เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..

คุยเรื่องร้อยแปดชาวอารมณ์กลอน => คุยได้ทุกเรื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: ประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 10 ธันวาคม, 2556, 12:50:28 PM



หัวข้อ: คำสอนด้วยจิตวิญญาณ
เริ่มหัวข้อโดย: ประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 10 ธันวาคม, 2556, 12:50:28 PM

คำสอนด้วยจิตวิญญาณ

๑ รำลึกถึงหัวตะพานถิ่นฐานเกิด
สุดประเสริฐน้ำใจในน้องพี่
หมู่เพื่อนพ้องญาติสนิทมิตรไมตรี            
ต่างมากมีน้ำใจใคร่อาทร

   ๒  ธรรมชาติอุดมสมป่าเขา                        
มีให้เรามองเห็นเป็นอนุสรณ์
คราครั้งหนึ่งตรึงใจในป่าดอน                
คือนครธรรมชาติประกาศตน

  ๓   เด่นดีสมอุดมธรรมค้ำปกป้อง                    
สืบครรลองธรรมดามหากุศล
ก่อเกิดบุญรุ่นเก่าของเผ่าชน                          
คือมรรคผลของธรรมดาค่าอนันต์

   ๔  ตัดเบียดเบียนแก่กันสรรค์แต่ให้                
เปี่ยมน้ำใจดุจเแคว้นแดนสวรรค์
ต่างคิดเหมือนทุกอย่างมิต่างกัน              
จิตแบ่งปันเอื้อเฟื้อจุนเจือจาน

    ๕ จะบ้านใดไมตรีมีน้ำจิต                          
ทั่วทุกทิศแบบนี้มีทุกบ้าน
คอยต้อนรับขับสู้สู่เรือนชาน                          
บริการผู้อาศัยด้วยไมตรี

    ๖ ดุจดังพี่ดั่งน้องร่วมท้องไส้            
มอบรักให้ประหนึ่งซึ่งน้องพี่
จัดข้าวปลาอาหารทานอย่างมี              
ชมชวนชี้ทางชีวิตจิตวิญญาณ

    ๗ ชี้ให้เห็นเป็นไปในชีวิต                          
เรื่องถูกผิดนำกล่าวคอยเล่าขาน
ดุจดังเป็นเช่นกิจวิทยาทาน                  
เพื่อเพื่อนบ้านทั่วถิ่นได้ยินกัน

    ๘ ได้น้อมนำคำสอนก่อนปูย่า                      
ยึดเป็นค่านิยมบ่มสร้างสรรค์
ด้วยคิดเห็นว่าดีมีสำคัญ                      
เรื่องแบ่งปันจำจดเป็นบทเรียน

     ๙ ด้วยหนังสือตำราหามิได้                        
มิมีใครบันทึกนึกขีดเขียน
การชี้เล่าเทียบเป็นเช่นแสงเทียน                      
เขาแนบเนียนเหลือล้นคนเมื่อวาน

   ๑๐  ทำอย่างนี้ทุกบ้านถืองานสอน                
ดุจละครน้ำเน่าที่กล่าวขาน
ทำซ้ำซากเช่นนี้ที่พบพาน                    
บริการเหมือนกันทุกบ้านไป  

๑๑  แต่การสอนตามนี้มิน้ำเน่า              
สอนแล้วเล่าเตือนจิตเพื่อคิดได้
มีตัวอย่างหลายหลากมากออกไป            
เกิดกำไรชีวิตหากคิดดู

   ๑๒  สิ่งสำคัญปฏิบัติเหมือนของเพื่อนบ้าน        
สอนลูกหลานใส่ใจได้เรียนรู้
ส่งชีวิตสูงประเสริฐเปิดประตู                
เดินเข้าสู่ธรรมาภิบาลทุกบ้านไป

   ๑๓  ยอดธรรมะสมัยก่อนที่สอนสั่ง                
ล้วนปลูกฝังลูกหลานพานสดใส
สังคมเก่าถึงธรรมล้ำวิไล                      
เชื่อผู้ใหญ่ถ่ายทอดยอดทางธรรม

   ๑๔  ถ้วนทั่วรับคำสอนบรรทัดฐาน
ปลูกลูกหลานแบบฉบับนับเลิศล้ำ
ดุจพิมพ์เดียวเกี่ยวข้องของกิจกรรม
เพื่อน้อมนำจิตใจไปถูกทาง

   ๑๕  เรื่องอยู่ร่วมสังคมสมคุณค่า
มอบธรรมาเป็นเสาเอาเสริมสร้าง
แง่ตัณหาเงียบหายคลายปล่อยวาง
ยื่นตัวอย่างดีดีที่หมู่ชน

   ๑๖  ลูกหลานหลังเกิดมาพาเอาอย่าง
เป็นแนวทางยึดได้ไม่สับสน
ด้วยเห็นงามความดีนี้ทุกคน
สืบส่งผลสังคมอุดมคุณ

   ๑๗ มอบแบบอย่างอย่างว่ามานานนัก
เห็นประจักษ์สังคมมิว้าวุ่น
หัวตะพานบ้านเก่าเรามีบุญ
เติมต้นทุนความดีที่สังคม

        การปลูกฝังจิตใจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่ง  เด็กเปรียบผ้าขาวจะย้อมสีอะไรก็ได้ การปลูกฝังจิตใจคนในสังคมจึงต้องปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก  พูดกันว่า "เด็กวันนี้คือผู้ใหญ้ในวันหน้า" ซึ่งเห็นว่าเป็นคำพูดธรรมดา มันไม่ได้สร้างข้อคิดอะไรเลย  น่าจะใช้ว่า "เด็กดีวันนี้ คือผู้ใหญ่ดีวันหน้า"  หรือ "เด็กมีคุณธรรมวันนี้คือผู้ใหญ่มีคุณธรรมวันหน้า"  อะไรทำนองนี้ เผื่อได้สะกิดใจไว้บ้าง  และจะได้ช่วยกันปลูกฝังคุณธรรม ให้ลูกหลานอย่างถูกหลักถูกเกณฑ์มาตั้งแต่เด็ก จะได้ทำให้สังคมมีความเข้มแข็งต่อไป

         การสอนบุตรหลานของคนรุ่นใหม่ขาดหลักเกณฑ์ และหลักการ ยิ่งสภาพแวดล้อมสังคมเปื้อนด้วยราคีนานาประการก็ยิ่งยากแก่การสั่งสอน  ยิ่งยากต่อการสร้างคุณธรรมให้เด็ก
 
         การปลูกฝังคุณธรรมบุตรหลานนอกจากที่ครัวเป็นเบื้องแรกแล้ว คนรอบด้านในสังคมก็มีความสำคัญเช่นกัน  สังคมสมัยก่อนรองรับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี  เด็กที่ได้สัมผัสกับคนนอกบ้านนอกครอบครัวก็เหมือนกับได้สัมผัสพ่อแม่ในครอบครัว  จึงเกิดความรู้สึกว่าตัวเองจะต้องทำอย่างนี้  นี่คือบรรทัดฐานในสังคมสมัยก่อน นั่นคือทุกคนเห็นว่าลูกเขาก็เหมือนลูกเรา  ด้วยเห็นนี้ญาติผู้ใหญ่  หรือเพื่อนบ้านในหมู่บ้านต่างก็ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เด็กได้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน  เด็กจึงมีความรู้สึกว่าเขาต้องเคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่  สมัยก่อนจึงปลูกฝังทัศนคติของเด็กว่า การลอกเลียน การยึดถือปฏิบัติตามผู้ใหญ่เป็นครรลองที่ถูกต้อง ต้องยึดเหนี่ยว  ต้องกระทำ อย่างนี้น่าจะเข้ากับคำว่า "สอนด้วยจิตวิญญาณ"

          ปัจจุบันเรื่องเหล่านี้สูญสิ้นโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้  และด้วยภาระหน้าที่ของพ่อแม่มัดตัวกับสังคมแข่งขันธุรกิจจึงทำให้การปลูกฝังคุณธรรมลูกหลานลดน้อยถอยลง  หรืออาจจะปลูกฝังลูกให้ผิด ๆ ด้วยพ่อแม่เองถูกครอบงำด้วยมารยาของสังคมแข่งขัน เพียงเพื่อเอาตัวรอด คุณธรรมที่มีอยู่ในตนอาจจะบกพร่อง หรือขาดลดไป  การถ่ายทอดคุณธรรมให้บุตรหลานจึงบิดเบี้ยวได้ด้วยอย่างไม่รู้ตัว  

          อนึ่งสภาพแวดล้อมรอบด้านตัวเด็กที่มีแต่มารยา  เด็กก็จะคอยซึมซับ รับไว้โดยไร้วิจาณญาณ  จะไปโทษเด็กก็ไม่ได้เพราะสังคมสมัยใหม่สร้างขึ้น  สร้างมาจากการแข่งขันด้านวัตถุที่ผิด ๆ  ด้วยเหตุผลนี้เด็กสมัยก่อนกับเด็กสมัยใหม่ได้รับข้อมูลที่ต่างกัน  เด็กสมัยก่อนได้รับ "การสอนด้วยจิตวิญญาณ"  เด็กสมัยใหม่ได้รับการสอน "การสอนด้วยวัตถุวิญญาณ" ด้วยเหตุนี้คุณธรรมของเด็กรุ่นใหม่จึงเสื่อมลงไปทุกที

          เมื่อรากฐานการอบรมคุณธรรมให้บุตรหลานอยู่ที่ครอบครัว อยู่ที่คนในสังคม รวมไปถึงอยู่ที่สภาพแวดล้อมสังคม  รัฐบาล และหน่วยงานของรัฐจึงควรมองเห็นความสำคัญเรื่องนี้อย่างยิ่ง  เรื่องนี้รัฐบาลควรเห็นความสำคัญ และสมควรจะยกเป็นวาระแห่งชาติ

         ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างยิ่งก็ด้วยเห็นว่าคนในสังคมบกพร่องทางคุณธรรมมากขึ้น  แล้วสังคมจะเข้มแข็งอย่างสมัยก่อนได้อย่างไร เมื่อสังคมไม่เข้มแข็งอย่างที่กล่าวสังคมก็ไม่มีวันสันติสุข ซึ่งเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมกันเป็นรายวัน

         จุดยุทธศาสตร์ของวาระแห่งชาติเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝ่าย และนักวิชาการ ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างหลักเกณฑ์  วิธีการ  สู่ครอบครัว  สังคม และอีกทั้งการควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นมารยา เป็นพิษในสังคมให้หมดไป

         มูลเหตุ และปัจัยต่าง ๆ ที่ทำให้คนในสังคมบกพร่องด้านคุณธรรมก็คือผลของการแข่งขันธุรกิจ  ผลของการเป็นสังคมวัตถุนิยม เมื่อมันยังไม่ถึง "พอเพียงนิยม" ก็ให้ได้แค่ "วัตถุนิยม" แบบมีคุณธรรม  ยุทธศาสตร์ของวาระแห่งชาติเรื่องนี้ขั้นเบื้องต้นก็คือปฏิรูปสังคมอย่างไร ให้เป็นสังคมวัถุนิยมอย่างมีคุณธรรม

          การรับรู้ข้อมูลจากบทประพันธ์ข้างต้นซึ่งสะท้อนความจริงจากที่ผมได้ประสบมา " รำลึกหัวตะพานบ้านเกิด" อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ลืมไม่ได้  และน่าจะนำมาเป็นข้อมูลในการจัดระบบ กฎเกณฑ์การสร้างคุณธรรมให้กับคนในสังคมได้ไม่มากก็น้อย  ทั้งนี้เพื่อความสันติสุขของสังคมอย่างแท้จริง

            http://naturedharma.com/data-1758.html