสกสรร
ลองวิชามนต์วิเศษเวทยันต์                  
กะลานั้นเสกสามรอบครอบคชา

พ่อท่านเซียดท่านเก่งกล้าวิชาฌาน          
จึงจัดการผูกเรือมนต์ด้นเวหา
เรือวิเศษวิ่งด้วยเวทย์และมนตรา           
ผ่านทุ่งคลองหนองน้ำท่าฝ่าอรัญ

ขึ้นข้ามเนินเหินผาหาดลาดไศล          
มุ่งตรงไปมิลดเลี้ยวเที่ยวเหหัน
มนต์เภตราถึงที่หมายใกล้ครึ่งวัน         
ได้พบกันสองพ่อท่านยามชรา    
                        
 ปรารภธรรมคำสังขารมิเที่ยงแท้       
พอพ้นแก่แล้วต้องตายไม่เห็นหน้า
สองพ่อท่านเดินคู่กันเปิดกะลา             
ช้างสง่าทั้งสูงใหญ่ออกไปพลัน

ชาวบ้านถึงตลึงงันทั้งลานวัด           
แพร่สะพัดเรืองมนต์เวทย์วิเศษสรรค์
มิทันต่อข้อนิทานนั้นยาวครัน           
ถึงผาชันแพบังเงา “เขาหัวควาย”




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 13 ธันวาคม, 2561, 10:57:27 AM
ตาขำออกนอกนิทานกล่าวขานไข       
ฝากเตือนใจคนรุ่นหลังทั้งชายหญิง
 เรื่องเข้ใหญ่ความทั้งหลายให้ประวิง        
ข้อที่เข้นั้นเชื่องยิ่งไม่กัดใคร

ยามดุร้ายเขาก็ว่าโดนปรามาส           
 บางคนอาจหลงเชื่อตามคำพูดได้  
เดรัจฉานนั้นมิควรด่วนวางใจ           
จงเลี่ยงไปอย่าทายท้ากล้าเผชิญ

“พ่อท่านเซียด”อีกตำนานเล่ากันว่า  
อยู่วัดเซียดเรืองฤทธาทางเหาะเหิน
ท่านเลี้ยงช้างไว้เชือกใหญ่วัยจำเริญ       
งายาวเกินเลี้ยงด้วยว่านด้านพลัง

สวมตะกรุดเป็นของขลังครั้งเยาว์วัย       
ครั้นเป็นหนุ่มหนังหุ้มไว้อยู่ใต้หนัง
ทั้งปืนผาหรือหน้าไม้ให้ประดัง             
แม้โดนจังไม่ระคายแค่แสบคัน

ชอบท่องดงแดนพงไพรไม่ดุร้าย         
แต่อย่าหมายจะประณามหรือหยามหยัน
คราหนึ่งได้ท่องเที่ยวป่าพนาวัน             
ลุเขตขัณฑ์ของจังหวัดพัทลุง

     พ่อท่านแห่งวัดเขาอ้อย่อพสุธา        
ท่านลือชาด้านมนต์เวทย์เดชเรืองรุ่ง
มิใช้ผิดคิดช่วยชาติศาสน์บำรุง             
ชนจึงมุ่งใจนบน้อมค้อมบูชา  
                                                    
สองพ่อท่านนั้นสนิทเป็นมิตรมั่น          
สานสัมพันธ์ช่วยสืบสานพระศาสนา
เคยร่วมเพียรเล่าเรียนเวทย์วิทยา        
สองศึกษาจากอาจารย์ท่านเดียวกัน

เมื่อเห็นช้างพ่อท่านผ่านเหมือนการนัด       
“พ่อท่านวัดเขาอ้อ”ก็เสกสรร
ลองวิชามนต์วิเศษเวทยันต์                  
กะลานั้นเสกสามรอบครอบคชา

พ่อท่านเซียดท่านเก่งกล้าวิชาฌาน          
จึงจัดการผูกเรือมนต์ด้นเวหา
เรือวิเศษวิ่งด้วยเวทย์และมนตรา           
ผ่านทุ่งคลองหนองน้ำท่าฝ่าอรัญ

ขึ้นข้ามเนินเหินผาหาดลาดไศล          
มุ่งตรงไปมิลดเลี้ยวเที่ยวเหหัน
มนต์เภตราถึงที่หมายใกล้ครึ่งวัน         
ได้พบกันสองพ่อท่านยามชรา    
                        
 ปรารภธรรมคำสังขารมิเที่ยงแท้       
พอพ้นแก่แล้วต้องตายไม่เห็นหน้า
สองพ่อท่านเดินคู่กันเปิดกะลา             
ช้างสง่าทั้งสูงใหญ่ออกไปพลัน

ชาวบ้านถึงตลึงงันทั้งลานวัด           
แพร่สะพัดเรืองมนต์เวทย์วิเศษสรรค์
มิทันต่อข้อนิทานนั้นยาวครัน           
ถึงผาชันแพบังเงา “เขาหัวควาย”




หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 14 ธันวาคม, 2561, 10:58:28 AM

     ตกเย็นย่ำตะวันรอนอ่อนแสงใส        
แม้ล่องไปฝ่ามืดถึงซึ่งที่หมาย
การตรวจรับนับเมตรซุงคงวุ่นวาย          
รอให้สายวันพรุ่งนี้มีเวลา

ส่งสัญญาณให้หยุดแพแลถึงท้าย          
เมื่อเตรียมหวายออกยืนรอพอพร้อมหน้า
จึงโจนลงโยงแพเลยเหมือนเคยมา          
ขอที่พักจาก “พ่อตาเขาหัวควาย”

กินอาหารฟังนิทานงานตาขำ             
นิทานธรรมเรื่องเก่ามีดีหลากหลาย
เรากำเนิดมีเกิดแก่แลเจ็บตาย             
เรื่องมากมายอย่าเผาไฟไปกับโลง

    กลบทกบเต้นต่อยหอย.

 ยกหมู่บ้านย่านมิใหญ่ไกลถนน         
บ่เรือยานบ้านรถยนต์ที่โอ่โถง
มีกระต๊อบหมอบกระแตแคร่ผูกโยง        
ลำประโดงลงประดาหาปลาปู

ทรัพย์ในดินสินในดงพงป่ากว้าง          
เริ่มหน้าใสไร่นาสร้างเลี้ยงไก่หมู
สองเจ้าบ้านสานใจแบ่งแหล่งอูฟู         
ได้ทำกินดินที่กูมึงไม่มี

จนวันหนึ่งจึงวันนั้นสวรรค์โปรด           
ออกโฉนดโอดฉันนะเจ้าของที่
มิตรไร้ค่ามาระคางหมางไมตรี             
ถนนมาฐานะมีที่เป็นทอง

ผืนใหญ่นักพักหยุดนามาแบ่งขาย         
ริมทางสวยรวยทุกสายขายเป็นห้อง
สิ้นที่เดิมเสริมที่ดินสินชายคลอง          
เข้าจดแจ้งแข่งจับจองเขาหนองบึง

แข่งกันชัดขัดกันชั่วมั่วโลภมาก            
โกรธกันแย่แก้กันยากคาดไม่ถึง
เสียทนายสายถนัดมิคำนึง 
พลาดแล้วตันพลันล้มตึงทั้งสองครัว

สุดหลังเขาเสาลงข้างสร้างกระต๊อบ        
เพื่อนเก่าชังพังกลับชอบปลอบสุมหัว
ย้อนทวนความยามที่คว้างเคยสร้างตัว        
คิดแต่ชั่วขั้วแต่ชังซังกะตาย

อันคนเราคราวจนยากมากมายมิตร   
มีน้ำจิตและจริงใจไม่เสียหาย
พอมั่งมีมักเพลิดเพลินเงินเป็นนาย         
ลืมความหมายอันยิ่งใหญ่ของไมตรี

เห็นจริงด้วยคนยิ่งรวยก็ยิ่งงก             
ใช่หยิบยกว่ากล่าวใครให้เสื่อมศรี
สะสมทรัพย์สินเงินทองกองทวี               
ตายเป็นผีพอถูกเผาอดเอาไป           
       



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 15 ธันวาคม, 2561, 09:24:11 AM
                     ธนุ  เสนสิงห์ 57

ปลดแพลา “เขาหัวควาย”ในรุ่งเช้า         
มีแต่เขาหัวไม่เห็นเป็นตรงไหน
สิ่งเดียวกันต่างมุมมองต้องเข้าใจ         
คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันวันชีพวาย

กลบทมยุราฟ้อนหาง.

ใดใดเป็นอนิจจังทั้งสิ้นสิ้น           
เคยเคยเห็นทั้งเคยยินจำหมายหมาย  
ติติติงทั้งเหยียบย่ำทำลายลาย          
มองมองกันด้านเสียหายด้านเดียวเดียว

พอพอสิ้นชีพดิ้นดับกลับเชิดเชิด           
ชมชมเห็นยกเป็นเลิศใครเหลียวเหลียว
ลับลับลาหาซึ้งใจไม่เจียวเจียว              
ดีดีสมชมเลยเชียวก่อนตายตาย    

 พอพ้นผ่านย่านผาชันด้านฝั่งขวา       
เหลียวกลับมาเห็นลำธารนั้นอีกสาย
ตาขำอ้างถึง “บางอ้อ”อ๋ออ้อราย          
คือความหมายที่ยึดถือเป็นชื่อบาง

ใกล้ที่หมายใจเร่งเร้าเอาตึ๊กตั๊ก         
แต่ช้านักด้วยกระแสแม่น้ำกว้าง
น้ำทะเลคงหนุนมาพาย้อนทาง            
ตามิวางเล็งเบื้องหน้าสุดตามอง

ย่าน “เชอบาย”มีความหมายว่าชักช้า       
สานกระเชอสบายอุราเสร็จถึงสอง
จนถึงย่านบ้านมากมายอยู่ชายคลอง        
ร้านขายของทั้งซ้ายขวา“ท่าตะเภา”

แต่ก่อนมาเป็นท่าน้ำทำเรือใบ               
เรือลำใหญ่ลำมีหลายกระโดงเสา
“ตะ”หรือ “สำ”คำไหนผิดโปรดคิดเอา    
แต่ก่อนเก่าการค้าขายต้องใช้เรือ

     ไปต่างเมืองจะน้อยใหญ่ไร้ถนน       
ยุครถยนต์สำเภาหายไม่ใคร่เหลือ
รถเร็วกว่าก็เลยว่า “อืดเรือเกลือ”         
ช้าน่าเบื่อหนักจึงใช้ในทะเล  
                                                            
ใกล้ปลายทางวรรณยังงงคิดสงสัย        
จะเริ่มต้นที่ตรงไหนให้หันเห
ใกล้หรือไกลมิอาจจะคาดคะเน         
หากซวนเซเกิดล้มไข้ใครดูแล  
 
แล้วแว็บหนึ่งจากก้นบึ้งของความคิด       
ยังมีมิตรน่าผ่อนคลายทุกข์ได้แน่                                      
อยู่ท่าข้ามถามหาได้ไม่เชือนแช            
คงช่วยแก้หนักให้หายกลายเป็นเบา

แต่คิดคิดยังหวั่นหวั่นพรั่นดวงจิต          
ถูกหรือผิดที่มุ่งหน้าไปหาเขา
ขอพึ่งพาให้แนะนำภูมิลำเนา               
แค่เพียงเรารู้ทางไปได้ก็พอ    



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 17 ธันวาคม, 2561, 01:48:15 PM
ครั้นคิดได้วิตกหายคลายกังวล       
เป็นกุศลจริงจริงแท้แน่แล้วหนอ
 ใกล้ท่าข้ามลาตาขำน้ำตาคลอ       
ขึ้นเรือต่อที่ขวักไขว่วิ่งไปมา

 เรือถึงหน้าบ้านท่าข้ามพอถามไถ่       
คนที่มีอัชฌาศัยพาไปหา
พรหมลิขิตช่างขีดเส้นเกณฑ์ชะตา       
ให้พบหน้าด้วยกรรมหนุนบุญบันดาล




                                ธนุ  เสนสิงห์ 59

              ตอนที่ ๕  กุมภีล์หลุมพราง

กลบทม้าเทียมรถ

แสนดีใจยามเมื่อได้มาพบพักตร์       
พบพักตร์น้องที่ปองรักสมัครสมาน
สมัครสมานฝันใฝ่หามาเนิ่นนาน           
เนิ่นนานวันที่ผันผ่านร้าวรานใจ

รานใจร้าวเศร้าดวงจิตยิ่งคิดหวั่น          
คิดหวั่นว่าถึงวันนั้นเป็นไฉน
เป็นไฉนไม่แปรผันมั่นฤทัย          
มั่นฤทัยถึงอย่างไรพี่รักจริง


สาววรรณแม้นแสนดีใจแต่ไหวหวั่น    
ความผูกพันสิ่งผิดถูกลูกผู้หญิง
แต่พญาคว้าโอกาสปราศคู่ชิง             
ทำทุกสิ่งทุกทุกทางสร้างสายใย

ถือว่านางมุ่งมาหาในครานี้              
เป็นสิ่งดีอนาคตต้องสดใส
หวังสร้างฐานรักปักลงตรงกลางใจ        
ของนางไม่ต้องรอท่าไปค้าความ

ทั้งตื่นเต้นและยินดีกุลีกุจอ           
เอ้อเอออออึกอึกอักแล้วซักถาม
สาววรรณบอกที่ต้องพรากจากเขตคาม    
จะไปตามคำมั่นไว้ให้สัญญา

กับพ่อแม่แต่เมื่อครั้งท่านยังอยู่        
อัฐิสู่ตระกูลหลังดังปรารถนา
มารดานั้นอยู่วัดพระธาตุไชยา             
ส่วนบิดาอยู่วัดธาตุเมืองนคร*

ร่วมกับมูลตระกูลตนพ้นปู่ตา          
ขอขมาที่ล่วงล้ำต่อคำสอน
บ้านเก่าท่านทั้งมารดาและบิดร           
มิรู้ก่อนยังอับจนซึ่งหนทาง

พญาตอบอย่างปลอบโยนให้โอนอ่อน       
พักผ่อนก่อนนะขวัญตาอย่าหมองหมาง
พี่นี้หนอขออาสาพาน้องนาง              
อย่าระคางมิต้องมีที่หนักใจ


สั่งแม่บ้านจัดห้องหับต้อนรับสาว       
แม่บ้านย้ำถามอีกคราวว่าห้องไหน
ยังยืนยันห้องนั้นไม่เคยให้ใคร       
เผยความนัยให้แม่บ้านนั้นได้ฟัง

-------------------------------
นคร จังหวัดนครศรีธรรมราช คำเรียกของคนภาคใต้ จะเป็นคำที่ยาวแค่ไหนจะเรียกให้สั้นที่สุดแต่ได้ความหมาย
ถ้าหากจะเป็นการสื่อความหมายที่อาจทำให้เกิดความสับสนได้ ก็จะใช้คำเต็มหรือใช้คำอื่นมาประกอบ  


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 ธันวาคม, 2561, 01:11:29 PM

เรือกลไฟพี่จะไปเตรียมเอาไว้            
ออกเดินทางกันวันใดคิดภายหลัง
คัดกัปตันพร้อมต้นหนคนชื่อดัง           
จะกี่ตังค์ขอให้ท่านชำนาญชล   
       
น้องจงได้เข้าพักผ่อนหย่อนกายา          
พอบ่ายคล้อยค่อยพบหน้ากันอีกหน
เจรจากินอาหารกันสองคน              
เรื่องเตรียมตนกันอย่างไรได้หารือ

     มิรอช้าแม่บ้านพาวรรณผันผาย         
ตะกร้าหวายรีบคว้าไว้หมายช่วยถือ
วรรณมิวางนางอาสามาจูงมือ              
เธอนั้นคือหญิงแรกที่มีมาเรือน

ด้วยดีใจจิตมั่นหมายคือนายหญิง         
เป็นบ้านจริงให้เลิศเลอเสมอเหมือน
นายผู้ชายไม่อยู่บ้านนานนับเดือน         
เลิกแชเชือนเถลไถลใจคลอนแคลน

ตะลึงลานเห็นบ้านช่องทุกห้องหับ         
แต่งประดับของล้ำค่าราคาแสน     
ดูใหญ่โตช่างโอฬารปานเมืองแมน            
ต่างจากแดนปากอีปันอันเคยชิน

เมื่อเดินผ่านอาคารใหญ่ในสถาน            
โต๊ะอาหารตั้งข้างหน้าเป็นม้าหิน                                                                                                                   
เข้าห้องซ้ายวรรณตื่นใจคล้ายโบยบิน         
ห้องขวายินว่าเป็นห้องของพญา

เห็นเตียงตั่งทั้งม่านย้อยห้อยวิจิตร           
ไม่เคยคิดได้พบผ่านแม้ฝันหา
แม่บ้านบอกหลังอาบน้ำฉ่ำอุรา             
เชิญออกมาได้รับประทานอาหารกัน

แล้วจะได้เข้าพักผ่อนหย่อนใจกาย          
ตกเย็นนายจึงจะมาพาสังสรรค์
เมื่อแม่บ้านลาจากไปแล้วใจววรรณ           
ยังงงงันนี่ฝันไปหรือไรนา


  หลังอาหารวรรณพักให้หายเหนื่อยอ่อน 
วางไว้ก่อนเรื่องโศกสุขทุกปัญหา
สะดุ้งตื่นต้องฝืนกายได้เวลา             
เสียงแม่บ้านเปล่งวาจาหน้าประตู

วรรณขานรับรีบอาบน้ำแล้วประแป้ง         
มิต้องแต่งจนมากมายให้สวยหรู
เปิดห้องสาวก้าวออกมาพญาดู 
 จ้องนางอยู่ไม่คลาดตาหน้ายิ้มพราย

อาหารนั้นได้คัดสรรค์อันยอดเยี่ยม           
ซึ่งจัดเตรียมเอาไว้มากจนหลากหลาย
ไม้ผลทั้งเครื่องดื่มตั้งวางเรียงราย            
กล่าวทักทายพญาน้อมพร้อมเชื้อเชิญ



หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 21 ธันวาคม, 2561, 10:55:42 AM
     ธนุ  เสนสิงห์ 61

เก้าอี้ว่างตัวเดียวอยู่คู่ด้านข้าง         
ดูท่าทางของสาววรรณนั้นเคอะเขิน
การต้อนรับขับสู้ดูหรูเจริญ              
ออกจะเกินฐานะตนจนเกรงใจ

แม่บ้านมาตักข้าวให้ไว้ตรงหน้า           
สองร่วมวงเจรจาอัชฌาศัย
พญาขอให้วางตนเป็นคนใน             
เรื่องอันใดมิมีสิ่งต้องกริ่งเกรง

หลังอาหารจึงชวนวรรณชมตลาด        
ชวนด้วยดีมิบังอาจจะข่มเหง  
วรรณคงต้องรีบรับคำทำครื้นเครง        
ยิ่งกันเองจะขัดใจกระไรลง

เหมือนเริ่มก้าวเข้าสู่ความแนบสนิท        
อันผูกจิตเหมือนตั้งใจให้ไหลหลง
จนล้ำล่วงห้วงรักหวานอันจำนง         
สาวชาวดงมิรู้ซึ้งถึงฤทัย
กลบทตรีประดับ.

 ตะวันรอนร่อนร้อนออกแรมร้าง       
บังอรอ่อนอ้อนสุดอ้างเหตุไฉน
เพียงเอ่ยคำค่ำค้ำจะนำไป                 
แต่ก่อนไรไร่ไร้ที่ให้ชม

พอเห็นโอโอ่โอ้แทบปากอ้า                 
เจรจาจ่าจ้าท่าสุขสม
พรรณนาน่าน้าอภิรมย์                   
จวนเป็นลมล่มล้มลงกลางใจ      
              

โอ้ตลาดบ้านท่าข้ามในยามค่ำ         
ยิ่งงามล้ำเป็นราตรีที่สดใส
เมืองเจิดจ้าฟ้าระยิบพริบแสงไฟ           
ต่างกันไกลเป็นอย่างมากกับปากปัน

เห็นร้านโรงโอ่โถงหมดรถขวักไขว่           
ช่างกว้างใหญ่ดั่งเมืองแมนแดนสวรรค์
“นายเรือนึก”*ตลาดใหญ่กว้างไกลครัน  
อยู่คู่กันกับวิกหนัง “เจริญภิรมย์”*

แวะตลาดจัดซื้อของที่ต้องใช้               
ซื้อเสื้อให้วรรณเลือกสวมจนสวยสม
ทั้งเสื้อหนังตั้งใจให้ใส่กันลม             
อีกยาอมยากันแพ้แก้เมาเรือ

แล้วชวนกินน้ำแข็งไสใกล้วิกหนัง         
ร้านชื่อดังทุกวันขายไม่ใคร่เหลือ
ไปทางไหนใครต่อใครได้จุนเจือ           
วรรณต้องเชื่อว่าพญาประชานิยม


--------------------------------------
ตลาดนายเรือ และวิกนายเรือ (เจริญภิรมย์)  
สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นของนายนึก เจริญเวช
คนท่าข้ามยุคบุกเบิก


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 24 ธันวาคม, 2561, 10:42:46 AM

“ควนท่าข้าม”ดูงามเด่นเป็นสง่า         
คู่พารา “สวนสราญ”*อันสวยสม
อีก “สะพานจุลจอมเกล้า”*เราชื่นชม       
นั่งรับลมชมความงามลำตา
                                                          
โอ้สายชลช่างชวนยลยามค่ำค่ำ            
แสงต้องน้ำงามระยับสลับสี
เรือใหญ่น้อยลอยล่องไปในวารี           
ชวนกันชี้ให้ชมเพลินจำเริญใจ

จนดึกดื่นจึงคืนเข้าสู่เคหา               
ด้วยแววตาที่เปี่ยมสุขสุดสดใส
กัปตันมาว่าต้นหนเรือกลไฟ          
พร้อมจะไปทุกเวลาและนาที

วรรณพญาร่วมปรึกษาหารือกัน         
อยากไปพลันเพราะกังวลชลวิถี
แต่ควรพักผ่อนกายาครึ่งราตรี           
ทั้งสองจึงจรลีเข้าห้องนอน
             
แต่เช้าตรู่เมื่อทั้งคู่ออกจากห้อง           
เห็นขนของกันวุ่นวายรายสลอน
ขึ้นรถใหญ่ที่รอท่าจะพาจร             
เก๋งตองอ่อนงามหรูเลิศเปิดประทุน

เป็นคันสวยสุดสง่าแห่งท่าข้าม            
ญาติให้ความเมตตามาเกื้อหนุน
วรรณขึ้นนั่งพญาสั่งงานชุลมุน          
เมื่อล้อหมุนออกมุ่งหน้าไปท่าเรือ
          
ท่าเรือใหญ่คนมากมีรอที่ท่า       
ร้อยไม่ถึงก็คาดว่าห้าสิบเหลือ
พญาได้แจ้งข่าวคราวญาติในเครือ       
ว่านิ่มเนื้อนี้คือนางกลางฤทัย

มีญาติกันเพื่อนบ้านเก่าคราวพ่อแม่       
อยากมาแลโฉมแม่งามล้ำเพียงไหน                        
พอได้พบต่างก็ตกตะลึงใจ           
เพริศพิไลงามเลิศล้ำสมคำลือ

วรรณอำลาลงเรือไปไม่ชักช้า         
กอดตะกร้ามิยอมให้ใครช่วยถือ
เหมือนได้โอบอุ้มพ่อแม่แกด้วยมือ          
สิ่งนี้คืองานสำคัญที่ท่านรอ

คุ้มลูกด้วยลูกจะทำให้สำเร็จ             
เขาว่าเจ็ดย่านน้ำไกลแค่ไหนหนอ
เรือจากท่ากราบตะกร้าน้ำตาคลอ           
วิญญาณพ่อแม่โปรดป้องคุ้มครองกาย
--------------------------------------------------
สวนสราญรมย์  ที่ประทับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
บนควนท่าข้าม เคยใช้เป็นศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี
มาสมัยหนึ่ง   ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลรักษาโรคทางจิต
สะพานจุลจอมเกล้า   มักเรียกสะพานพระจุลจอมเกล้า  
สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำตาปีที่ตำบลท่าข้าม    สร้างขึ้น ระหว่างปี
พ.ศ.๒๔๕๓ ถึง พ.ศ.๒๔๕๘ ถูกทิ้งระเบิดเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถึง ๒ ครั้ง    
หลังสงครามได้มีการสร้างขึ้นใหม่ ได้เปลี่ยนจากทรงโค้งเป็นทรงเหลี่ยม


หัวข้อ: Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 06 มกราคม, 2562, 12:52:35 PM
                            ธนุ  เสนสิงห์ 63

พญาคอยยืนเป็นเพื่อนเลื่อนมาหา        
ใจอยากแอบแนบกายาเหมือนมั่นหมาย
เรือกลไฟพลังไอน้ำอธิบาย              
ฟังบรรยายวรรณมองไกลไม่พริบตา

เห็นทะเลเป็นครั้งแรกในชีวิต            
ดังดวงจิตเคยมุ่งมาดปรารถนา
ดูเวิ้งว้างฝั่งสมุทรสุดคณนา           
เห็นขอบฟ้าโค้งลงครอบขอบทะเล

คลื่นกระฉอกหัวเรืออยู่ดังซู่ซ่า         
 เรือโคลงมาแล้วโคลงไปใจโหวเหว
ช่างกว้างใหญ่เกินใจจะคาดคะเน          
แต่เหมือนเปลแกว่งซ้ายขวาน่ารำคาญ

     วรรณชอบดูหมู่ปักษาถลาลม       
แล้วดิ่งจมลงจับปลาเป็นอาหาร
จนพญาเตือนว่าหากตากลมนาน           
เดี๋ยวจะพาลให้ป่วยไข้กลางสายชล

สาววรรณจึงซึ้งถึงคำพญาว่า            
เริ่มเหว่ว้าหวิวหวิวไหวไม่เห็นหน
พลังลมคลื่นหันเหทะเลวน            
อิทธิพลเหนือคนใดในทะเล

เริ่มคลื่นไส้ใกล้อาเจียนจะโอ้กอ้าก       
ฝืนหุบปากแสร้งยิ้มยวนให้สรวลเส
แต่ภายในท้องไส้นั้นมันรวนเร            
แล้วโซเซกลับเข้าห้องอย่างว่องไว
                                        
     อยู่ในห้องรู้สึกเหียนมิได้หาย          
ศูนย์ร่างกายนั้นไม่รู้อยู่ตรงไหน
เรือขึ้นลงเดี๋ยวโคลงมาพาโคลงไป          
กลั้นไม่ไหวขย้อนท้องต้องอาเจียน

พญาพาพยุงไปใกล้หน้าต่าง               
มิได้ห่างห่วงทูนหัวที่คลื่นเหียน
ยาดมส่งคงลูบหลังยังวนเวียน            
เริ่มบทเรียนแนบสัมผัสรัดกายา

พยุงให้เอนกายลงตรงกลางเรือ          
แม่บุญเหลือช่างกระไรไร้เดียงสา
แล้วประคองขึ้นอีกครั้งทั้งป้อนยา         
หลับเถิดหนาตื่นขึ้นเมาคงเบาบาง

“อ่าวบ้านดอน”ดูเวิ้งว้างแผ่นดินเว้า        
เรือเบนหัวมุ่งหน้าเข้า “อ่าวท่าฉาง”
บ่ายใกล้เย็นเริ่มเห็น“แหลมโพธิ์”รางราง
 เล็งตรงกลางให้เข้าช่อง“คลองพุมเรียง”

ทวนน้ำไหลไปเรื่อยเรื่อยเอื่อยเฉื่อยวิ่ง       
เรือเริ่มนิ่งปล่องควันไฟได้ลดเสียง
แม้สาววรรณดูอาการยังโอนเอียง         
แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยค่อยคลายลง