เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..

บทกลอนไพเราะ => กลอนให้แง่คิด => ข้อความที่เริ่มโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 กรกฎาคม, 2557, 02:30:25 PM



หัวข้อ: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 กรกฎาคม, 2557, 02:30:25 PM
 

                                              คำนำ

                    พระนลเป็นนิทานเรื่องหนึ่งในคัมภีร์มหาภารตะ  ซึ่งกล่าวกันว่า
พระมุนีผู้หนึ่งได้เล่าประทานแก่กษัตริย์ปาณฑพนาถ  ผู้สูญเสียราชสมบัติ  
ต้องซัดเซ พเนจร อยู่กลางป่า  เพื่อเป็นกำลังใจ  ให้มั่นในความดีงาม ต่อสู้ชีวิต
ด้วยความอดทน เช่นพระนลและทมยันตี   เดิมเป็นโศลกภาษาในภาษาสันสกฤต  
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาไทยเป็นครั้งแรก
โดยใช้ฉันทลักษณ์ไทยหลากหลาย  เช่น
                      ประเภทร่าย  ร่ายสุภาพ,  ร่ายยาว,  ร่ายโบราณ, กลอนร่าย (อย่างเทศน์มหาชาติ),
                     ประเภทโคลง   โคลง ๒,  โคลง  ๓,  โคล ๓ ดั้น,   โคลง  ๔ สุภาพ,  โคลงวิชชุมาลี,  
 โคลงสินธุมาลี, โคลงจิตรดา,  โคลงมหาจิตรลดา,  โคลงนันทะทายี,  
โคลงมหาทันทะทายี,  และโคลงกลบท,  
                     ประเภทฉันท์  อินทรวิเชียรฉันท์,  วสัตตติลกฉันท์,  ภุชงคประยาตฉันท์  
                     ประเภทกาพย์   กาพย์ยานี,  กาพย์สุรางคนางค์, กาพย์ห่อโคลง,
กาพย์ดึกดำบรรพ์  (ฉบงง)
                     ประเภทกลอน  กลอนเพลงยาว, กลอนบทละคร,กลอนเสภา,
                              การแต่งนิทานพระนลคำกลอนนี้  มิใช่การแปลงฉันทลักษณ์ต่าง ๆ
               ในพระนลคำหลวงมาเป็นกลอนสุภาพแต่อย่างใด  หากแต่เป็นการศึกษา
               เรื่องราวทั้งหลาย  แล้วนำมาเล่านิทานเป็นคำกลอน  ส่วนคำพรรณนาความซ้ำ ๆ
               เพื่อย้ำให้เกิดอารมณ์ลึกซึ้ง  อย่างการเทศน์มหาชาตินั้นได้ตัดออกไปบ้าง
               มีการเสริมเติมแต่งในทัศนะของผู้เล่านิทานเองบ้าง  ทั้งนี้หมายให้เกิดเป็นสิ่งที่ดี  
               ด้วยความเทิดทูนบูชา “พระนลคำหลวง”  และบูรพกวี   ซึ่งพระองค์ทรงใช้พระนาม
               ตามปกหนังสือว่า   สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร  มหาวชิราวุธ  
               พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้า  เจ้ากรุงสยาม  ไว้เป็นอย่างสูงยิ่ง  

                                                                                      ธนุ  เสนสิงห์

                              นมัสการกถา

   ๏ มโนประณตน้อม                         บูรพ์ครู
ทูลเทิดองค์วิญญู                                 พุทธเจ้า
ปวงเทพท่านวิทู                                  จบโลก   สวรรค์เฮย
เชิญท่านลงปกเกล้า                             ก่อเกื้อปัญญา

    ๏ สักการะพระพุทธ                         ธ วิสุทธิ์ศาสดา
ประทานพระธรรมมา                          แลพระสงฆ์ผู้ทรงคุณ

    ๏ ข้าจะประพนธ์บรรณ                   เรื่องนิรันดร์เอกอดุลย์  
ละโทษโปรดการุณย์                           ผิวพลั้งประเด็นใด
 
    ๏ นบพระนลคำหลวง                     บทบวงจากดวงใจ
พระราชนิพนธ์ใน                                พระมหาวชิราวุธฯ

    ๏ พระเกียรติยศยง                            กาลผ่านคงสุวิสุทธิ์
วิญญาณท่านวิมุติ                                 พระนามยงคงคู้ฟ้า

    ๏ แม้นลูกอับจนคำ                           โปรดน้อมนำประทานมา
เพิ่มพจน์รจนา                                       ตรา ตรึงจิตมิตรกวี

    ๏ ขอเกิดเป็นกุศล                              แก่ปวงชนทั่วธานี
ศาสน์มั่นสรรค์ความดี                          ชาติราชาสถาวร


                                                                          หน้าที่ ๑

 
ณ ธานีนามนิษัธสถาน
ปรางค์ปราสาทราชวังอลังการ
ชาวประชาเกษมศานต์เนิ่นนานมา
     ๏ กษัตริย์วีรเสนครองกรุงศรี
นานหลายปีผ่านผันพระชันษา
จึงสละราชบัลลังก์หลังชรา
ให้ลูกยาพระนลวิมลนาม
     ๏  ผู้ทรงบุญญาธิการปานเทพไท้
ฤทธิไกรเกริกสกลชนเกรงขาม
ทั้งรูปลักษณ์ล้ำเลิศประเสริฐงาม
เกินนิยามใดใดในมนุษย์
     ๏  เชี่ยวชาญด้านวิทยะธนูศาสตร์
ทรงสามารถสำแดงเดชวิเศษสุด
เป็นอัศวโกวิทฤทธิรุทร
ซึ้งถึงจุดจินตนาอาชาไนย
     ๏  อันอิทธิวิชาพระนลราช
เฉียบฉกาจทุกสิ่งล้วนยิ่งใหญ่
พร่องก็เพียงแต่ว่าองค์ราชัย
พระยังไร้คู่บุญญาราชินี




                                                                          หน้า  ๒  

   ๏ แม้มากมายหลายนารีพลีใจรัก
สวามิภักดิ์แก่องค์พระทรงศรี
แต่ดวงมานพระมิมอบตอบไมตรี
สักนารีธิดาเมืองใดใด
     ๏ พระบิดามารดรอ้อนวอนว่า
จะได้อุ้มนัดดาสักคราไหม
ล่วงเลยกาลวารเวลาพาห่วงใย
สั่งข้าไทช่วยสืบหาพะงางอน
    ๏ กามเทพยังไม่ทำหน้าที่
เนินนานปีผ่านไปไม่แผลงศร
พระทรงศักดิ์มักออกนอกนคร
คเนจรหลายเพลาพนาลี
    ๏  แลโปรดปรานสกากีฬาคณิต
พอเพลินจิตเหงาคลายได้สุขี
หรือเยี่ยมเยียนชาวไร่นาคหบดี
ด้วยทรงมีพระเมตตาประชาชน
   ๏ ทรงบำรุงสวนขวัญพันธุ์สถาน
ประดุจป่าหิมพานต์ตระการผล
เทียมสระอโนดาตพิลาสล้น
งามอุบลเกินคณาจาระไน

    ...............................  


                                                            หน้า  ๓      

     ๏ อีกธานีมีนามว่าวิทรรภ์                        
องค์ราชันรันทดมิสดใส
บวงสรวงสิ้นดินฟ้าเทวาลัย
ด้วยอยากได้รัชทายาทมาดจำนง
     ๏ มิสุขสมอารมณ์หมายหลายปีผ่าน
กลัวเลยกาลจนชราพาเลือนหลง
ขาดราชันสืบสันตติวงศ์
เพื่อดำรงเชื้อชาติกษัตรา
     ๏ วันหนึ่งพรหมฤษีวิเศษสรรค์
จรจรัลลัดดงตรงมาหา
เมื่อเข้าเฝ้าท้าวภีมะราชา
พจนามุนีท่านประทานพร
     ๏ “ขอพระองค์จงสมหวังดังถวิล
ด้วยพรแห่งพรหมินทร์อดิศร
ได้ราชบุตราครองนาคร
เป็นมิ่งขวัญราษฎรสืบต่อไป
     ๏ แลเอกองค์ธิดาบุญญาล้น
เป็นขวัญชนชื่นสุขแห่งยุคสมัย
ยอดปิยบุตรีศรีกรุงไกร
มิว่าใครพบอนงค์พึงหลงรัก




                                                                         หน้า  ๔
  
     ๏ จิตงามดีมีฤทัยใฝ่กุศล
ความอดทนสัตย์ซื่อถือแน่นหนัก
เลิศจรรยานารีมีใจภักดิ์
ศุภลักษณ์นางฟ้าหางามแม้น
    ๏ อภิไธย “ทมยันตี” ศรีสวัสดิ์
นารีรัตน์มิ่งกมลชนหวงแหน
นามหอมฟุ้งจรุงใจไปทุกแคว้น
ล้วนสุดแสนรักหลงยอดนงคราญ”
     ๏ คุณวิเศษแห่งธิดามารศรี
มั่นภักดีสัตยาธิษฐาน
วาจาขลังสั่งสาปกำราบมาร
ดวงกมลทนทานทุกข์ลงทัณฑ์
     ๏ ชาวพาราจะผาสุกเกษมศานต์
เกียรติตระการเกริกไกรไกลเขตขัณฑ์”
จบวจีมุนีลาองค์ราชัน
ในฉับพลันหายวับกลับแดนดง
       ๏ ด้วยพรพรหมสมใจในครานี้
ทรงได้ราชบุตรีที่ประสงค์
เสริมศักดิ์กษัตริย์ขัตติยวงศ์
พักตร์รูปทรงงามล้ำดั่งคำมุนี




                                                                         หน้า  ๕    
                                                                    
   ๏ และยังได้ราชบุตรสุดคาดฝัน
ดังราชันมั่นหมายใจสุขี
สืบสันตติวงศ์ครองบุรี
มินานปีมีติดตามสามบุตรา
   ๏ จึงราชาภีมราชปราศกังวล
เป็นกุศลบุญหนักยิ่งนักหนา
แม้พระชนม์ราชันถึงวันชรา
ชาวประชามีหลักชัยในชีวี
    ๏ ทมยันตีเจริญวัยในวังราช
นุชนาฏพี่เลี้ยงล้อมพร้อมทุกที่
นิรทุกข์สุขเกษมแสนเปรมปรีดิ์
มิได้มีเรื่องข้องหมองฤทัย
    ๏ ปิตุรงค์และองค์พระมารดา
ทรงสุดแสนเสน่หากว่าสิ่งไหน
เว้นตะวันจันทราถ้าพึงใจ
แม้นหาได้หมายให้ชมสมดังปอง
      ๏ พระโฉมงามทรามวัยเลิศในหล้า
เลื่องลือชายิ่งล้นเหนือชนผอง
ทวยเทวายุวราชมาดเคียงครอง
เกียรติเกริกก้องโลกาถึงฟ้าไกล

       ................................


                                                            หน้า  ๖
      
    ๏ ฝ่ายพระนลหนุ่มแน่นแสนอึดอัด
อยู่นิษัธธานีมิสดใส
เฝ้าใฝ่หาราชินีอยู่ที่ใด
คอยหวนไห้หม่นหมองครองโศกี
     ๏ จนยินข่าวเล่าลือระบือแสน
สาวหนึ่งแม้นนางฟ้ามารศรี
เฉิดโฉมงามนามทมยันตี
ปฏิพัทธ์รัดฤดีอยากดมดอม
     ๏ เที่ยวชมปวงมาลีที่แดนป่า
พบบุปผารวยรินประทิ่นหอม
หมายเด็ดดมดอกดวงพวงพะยอม
มือน้าวน้อมมาชมสมฤทัย
    ๏ จักชื่นชมนารีที่ปองหมาย
แล้วนี่ชายจักไขว่คว้ามาไฉน
หากพานพบประสบพักตร์จักเผยใจ
ทำอย่างไรเด็ดดอกรักหนักอารมณ์
      ๏ โอ้รักเขาข้างเดียวเสียวใจยิ่ง
ถ้าหากหญิงมิรับรักจักขื่นขม
สุขที่ฝันพลันสลายกลายเป็นลม
ต้องโศกตรมวิญญาณ์ด้วยปราชัย




                                                             หน้า  ๗
                                          
     ๏ จะอ้างเหตุผลใดเพื่อไปหา
เพียงได้พบสบตาสักคราไหม
ปรารถนาอาวรณ์ร้อนดั่งไฟ
ทำฉันใดจักได้ชมสมฤดี
     ๏ อยู่วังในใจเหงาด้วยเปล่าเปลี่ยว
พระมักเที่ยวจรไปถิ่นไพรศรี
หัวเมืองไกลเยือนไพร่ฟ้าประชาชี
บารมีชนประจักษ์รักเกลียวกลม
      ๏ วันหนึ่งท่องวโนทยานใหญ่
พบฝูงหงส์ลงสระใสว่ายสุขสม
ตัวหนึ่งขนแถบทองชวนมองชม
ก่อนเหินลมใช้วิชากระหวัดไว้
     ๏ ยินวาทะพญาหงส์ส่งภาษา
เจรจาเช่นมนุษย์ด้วยพูดได้
แม้หวานถ้อยสุนทรแต่ซ่อนนัย
แถลงไขกล่าวย้ำขอทำงาน
     ๏ “ข้าแต่ผู้ผ่านฟ้ามาพิภพ
ทรงคุณครบพระบุญญามหาศาล
มิพิฆาตอาตม์จะสนองการ
แทนคุณท่านสมประสงค์จำนงใจ




                                                               หน้า  ๘

     ๏ ท่านมีจิตพิศวาสและมาดหมาย
ชมโฉมฉายทมยันตีศรีสมัย
ข้าจะเข้าเฝ้านางกลางเวียงชัย
กล่าววาทีเทิดไท้ให้นางซึ้ง
     ๏ เอกอ่าองค์ทรงคุณบุญศักดิ์
เทพลักษณ์งามมิเปรียบใครเทียบถึง
ในโลกนี้นารีล้วนหวนคำนึง
จิตตราตรึงมอบกายถวายรัก
     ๏ แต่พระนลมิสนใจหญิงใดแท้
นอกจากแม่ทมยันตีที่สมัคร
พระเฝ้าเพ้อเฝ้าฝันมานานนัก
มีจิตภักดิ์เหนือกว่าใครไปทั้งปวง
   ๏ ข้าจะพร่ำรำพันสรรค์สนิท
จนฝังจิตทมยันตีที่ใหญ่หลวง
คิดมอบกายถวายใจให้ทั้งดวง
แลรักหวงเพียงท่านนั้นผู้เดียว”
     ๏ ฟังจำนงหงส์ฟ้ามาเป็นมิตร
พรหมลิขิตหรือไฉนใจเฉลียว
ทั้งมิหมายทำร้ายแน่แท้จริงเจียว
เลิกเกาะเกี่ยวหงส์ลาเหินฟ้าไป




                                                               หน้า  ๙

      ๏ หงส์ตระหนักรักษาสัญญามั่น
บินมุ่งสู่กรุงวิทรรภ์มิเหลวไหล
ร่อนลง ณ อุทยานนั้นทันใด
ความงามได้โจษขานกันอื้ออึง
     ๏ ครานั้นทมยันตีธิดาราช
ใจหมายมาดเห็นรูปลักษณ์สักน้อยหนึ่ง
เมื่อมายังอุทยานตะลานตะลึง
ฝูงหงส์ซึ่งงามสีสันพรรณราย
     ๏ เหล่าข้าราชบริพารทำการต้อน
หงส์ค่อยร่อนยั่วข้าไทไปหลายฝ่าย
เมื่อองค์ราชธิดาอยู่เดียวดาย
จึงหงส์ฟ้ามาถวายซึ่งความนัย
     ๏ “ข้าแต่องค์ทมยันตีธิดาเจ้า
คราพวกเราผ่านนิษัธธานีใหญ่
พานพบหน้านลราชะรู้พระทัย
เลิศพิไลเปี่ยมเมตตาบารมี
     ๏ รูปพระองค์ทรงฤทธิ์พิศแล้วหลง
งามกว่าองค์เทวินทร์ปิ่นโกสีย์
ปฏิพัทธ์ปรารถนายอดนารี
รักองค์ทมยันตีเปี่ยมดวงใจ




                                                                            หน้า  ๑๐  

     ๏ ทั้งสองท่านนั้นประเสริฐเลิศในหล้า
เหมาะสมกันปานฟ้าดลมาให้
สยมพรขจรภพนบอวยชัย
ครองรักไปข้ามภาวะมรณานต์”
     ๏ ทมยันตีธิดาตราตรึงจิต
คำหงส์ติดทรวงในใฝ่สมาน
จึงฝากความหงส์นำสู่พระภูบาล
“เคยยินนามพระองค์นานเช่นกันนา
     ๏ แลหมายใจจะได้พบประสบพักตร์
ทรงประจักษ์อยู่ในจิตขนิษฐา
หากบุญมีที่ร่วมสร้างมิร้างรา
คงสมมาดปรารถนาแห่งดวงมาน
     ๏ ขอเชื่อในใจรักภักดีมั่น
คำนี้นั้นเป็นสัตยาธิษฐาน
คงสร้างบุญร่วมกันแต่บรรพกาล
มิพบพานแต่จิตคิดผูกพัน
     ๏ เมื่อใจตรงคงมั่นกันฉะนี้
ก็มิมีสิ่งใดต้องไหวหวั่น
รอเวลานำพาให้ได้พบกัน
คำจำนรรจ์เป็นสัจจะฝากพระนล”




                                                               หน้า  ๑๑

      ๏ หงส์รับคำอำลาเหินฟ้ากว้าง
เร่งเดินทางเมื่อทำงานตระการผล
แล้วร่อนลงตรงสระน้ำงามอุบล
คำมงคลตอบรักฝากภูมินทร์
      ๏ พระนลรู้ข่าวหงส์ลงมาหา
เจรจาปราศรัยใจถวิล
หงส์ทูลการณ์ทั้งหลายในนครินทร์
ให้ยลยินทุกอย่างที่ตั้งใจ
       ๏ แล้วมอบสื่อสารรักจากทรวงสาว
ท้ายคำกล่าวชี้แจงแถลงไข
ว่ารักท่านนั้นต้องสองหทัย
มีสายใยสวาทมิคลาดคลา
     ๏ ทมยันตีมีใจภักดิ์ตอบรักท่าน
ดั่งคู่กันบรรพกาลเสน่หา
เป็นบุพเพสันนิวาสชาติมาลา*
เหมือนผูกพันกันมาในนิยาม
      ๏ ฟังคำคมทมยันตีที่ฝากถึง
พระนลซึ้งทรวงในให้วาบหวาม
ซักไซ้หงส์ตรงข้องจินต์สิ้นทุกความ
กระจ่างตามจำนงหงส์ทูลลา

       ................................        

ชาติมาลา*    โครงแห่งตระกูล
                                                             หน้า  ๑๒

     ๏ ฝ่ายทมยันตีศรีสมร
หลังหงส์อ้อนนัยแฝงแห่งภาษา
จึงย้อนคิดจิตย้ำคำพรรณา
ปรารถนาคลั่งไคล้ในพระนล
     ๏ ใจลอยล่องท่องฝันกระสันถึง
วันละหนึ่งเพิ่มเป็นวันละพันหน
ยิ่งห่วงหาอาลัยให้กังวล
มีกุศลสุขสมหวังหรืออย่างไร
      ๏ คำพูดหงส์ตรงตามสื่อความหมาย
ฤดีชายนั้นแน่แท้แค่ไหน
วลีหวานจากมานซื่อหรือเพ้อไป
จักเชื่อใจได้มั่นหรือผันแปร
     ๏ ยิ่งเนิ่นนานกาลเวลาพาจิตวุ่น
อกเคยอุ่นกลับร้าวหนาวเจียนแย่
ผ้าคุมองค์คงมิคลายได้จริงแท้
หนาวดวงแดสิ้นภูษามาบรรเทา
     ๏ แม้พี่เลี้ยงเคียงข้างยังมากล้น
แต่กมลรู้สึกวังยังหงอยเหงา
กระสับกระส่ายไร้สุขทุกค่ำเช้า
แล้วใครเล่าจะซึ้งถึงฤทัย




                                                             หน้า  ๑๓  

      ๏ บางครั้งปลื้มลืมผลากระยาหาร
แต่มินานกลับกังวลจิตหม่นไหม้
จนผิวพรรณซีดเลือดเผือดผุดไคล
ห่วงอาลัยไม่ชื่นเลยเหมือนเคยมา
     ๏ นางกำนัลบริวารพานพลอยเศร้า
จึงเงียบเหงาทั้งวังดังราวป่า
เหล่าข้าไทจึงไปทูลองค์ราชา
พิจารณาทางช่วยด้วยดุษฎี
      ๏ ภีมราชจอมไผทได้สดับ
จนสิ้นสรรพวาจาแห่งทาสี
พระกำสรดแต่กดไว้อยู่ในที
องค์ภูมีใคร่ครวญหวนคำนึง
      ๏ “โอ้คนดีธิดาของข้าเอ๋ย
ก่อนมิเคยโศกศัลย์หรือปั้นปึ่ง
ลูกขัดเคืองเรื่องใดไม่รู้ซึ้ง
ไฉนจึงเป็นไปได้เพียงนี้
     ๏ หรือนงคราญผ่านวัยควรได้คู่
ร่วมชื่นชู้ภิรมย์รักเป็นสักขี
จะจัดการสยมพรพิธี
ทมยันตีเลือกคู่เคียงกมล”




                                                              หน้า  ๑๔
  
     ๏ เมื่อท่านท้าวเข้าพระทัยให้อำมาตย์
เตรียมการราชพิธีเพื่อมีผล
ออกหมายกำหนดการงานมงคล
แล้วป่าวร้องก้องทุกหนทั้งใกล้ไกล
     ๏ เชิญปิ่นเกล้าเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
มิข้องขัดชาติภาษาฐานะไหน
ต่อเมื่อทมยันตีมีหทัย
มอบรักให้จึงจักสมสยมพร
     ๏ ใกล้วันดีพิธีใหญ่ในครานั้น
ปวงเทวัญเรืองฤทธิ์อดิศร
ลูกกษัตริย์ผู้ครองรัฐเจ้านคร
ต่างรีบจรกันไปให้อื้ออึง
     ๏ พสุธาสะเทือนสั่นสะท้าน
จากฝีเท้าช้างสารเร่งให้ถึง
ราชรถเทียมอาชาฝ่าตะบึง
อึงคะนึงเหมือนจะประชันกัน
     ๏ แต่ละองค์ทรงอาภรณ์ประดับเพชร
มงกุฎเกศรุ่งราวชาวสวรรค์
ถึงธานีองค์ภีมราชัน
ต้อนรับอันสมฐานะประมุขชน

       ...............................  


                                                             หน้า  ๑๕

     ๏ ณ มัฆวานสมาคมบรมราช
วโรกาสประชุมใหญ่ในเวหน
ขัตติยะเทวาเคยมาล้น
แต่ครานี้ลดลงจนน่าแปลกใจ
     ๏ องค์อินทร์ถามความเทพมุนีท่าน
ชาวโลกทุกข์ สุขสราญ การณ์ไฉน
เกิดโรคาอาเพศเหตุอันใด
พิบัติภัยฤๅภาวะรณรงค์”
     ๏ เทพมุนีมีคำพร่ำแถลง
ทูลชี้แจงเค้าความตามประสงค์
“มนุษย์ไร้ทุกข์ภัยยุทธพงศ์
ขอท่านจงฟังแจ้งแถลงนัย
     ๏ สมมุติเทพทั้งหลายภายในหล้า
ต่างไคลคลาสู่วิทรรภ์ธานีใหญ่
ซึ่งการณ์นี้ท้าวภีมราชัย
ทูลเชิญให้ร่วมวาระสยมพร
     ๏ ขององค์ราชธิดามารศรี
ทมยันตีเลื่องชื่อลือกระฉ่อน
ศุภลักษณ์เลิศกว่าชาวนาคร
ฟ้าอมรก็ยากหามาเปรียบปาน”




                                                              หน้า  ๑๖

     ๏ ในขณะเทพมุนีชี้แจงเหตุ
จอมเทเวศฤทธิไกรศักดิ์ไพศาล
อีกสามองค์ตรงมานั่งทันฟังการณ์
ร่วมอุทานพร้อมว่า “ข้าจะไป”
     ๏ มีองค์อัมรินทร์ปิ่นโกสีย์
ทั้งพระอัคนีที่ยิ่งใหญ่
พระยมท้าวเจ้านรกปรกโลกัย
พระวรุณผู้ให้สายนที
     ๏ ในครานั้นจตุรเทวราช
ยุรยาตรแหวกฟ้ามาเร็วรี่
ดั่งแสงตรงลงสู่หล้าฝ่าเมฆี
พบสิ่งที่พระทัยสงสัยล้น
     ๏ สั่งสุรพาหนะชะงักไว้
มิเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างกลางเวหน
เมื่อเห็นราชพาหนะแห่งพระนล
วิ่งมาบนพื้นดินถิ่นไผท
     ๏ ความเร็วเท่าเรามาจากฟ้านั่น
ปวงเทวัญแคลงจิตคิดสงสัย
ราชรถเทียมม้าอาชาไนย
แล้วไฉนเทียบกะทิพยยาน




                                                               หน้า  ๑๗

     ๏ อัศวลีลาสง่ายิ่ง
พร้อมทุกสิ่งแลวิไลเกินไขขาน
เห็นฉะนั้นพลันเทวะโลกบาล
จึงปฏิสันถารสานไมตรี
     ๏ “ดูก่อนขัตติยะนามพระนล
หยุดร้อนรนหน่อยหนึ่งอย่าพึ่งหนี
จงตั้งใจจดจำคำพาที
จักได้มีเทวราชโองการ
     ๏ เราจักใช้ให้เป็นทูตแห่งเทวะ
สำเร็จจะอวยชัยให้ไพศาล
กิจเทวายากให้ใครทำงาน
จึงเลือกท่านผู้ที่มีบุญแล”
     ๏ “ขอเดชะองค์พระเทวราช
ข้าพระบาทจะรับใช้ผู้ใดแน่
เป็นทูตนั้นสำคัญยิ่งที่จริงแท้
ต้องรู้แง่งานนั้นฉันใดนา”
     ๏ “ตัวข้านามอัมรินทร์ปิ่นโกสีย์
นั่นเทพอัคคีพลังกล้า
อีกวรุณผู้ให้สายธารา
และยมราชผู้พร่าชีวาชน”




                                                             หน้า  ๑๘

     ๏ “ศักรินทร์ปิ่นเทวาเลิศหล้าโลก
ผู้สรรค์โศกเสริมสุขทุกแห่งหน
ฉันยินดีที่จะถวายตน
แต่กังวลอย่าเนิ่นนานกาลเวลา”
     ๏ “เรื่องเวลาข้าช่วยเอื้ออวยให้
ชั่วอึดใจจรดังคิดทุกทิศา
เมื่อตกลงจงตั้งใจจำวาจา
นำความพาสู่จอมขวัญทมยันตี
     ๏ จตุระโลกบาลนั้นมาพร้อม
แลหมายน้อมสู่ภาวะมเหสี
เชิญไปแมนแดนเทวาเหนือธาตรี
จักได้มีสุขสันต์นิรันดร์กาล
    ๏ เลือกเอาเถิดเทวินทร์มหินท์ชาติ
ผู้หมายมาดมอบรักสมัครสมาน
หรือเทวะอัคนีมีดวงมาน
พร้อมประทานรักจอมขวัญกัลยา
     ๏ หรือเลือกพระวรุณผู้พูนโลก
จะร้างโศกสิ้นทุกข์สุขนักหนา
หรือเลือกพระยมราชฆาตโลกา
จักพ้นภัยบีฑาสุขอานันท์




                                                              หน้า  ๑๙

     ๏ ขอให้ทมยันตีนารีรัตน์
ปฏิพัทธ์เทวะจากสวรรค์
สมยศฐานารีศรีวิทรรภ์
จงเลือกสรรตามจำนงสักองค์เทอญ”
    ๏ จบคำฝากจากองค์อินทร์ปิ่นพิภพ
พระนลนบเทวัญสรรเสริญ
แต่ใจนั้นพลันโศกวิโยคเกิน
ฤๅเผชิญวิบากกรรมช้ำอุรา
     ๏ อัดอั้นจิตคิดไปให้ทดท้อ
จึงวอนขอเทวัญเหล่านั้นว่า
“ยากจะทำตามประสงค์องค์เทวา
เพราะต่างมาด้วยปองน้องนางเดียว
     ๏ เมื่อฝ่ายท่านวานให้ไปเป็นทูต
กลัวจะพูดพลั้งพลาดขาดเฉลียว
มิทำได้ดั่งใจท่านนั้นจริงเจียว
อย่าฉุนเฉียวนะหม่อมฉันวานปรานี”
     ๏ “ดูดู๋เจ้ามิจำคำทำสับปลับ
ตะกี้รับกลับตระบัดสัจหรือนี่
อันกษัตริย์ตรัสแล้วไม่กลายวจี
ไยทำทีเหมือนตระหนกอกระทึก”




[/color][/size][/font]


หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 กรกฎาคม, 2557, 02:36:49 PM
 




    
                                                       หน้า  ๒๐
                
     ๏ “วอนขอพระกรุณาเทวาท่าน
คำกล่าวขานสื่อตามความรู้สึก
ท่านยืนย้ำต้องทำแน่แม้ช้ำลึก
ยังสำนึกมิตระบัดสัตยา”
     ๏ “จงตั้งใจไปตามคำดำเนินกิจ
ใครมิปิดกั้นขวางทางข้างหน้า”
ประกาศิตสัมฤทธิ์สิ้นแห่งอินทรา
รับบัญชาพริบตาหนึ่งถึงเวียงชัย
     ๏ เริ่มหน้าที่ทูตเทวามาสมาน
นายทวารมิอาจขวางหนทางได้
ทหารซึ่งขึงขังเฝ้าวังใน
เหมือนยอมให้ล่วงปราสาทราชธิดา
     ๏ ถึงห้องใหญ่ใสสว่างกลางปราสาท
พบพระราชบุตรีที่เลิศหล้า
งามเอวองค์วงพักตร์ลักขณา
เสน่หาซ่านซึ้งตะลึงงัน
     ๏ จับจ้องนิ่งมิผินหน้าเหมือนบ้าใบ้
พิศวาสบาดฤทัยยิ่งไหวหวั่น
นึกถึงงานบรรหารแห่งเทวัญ
พระอดกลั้นอกตรมระทมระทวย




                                                               หน้า  ๒๑            

      ๏ ฝ่ายยุวนารีทาสีสมร
ทุกบังอรคัดสรรล้วนสะสวย
เมื่อเห็นพระนลกันพลันงงงวย
มัวแต่ขวยเขินอายชม้ายตา
     ๏ ครานั้นทมยันตีนิรมล
หันมาเห็นพระนลอยู่ซึ่งหน้า
แย้มยิ้มน้อยค่อยเอ่ยคำจำนรรจา
“ดูก่อนราเอกองค์ผู้ทรงงาม
      ๏ ท่านมาถึงราชฐานด้านในนี้
ไยมิมีทหารทัดทานห้าม
ขอเชิญท่านแถลงแจ้งพระนาม
และเหตุความประสงค์จำนงนัย”
     ๏ “นามคือนลกษัตริย์ขัตติยชาติ
ผู้ครองราชย์ธานีนิษัธสมัย
รีบเดินทางยังวิทรรภ์มั่นฤทัย
มอบดวงใจจอมขวัญทมยันตี
     ๏ แม้เพียงตาได้ชมมิสมรัก
ต้องอกหักทุกข์ทนหม่นเหลือที่
สมใจหวังตั้งตารอเป็นแรมปี
เพื่อเข้าร่วมพิธีสยมพร




                                                              หน้า  ๒๒

     ๏ ครั้งหงส์ทองปองสื่อสารสวาท
มาปราสาทน้องนั้นเมื่อวันก่อน
รับสารไปใจถวิลทั้งกินนอน
อกรุ่มร้อนใคร่มาหาคนดี
     ๏ กุศลหนุนบุญนักพบพักตร์น้อง
ถึงด้านในวังทองของโฉมศรี
ได้โอกาสสนทนาเอ่ยพาที
ชั่วชีวีดวงหทัยไม่ลืมเลือน
     ๏ แม้นรักที่ฤดีปองต้องพลัดพราก
รับวิบากกรรมขวางจำร้างเลื่อน
เช่นสุรีย์มิมีได้ใกล้ดวงเดือน
ดาราเกลื่อนต้องลี้ทิวาจร
     ๏ ระหว่างทางพบเทวาบัญชาพี่
เป็นทูตท่านสานไมตรีมิ่งสมร
ร้าวอุราพยายามพร่ำอ้อนวอน
ท่านมิผ่อนบรรหารยืนกรานใช้
     ๏ ต้องทำตามจำนงองค์เทเวศ
แลเห็นเจตน์ดวงจิตพิสมัย
น้อยนักนะมนุษย์สุดโลกไกล
อันจะได้พระกรุณาเช่นครานี้




                                                            หน้า  ๒๓      

     ๏ นายทวารมีการตรวจเข้มงวดนั้น
มิอาจกั้นกิจอินทราฝ่าวิถี
ผู้เป็นทูตเทวาเข้าธานี
จึงมิมีผู้ใดได้ทัดทาน
     ๏ นำความองค์อมรินทร์ปิ่นพิภพ
พระวรุณผู้เลอลบคุณพิศาล
พระอัคนีผู้ที่อุ่นโลกบาล
แลพระยมผู้ผลาญสรรพชีวา
     ๏ ทวยเทพไท้หมายเจ้าเยาวลักษณ์
เชิดชูศักดิ์เสพสวรรค์แสนหรรษา
จวบชั่วนิจนิรันดร์กาลเวลา
ทรงบุญญาประเสริฐเลิศโลกัย
   ๏  ยินดีด้วยอวยชัยไม่อิจฉา
เทพอุ้มชูสู่ฟ้าสุขสดใส
จะจำนงองค์ใดแน่สุดแต่ใจ
ทูตพร้อมรับกลับไปทูลเทวัญ”
     ๏ ครานั้นทมยันตีศรีสมร
พนมกรไหว้เทวะจากสวรรค์
หันมานบสบตานลราชัน
จึงจำนรรจ์คำฝากจากหทัย




                                                             หน้า  ๒๔

     ๏ “โอ้ว่าองค์ภูมินทร์ปิ่นเกศี
ฟังน้องนี้ชี้แจงแถลงไข
ความจริงแท้แลมิแสร้งแฝงกลนัย
ทูลราชัยตรงคำมิอำพราง
     ๏ เจตนาขอเป็นข้าพระนลราช
พิศวาสฝังฤทัยไม่รู้สร่าง
ตั้งแต่วันหงส์พรรณนาสารพางค์
ทรงสำอางเลิศปลื้มลืมมิลง
     ๏ ทั้งวันคืนตื่นหลับประทับจิต
ด้วยแรงฤทธิ์รักล้นจนลุ่มหลง
พระบิดามารู้เหตุเจตจำนง
จึ่งพระองค์จัดวาระสยมพร
     ๏ ตั้งแต่นั้นก็มั่นในฤทัยว่า
ต้องพบหน้านลนริศอดิศร
ขออย่าตัดสวาทจนขาดรอน
น้องวิงวอนรักแท้ให้ไร้ราคี
     ๏ แม้พระองค์ทรงชัยไม่สมัคร
สลัดรักหักใจคิดหน่ายหนี
เท่ากับองค์ทรงฤทธิ์ปลิดฤดี
น้องจำนงปลงชีวีมิมีกลัว




                                                              หน้า  ๒๕

     ๏ จักเข้ากองอัคคีปลิดชีวิต
ดื่มยาพิษดิ่งนทีมีอยู่ทั่ว
ฤๅผูกศอพอแน่นิ่งต้องทิ้งตัว
โลกมืดมัวหากมิคู่พระภูมี”
     ๏ ฟังความทมยันตีนารีนาถ
พิศวาสบาดทรวงพระทรงศรี
ซึ้งถึงความเสน่หายอดนารี
จิตเปรมปรีดิ์ใคร่ชมภิรมย์ชิด
     ๏ แต่หน้าที่เทวามอบมาให้
ทำตามใจปรารถนารู้ว่าผิด
จำเอ่ยตามความเทวาว่า “มิ่งมิตร
ขอจงคิดปลงใจให้เทวัญ
     ๏ สุขสรรเสริญเกินมนุษย์สุดจะกล่าว
เป็นท่านท้าวจอมสุรางค์กลางสวรรค์
เพชรภูษาทิพย์มาลีเลิศดีนั้น
สามารถสรรได้ทั้งสิ้นดั่งจินดา
     ๏ เมื่อเป็นความประสงค์ผู้ทรงฤทธิ์
ยากขัดจิตเหมือนจักผลักภูผา
เราด้อยค่ากว่าธุลีที่บาทา
ฤๅอาจกล้าท้าองค์เอกรินทร์”




                                                               หน้า  ๒๖  

     ๏ เมื่อยินคำย้ำความซ้ำอีกหน
อัสสุชลหลั่งไหลไม่สุดสิ้น
นัยคารมดั่งคมมีดกรีดชีวิน
อกพังภินท์ทรุดองค์ลงฟูมฟาย
     ๏ พระนลพลันหวั่นฤทัยได้กล่าวตอบ
เป็นคำปลอบประโลมยอดโฉมฉาย
“พี่กล่าวคำย้ำเตือนเหมือนดูดาย
ต่อไมตรีที่เจ้าหมายมอบให้มา
     ๏ เพราะพี่ถือสารามาเป็นทูต
ครั้นจะพูดตามใจคล้ายมุสา
ผิดคำมั่นอันรับกับเทวา
ขอธิดาเย็นลงจงเห็นใจ
     ๏ ถ้าได้พบน้องรักอีกสักครั้ง
จะกล่าวดังดวงจิตพิสมัย
มาครั้งนี้มีความสัตย์ผูกมัดไว้
ยอดฤทัยอย่าวิโยคโศกรำพัน”
     ๏ ยินคำปลอบประโลมทมยันตี
ชื่นฤดีเต็มอุระกะทันหัน
ยิ้มแย้มทั้งน้ำตาในครานั้น
ปานสวรรค์พลันสว่างขึ้นกลางทรวง




                                                              หน้า  ๒๗

     ๏ เมื่อรู้ซึ้งถึงฤทัยไม่เป็นอื่น
รักเต็มตื้นเลิกคิดตะขิดตะขวง
สรรเสริญองค์ทรงศักดิ์มิทักท้วง
“งานทั้งปวงเสร็จแล้วหนาเวลานี้
     ๏ เด็ดเดี่ยวยิ่งมิทิ้งสัจตัดธรรมะ
เสียสละดวงใจให้หน้าที่
เป็นการทำสิ่งประเสริฐเลิศภูมี
องค์เทวัญท่านปรานีสุธีชน
     ๏ ขอพระองค์ทรงทูลเทวฤทธิ์
ด้วยความสัตย์สุจริตจิตกุศล
จริงทุกถ้อยวาทีมิซ่อนกล
เผยเหตุผลแต่เริ่มจำเดิมมา
    ๏ เมื่อถึงวันสยมพรบวรพิธี
กลางภาคีใหญ่นั้นประชันหน้า                                                          
 เป็นสิทธิ์ของน้องเลือกคัดภัสดา
องค์เทวามีธรรมพึงอำนวย
    ๏ เมื่อน้องเลือกพระองค์เพราะจงจิต
เกิดโฆษิต*แซ่ซ้องร้องเห็นด้วย
พรเทวาพาชื่นระรื่นระรวย
สำเร็จสวยสมดังที่หวังปอง”



โฆษิต*   กึกก้อง,   ป่าวร้อง
                                                             หน้า  ๒๘

    ๏ พระนลฟังวาจาธิดาราช
ชาญฉลาดดีเด่นมิเป็นสอง
เอ่ยวาจาลาออกนอกวังทอง
เมื่อตริตรองคล้ายเทวาฟ้าประทาน
    ๏ ตั้งจิตย้อนกลับหลังดังใจหมาย
พระวับหายจากห้องรโหฐาน
นั่งวันทาหน้าพระพักตร์มัฆวาน
รับโองการตอบความตามระบิล
     ๏ องค์เทวาทั้งสี่มีปุจฉา
สั่งราชาแถลงไขให้จบสิ้น
อย่าตกขาดคลาดเคลื่อนเหมือนเล่นลิ้น
พระนลยินจึงกล่าวความตามคดี
     ๏ “ข้าพระองค์ตรงไปในปราสาท
ใครมิอาจขัดขวางทางวิถี
เข้าไปถึงซึ่งหน้ายอดนารี
ทำหน้าที่ตามท่านได้มอบหมายงาน
     ๏ กล่าววาจาว่าคณะจตุรเทพ
เชิญแม่เสพสุขสวรรค์อันไพศาล
ชี้นำหนุนคุณอักโขโลกบาล
เทิดทุกท่านว่าควรตอบรักมอบใจ





                                                             หน้า  ๒๙

     ๏ มากสรรพสิ่งสุขแสนที่แดนฟ้า
ตัวหม่อมฉันพรรณนาหาพร่องไม่
เพื่อชักจูงจิตนางเคลิ้มคลั่งไคล้
อมตาสุขาลัยนิรันดร์กาล
     ๏ ถ้วนทุกถ้อยวาทีที่เสกสรร
ดำรงความตามเทวัญมีบรรหาร
แต่เทวีมิชื่นรื่นสราญ
ปวดดวงมานทุกข์ตรมระทมระทวย
     ๏ เธอกล่าวถ้อยถอยหลังครั้งหนึ่งนั้น
ที่หม่อมฉันส่งหงส์ฟ้าเข้ามาช่วย
เป็นสื่อรักฝากวาจามหาละลวย
ซึ้งรูปสวยเดชาแห่งข้าพระองค์
     ๏ ตั้งแต่วันนั้นมานารีนาถ
พิศวาสบาดกมลจนลุ่มหลง
เฝ้าละเมอเพ้อรักพะวักพะวง
เป็นเหตุที่ปิตุรงค์เกิดสงกา
     ๏ ทรงใคร่ครวญทวนเหตุผลจนประจักษ์
ว่าเกิดรักขึ้นในทรวงจิตห่วงหา
สั่งอำมาตย์ประกาศไปหลายพารา
เชิญราชาเจ้าแคว้นแดนใกล้ไกล



                                                              หน้า  ๓๐

     ๏ ให้เดินทางยังเขตขัณฑ์วิทรรภ์รัฐ
เพื่อการจัดสยมพรพิธีใหญ่
ด้วยมาดหมายให้ธิดายอดยาใจ
เลือกคู่ครองต้องพระทัยมอบไมตรี
     ๏ เมื่อหม่อมฉันบรรยายซ้ำหลายหน
แม่ยิ่งหม่นหมองทุกข์สิ้นสุขี
จำต้องปลอบประโลมให้คลายโศกี
นางจึงมีคำจำนรรจ์มาวันทา
     ๏ เอ่ยอ้างองค์เทวัญอันประเสริฐ
ย่อมเลอเลิศทิพย์ญาณรู้การณ์หล้า
ทั้งพระองค์ทรงเดชล้ำเมตตา
พระองค์มาเพื่อช่วยอำนวยพร
     ๏ วันพิธีขอให้มีกระหม่อมฉัน
จรจรัลพร้อมกับพระอดิศร
กลางพิธีอยู่ที่ใจองค์เอมอร
จะแผลงศรรักต้องฤทัยใคร
   ๏ การณ์ทั้งหลายให้ตามนัยหทัยนุช
จะยื้อฉุดประเพณีหามมีไม่
ต่างมีเกียรติเกริกฟ้าสุราลัย
และล้วนใฝ่จำนงประสงค์ดี

    .................................  


                                                              หน้า  ๓๑  
    
     ๏ ครั้นมาถึงซึ่งวาระศุภฤกษ์
เอิกเกริกผู้คนล้นกรุงศรี
ขัตติยะ เทวะ ท้าว เจ้าธานี
เต็มโรงธารพิธีวังวิทรรภ์
     ๏ แต่ละองค์ทรงเครื่องประเทืองยศ
ตามกำหนดสำแดงหมายแข่งขัน
เพื่อชูพักตร์ลักขณาวิลาวัณย์
เชิดประชันยั่วตายอดนารี
     ๏ พระนลนั่งกลางเหล่าเจ้าเมืองใหญ่
ลดหลั่นใกล้จอมเทวัญนั้นทั้งสี่
ถึงเวลาธิดาขวัญทมยันตี
ลงสู่ที่ท้องพระโรงงานมงคล
     ๏ จ้องทุกตาทั้งสมาคมบุรุษ
เงียบประดุจยินเข็มเล่มเดียวหล่น
เพ่งพิศดูธิดาเอกอานนท์*
เหมือนต้องมนต์จังงังนั่งงุนงง
     ๏ โอ้แม่งามอร่ามเลิศเฉิดฉะนี้
ชายชาตรีทั่วโลกาจึงมาหลง
สารพางค์สะอางสะโอดสะอง
เหมือนเจาะจงขยี้ใจทุกชายชาญ



อานนท์*    ความยินดี,  ความปลื้มใจ
                                                            หน้า  ๓๒

     ๏ วงพักตร์พริ้มยิ้มละไมสดใสนัก
ทุกทีท่าน่ารักวิไลหวาน
ถึงเวลาพราหมณ์มาเริ่มเฉลิมการ
ผู้ร่วมงานยิ่งรู้สึกระทึกฤทัย
     ๏ ครานั้นทมยันตีฤดีหวาด
ดวงเนตรกวาดหาพระนลอยู่หนไหน
ส่ายสายตาหาอยู่นานละลานใจ
ดาษดื่นไปเทพเทวาองค์ราชัน
     ๏ ล้วนทรงงามล้ำเลิศพรรณเฉิดฉาย
งามละม้ายเช่นท้าวชาวสวรรค์
ถือหอกง้าวหลาวตะบองพลองฉกรรจ์
ดาบพระขรรค์หลายหลากแลมากมาย
      ๏ เขม้นมองจ้องหาพระนลเจ้า
อยู่กลางเหล่ารวมกลุ่มหนุ่มทั้งหลาย
แต่ข้องจิตคิดว่าคงตาลาย
พระนลคล้ายกันเรียงหน้าห้าพระองค์
     ๏ หลับตาลงจงจิตพินิจใหม่
คือองค์ใดพระนลจริงสิ่งประสงค์
ตั้งสติว่ามิใช่ละม้ายทรง
แต่มนตรามาเจาะจงให้งงงัน




                                                              หน้า  ๓๓

     ๏ จึงนบน้อมพร้อมจิตอธิษฐาน
ถึงท้าวโลกบาลเลอสวรรค์
ขอเมตตาสงสารท่านเทวัญ
ด้วยหม่อมฉันรักหนึ่งแท้แต่พระนล
     ๏ ขอมายาลวงตาสร้างจงจางหาย
เห็นเพียงชายที่รักด้วยสักหน
เมื่อเทวาทั้งหลายค่อยคลายมนต์
ก็เป็นผลให้ธิดาเห็นราชัน
     ๏ ถึงแม้นว่าเทวาหน้าตาคล้าย
วรกายเทวฤทธิ์ผิดสีสัน
แจ่มบรรเจิดเพริศพรายประกายพรรณ
พระนลนั้นระเรื่อด้วยเหงื่อไคล
      ๏ เหล่าเทวาคราประทับกับพระแท่น
มิได้แบนบุ๋มลงที่ตรงไหน
มิกะพริบพระเนตรผ่องทั้งสองนัยน์
เครื่องทรงไร้ผงธุลีมิมียับ
     ๏ ดอกไม้ในมาลัยดังยังติดต้น
ของพระนลมีดอกเฉาเข้าสลับ
ความพะวงสงสัยได้ระงับ
ธิดาจับพวงมาลีตรงรี่พลัน




                                                              หน้า  ๓๔

      ๏  คุกเข่าลงตรงหน้าพระนลราช
อภิวาทตัดสินใจมิไหวหวั่น
เอ่ยวาจาว่า “น้องนี้ฝากชีวัน
องค์ราชันขอมีจิตคิดเมตตา”
    ๏ แล้วชูพวงมาลีสวยสีสด
จิตกำหนดคล้องยังพระอังสา
พลันกึกก้องเสียงแซ่ซ้องของเทวา
กล่าวคาถาถวายพระพรชัย
     ๏ พร้อมกับคำคร่ำครวญหวนละห้อย
จากราชันนับร้อยทั้งน้อยใหญ่
เมื่อสิ้นสรรพสำเนียงเสียงใดใด
พระนลได้กล่าวรับขวัญทมยันตี
      ๏ “โอ้ว่ายอดกัลยาณีของพี่เอ๋ย
ขอทรามเชยฟังความคิดจากจิตพี่
ชั่วกัปกาลนานนับตั้งแต่นี้
เป็นภัสดาที่ดีของยาใจ
     ๏ จะฟังวาจาเจ้าประทับจิต
รักมั่นคงดำรงมิตรพิสมัย
จะเคียงคู่อยู่กันทุกวันไป
ดวงฤทัยภักดีตราบนิรันดร์”




                                                              หน้า  ๓๕

     ๏ ยินคารมทมยันตีฤดีปลื้ม
ประดุจดื่มทิพย์โอสถเกษมสันต์
โผองค์ตรงเข้าครองประคองกัน
อภิวันท์ประธานราชพิธี
     ๏ เสร็จแล้วหันกลับมากราบพระบาท
พระปิตุราชมาตุรงค์พระทรงศรี
สองพระองค์อิ่มเอมสุขเปรมปรีดิ์
เอ่ยวจีเลิศล้ำอำนวยพร
     ๏ ขอบคุณทุกท่านที่มีเมตตา
ขอความกรุณามั่นเหมือนก่อน
ปวงเทวาตั้งท่าจะลาจร
ประนมกรน้อมส่งองค์เทวินทร์
      ๏ เหล่าเทโวโลกบาลตระการฤทธิ์
เริ่มประสิทธิ์พรเทวะแห่งมหินท์
หนึ่งบวงสรวงทั้งปวงได้ดั่งใจจินต์
ชาวธานินทร์สุขอุราสถาวร
     ๏ สองให้เป็นที่รักราษฎร์นักหนา
แม้ยาตราใดสุโขสโมสร
พระอัคนีมีการุณย์อวยสุนทร
สิทธิกรเรียกอัคคีด้วยปรีดา




                                                                หน้า  ๓๖

      ๏ อีกให้เขตนาครอมรรัตน์
เจิดจำรัสกระจ่างสว่างหล้า
พระยมท่านทัณฑธรเทวา
ประทานรสจรดชิวหาตราตรึงใจ
     ๏ แลให้ธรรมะสถิตนิมิตมั่น
ปกเขตขัณฑ์ทั่วแคว้นแสนสดใส
พระวรุณร่วมด้วยอวยพรชัย
เรียกน้ำได้ง่ายดายดังใจปอง
     ๏ ทั้งให้มวลมาลีที่ทรงผ่าน
จงชื่นบานสดสีมิมีหมอง
พรเลิศล้ำคำเทวะพระนลครอง
องค์ละสองเป็นแปดสรรค์สวรรค์มนต์
       ๏ จบคำพรองค์เทวัญพลันลับหาย
เห็นเพียงสายแสงเรืองเบื้องเวหน
มิทันล่วงลับลาจากสากล
ในบัดดลพบกลีและทวาบร
     ๏ องค์มัฆวานยั้งตั้งคำถาม
“จงตอบความให้แจ้งแถลงก่อน
ดูท่าทีลีลาน่ารีบร้อน
ท่านหมายจรสู่  ณ สถานใด”




                                                              หน้า  ๓๗
  
     ๏ “ร่วมสยมพรธิดาภีมกษัตริย์
วิทรรภ์รัฐเขามีพิธีใหญ่”
จตุรบาลท่านว่า “มาช้าไป
เราต่างได้ร่วมงานผ่านพ้นมา”
     ๏ กลีฟังดังพักตร์จะหักแยก
หทัยแหกประดุจฉีกชิ้นภูษา
“ใครทำให้สายสวาทต้องคลาดคลา
เราใฝ่หานงคราญมานานปี”
     ๏ “ราชธิดาเลือกพระนลเป็นคนรัก
แสนเหมาะสมกันนักด้านศักดิ์ศรี
ทั้งสององค์ทรงรักกันมั่นภักดี
เราทั้งสี่นี้ให้พรก่อนเลิกงาน”
      ๏ กลียิ่งเดือดดาลพาลอาฆาต
“มันบังอาจหยามข้ามหาศาล
อย่าคิดสุขสมหวังจะรังควาน
ให้มลานแยกพ้นคนละทาง”
     ๏ องค์อินทราฟังวาทีกลีกล่าว
เตือนว่า “ท้าวกลีที่หมองหมาง
ความอิจฉาริษยาพาจิตคว้าง
ถ้ามิวางหัวใจท่านนั้นร้อนรน




                                                               หน้า  ๓๘
 
      ๏ ยิ่งคิดร้ายท้ายแล้วท่านนั้นยิ่งต่ำ
ผลบาปกรรมงำจิตปิดกุศล
ท่านอาฆาตมาดร้ายหลีกไม่พ้น
ใจท่านเองแลต้องทนทุกข์ทรมา
     ๏ พระนลมั่นสัญญารักษาสัตย์
ยามข้องขัดกุศลหนุนบุญรักษา
พุทธคุณประเสริฐเลิศโลกา
เทพเทวามีหน้าที่บริบาล”
     ๏ ยิ่งเตือนย้ำเหมือนยิ่งทำกลีแน่น
กระอักแค้นจิตวุ่นกายงุ่นง่าน
องค์อินทร์ว่าวิสาสะกะคนพาล
มิเป็นการจึงสู่ฟ้าลับตาไกล
      ๏ ยิ่งย้อนคิดจิตกลีทวีคลั่ง
พระนลยังครองสุขแสนอยู่แดนไหน
เราดุจอยู่โลกันต์โดนหั่นใจ
อกเร่าร้อนดั่งไฟไหม้ฤดี
     ๏ “ทวาบรเพื่อนข้ามหามิตร
จงซึ้งจิตข้าทุกข์สิ้นสุขี
ขอจงช่วยด้วยจิตมิตรไมตรี
เป้าหมายมีข้าจะสิงพระนล




                                                              หน้า  ๓๙

     ๏ ทุกเช้าค่ำย้ำจิตมันคิดเขว
จำห่างเหนารีจนมีผล
วานเพื่อนข้าสิงสกาพาพลิกกล
ให้ทรงพลเสียสินสิ้นพารา
     ๏ จนเสียหมดมณฑลสุชนรัฐ
ราชสมบัติสูญพงศ์แลวงศา
ต้องออกจรร่อนเร่ไปในพนา
จักขยี้บีฑาผู้ปราชัย”
     ๏ จิตกลีแก่กล้าพยาบาท
คิดอาฆาตคลุ้มคลั่งเกินยั้งได้
ปลงไม่ตกอกร้อนดั่งฟอนไฟ
จำฝังใจแต่ขุ่นเคืองที่คางคา
      ๏ ไม่สมหวังดังหมายมิหายแค้น
ถ้าหากแม้นมีฤทธิ์คิดจักฆ่า
แต่ด้อยด้วยบารมีที่สร้างมา
ผิว์วิชาเราดียิ่งสิงภายใน
     ๏ ตกลงเน้นเร้นกายใกล้ทุกหน
เมื่อพระนลหมองเหม่อจิตเผลอไผล
จังหวะมีดังที่มั่นสิงทันใด
ถึงเนิ่นนานเพียงไรใจทนรอ

   .......................................  





หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 กรกฎาคม, 2557, 02:42:42 PM


                                                       หน้า  ๔๐
                              
     ๏ ถึงเวลาธานีวิทรรภ์รัฐ
ภีมราชกษัตริย์จัดห้องหอ
ทุกกระเบียดต้องละเอียดงามลออ
เติมแต่งเน้นเป็นที่พอพระหทัย
     ๏ พระตรัสสั่งทั้งธานีพิธีราช
ทุกเชื้อชาติปรองดองฉลองใหญ่
คู่ขวัญหล้าวิวาห์การงานเกริกไกร
พระนลกับทรามวัยทมยันตี
     ๏ สองกษัตริย์สุขสันต์สวรรค์สวาท
ภูวนาถมิห่างรักสักดิถี
เฝ้าชิดชมโฉมสุดายอดนารี
ทรงเปรมปรีดิ์ปลาบปลื้มลืมเวลา
      ๏ โอ้รักเอยชื่นเชยชมเมื่อสมรัก
สุขยิ่งนักหวานฉ่ำล้ำเลิศหล้า
สองอิงแอบแนบข้างมิห่างตา
เสน่หาตรึงจิตสนิทนาน
     ๏ คอยหยอกเย้าเคล้าคลอพะนอนุช
มิสิ้นสุดสายสวาทหยดหยาดหวาน
ฝันลอยล่องท่องแมนแดนพิมาน
เพลินทิพย์ธารสวนสวรรค์อันพิไล




                                                             หน้า  ๔๑

      ๏ มิพบพักตร์สักนิดก็คิดถึง
รักดูดดึงแนบสนิทอยู่ชิดใกล้
มดมิอิ่มลิ้มรสหวานสราญใจ
เคล้าอยู่ในใยสวาทมิคลาดคลา                                                
     ๏ วันหนึ่งนึกถึงนิษัธธานีสถาน
บริพารญาติพงศ์ร่วมวงศา
เข้าถวายบังคมภีมราชา
จักเชิญยอดชายากลับเวียงชัย
     ๏ โปรดอำมาตย์ยาตราส่งเสด็จ
โดยสำเร็จยังนิษัธนิรัติศัย
ถึงธานีพิธีฉลองข่าวก้องไกล
ราชาได้ราชินีที่สมบูรณ์
      ๏ นลราชาและธิดาทมยันตี
ครองธานีสดใสเลิศไอศูรย์
ดวงฤดีมีธรรมเจิดจำรูญ
ยิ่งเพิ่มพูนต้นทุนบุญความดี
   ๏ สิ่งชั่วช้าราคีมิกรายกล้ำ
ทั้งเช้าค่ำนิรทุกข์เปี่ยมสุขี
มิเปิดช่องจังหวะให้กลี
สิบสองปีผ่านไปเหมือนใจจง




                                                              หน้า  ๔๒                              

     ๏ ทรงได้ราชบุตรราชธิดา
สิ่งที่ปรารถนาสมประสงค์
“อินทระเสน” สุตราชวงศ์
สืบเชื้อพงศ์กษัตริย์ขัตติยา
     ๏ และ“อินทระเสนา” ธิดารัตน์
ผู้ผ่องภัทรโศภิตขนิษฐา
สองโสภีปานเทวีองค์เทวา
เป็นที่สุดเสน่หาเท่าชีวิน
     ๏ กิจวัตรประจำวันนั้นพระนล
ดื่มน้ำมนต์บวงสรวงองค์โกสินทร์
เทวาลัยไปบูชาเป็นอาจิณ
พระภูมินทร์เสริมเดชะบารมี
     ๏ จนวันหนึ่งซึ่งองค์ทรงพลาดพลั้ง
มิเป็นดังเคยทำประจำดิถี
ถ่ายมูตรแล้วต้องชำระพระกายี
ล้างพระบาทอย่างดีทุกทีไป
     ๏ ในครานั้นพระราชามาลืมหลง
มิชำระพระองค์ให้ผ่องใส
เข้าบวงสรวงบูชาเทวาลัย
เป็นเหตุให้เสียศรีอันดีงาม




                                                          หน้า  ๔๓

     ๏ ได้จังหวะกลีที่รอท่า
สิงราชาทันใดไม่พูดพล่าม
คอยดลใจให้ลืมตัวทำชั่วทราม
เมื่อถึงยามจิตไหวคลอนอ่อนพลัง
      ๏ เริ่มแผนการที่มารร้ายวางไว้ก่อน
ทวาบรสิงสกาพาตามสั่ง
ควบคุมได้เหมือนใจไปทุกครั้ง
ทั้งสองยังดลบุรุษ “บุษกร”
    ๏ ผู้เป็นพระอนุชามาคลั่งไคล้
อยากจะได้ราชสมบัติประภัสสร
เกิดดวงจิตริษยาอุราร้อน
ท้าภูมิธรลงปะทะทอดสกา
       ๏ ทวาบรหย่อน ดึงให้ตรึงจิต
เพื่อทรงติดใจกระสันใฝ่ฝันหา
ค่อยดูดดึงซึ่งทรัพย์นับคณา
ด้วยการท้าให้เพิ่มสินเดิมพัน
     ๏ เสียมากล้นพระนลยิ่งจมดิ่งหนัก
จนลืมหลักการบวงสรวงสวรรค์
ทิ้งพระราชกิจจาแห่งราชัน
จิตป่วนปั่นอยากเล่นทุกเวลา




                                                          หน้า  ๔๔

     ๏ ทมยันตีฤดีแสนอาดูร
คอยกราบทูลเพราะฉุกคิดสะกิดว่า
ขอพระองค์ทรงฤทธิ์อย่าปิดตา
ดูแล้วน่ามีกลโกงโยงใยการณ์
     ๏ พระนลฟังนั่งนิ่งมิติงมิตอบ
เพราะถูกครอบงำจิตเรื่องคิดอ่าน
กลีร้ายหมายพาไปหาพาล
ยิ่งเนิ่นนานพระยิ่งกลายคล้ายวิกล
     ๏ ถ้วนทุกหมู่เสนามหาอำมาตย์
กราบพระบาทยั้งไว้มิได้ผล
ต่างร้องร่ำกำสรดสลดกมล
ว่าพระนลตกภาวะเผชิญภัย
      ๏ ทมยันตีมีแต่ครวญหวนละห้อย
“เมียบุญน้อยสุดปัญญาจะแก้ไข
โอ้อกเอ๋ยเคยเฝ้าคอยเอาใจ
เดี๋ยวนี้ไยไม่ผินหน้าหันหาน้อง
     ๏ ยังจงรักพระองค์อยู่คงมั่น
ทั้งคืนวันทุกข์ทนแสนหม่นหมอง
ถ้าพระองค์มิกลับมาหาธรรมครอง
มิพ้นต้องเสียสินสิ้นธานี”




                                                           หน้า  ๔๕

     ๏ นลราชาในครานั้นพระกรรณดับ
มิได้รับรู้ภาษามารศรี
กลีพาลมลานจิตปิดฤดี
เหมือนมิมีวิญญาณพิจารณ์ใด
     ๏ ยังมุ่งมั่นพนันสกามิราหยุด
แลใครหรือจะยื้อยุดฉุดรั้งได้
มิรู้ว่าฐานะพระคลังใน
ราชทรัพย์ร่อยหรอไปใกล้หมดแล้ว
     ๏ เหล่าเสนาอำมาตย์ราษฎร์ผู้ภักดิ์
ด้วยจงรักมาห้อมล้อมวังแก้ว
ขอเข้าเฝ้าบรรเทาภัยให้คลาดแคล้ว
ไร้วี่แววพระนลสนพระทัย
      ๏ ได้แต่ส่งเสียงร้องก้องปราสาท
วิงวอนพระภูวนาถวินิจฉัย
ปริเวทนาระอาใจ
พระนลไม่รับรู้ดูงวยงง
     ๏ ทมยันตีสิ้นวิธีทัดทานต่อ
พระมิพอยิ่งทวีฤดีหลง
หวนไห้หามาตุราชปิตุรงค์
ขอพระทรงเป็นร่มฉัตรแก่นัดดา




                                                           หน้า  ๔๖

     ๏ ด้วยลูกน้อยกลอยใจเยาว์วัยนัก
จึงยากจักร่อนเร่ห่างเคหา
จำต้องฝากกุมารีกุมารา
ให้องค์พระเจ้าตาอภิบาล
     ๏ ส่วนหม่อมฉันมั่นคงจงรักมั่น
แม้ถึงวันจำพรากจากสถาน
ขอเคียงคู่ภูวดลผจญมาร
ยอมร้าวรานชีพมลายตายด้วยกัน
     ๏ เมื่อคิดได้ทรงให้หา “วาร์ษไณย”
เตรียมราชรถม้าไวให้แข็งขัน
“ช่วยเถิดท่านกระทำการอันสำคัญ
นำสองนัดดาวิทรรภ์กลับธานี
      ๏ ถ้าภีมกษัตริย์ท่านตรัสถาม
จงตอบความเป็นไปให้ถ้วนถี่
เมื่องานเสร็จสำเร็จลงแล้วด้วยดี
ท่านหลีกลี้หรือคืนหลังดังจำนง”
     ๏ วาร์ษไณยคู่ทรงรถอัศวราช
ก็สามารถสนองต้องประสงค์
ด้วยจงรักภักดีที่ซื่อตรง
ทุกสิ่งสำเร็จลงสมฤทัย




                                                              หน้า  ๔๗

     ๏ กราบทูลความตามทมยันตีสั่ง
แล้วลาวังสู่อโยธยาใหญ่
เสร็จหน้าที่มิยื้อยุดสุดแต่ใจ
ด้วยเหตุผลนลราชัยลืมพระองค์
     ๏ นับแต่นั้นการสกาดังว่าปล้น
ฝ่ายพระนลทรัพย์มลายไม่เหลือหลง
การครองราชย์สมบัติขัตติยวงศ์
ตามยุยงเป็นเดิมพันพนันสกา
     ๏ ก็เสียสิ้นดังทุกทีมิมีได้
พระนลไซร้ทุกข์หนักยิ่งนักหนา
ยินคำเย้ย “ทรัพย์หมดเลยสิ้นราชา
ต่อพนันชายาทมยันตี”
      ๏ พระนลฟังคั่งแค้นแน่นอกสั่น
โดนหยามหยันถึงชายามารศรี
ละเครื่องทรงกษัตราประดามี
พันกายีด้วยผ้าเพียงผืนเดียว
     ๏ ทมยันตียอดนารีก็เช่นกัน
ร่วมครองผ้าเช่นราชันด้วยเด็ดเดี่ยว
พร้อมเผชิญเดินทางอย่างกลมเกลียว
สุดป่าเปลี่ยวมิคร้ามจะตามไป




                                                            หน้า  ๔๘

     ๏ สององค์ย่างร้างราลานิเวศน์
มิตั้งเจตนาว่าไปไหน
เหลียวแลหลังลิบลิบยังเห็นเวียงชัย
ทรงโศกาอาลัยเหลือคณา
    ๏ เคยอยู่ดีนิรทุกข์สุขเหลือหลาย
ต้องจำใจไปตายเอาดาบหน้า
สองกษัตริย์ซัดเซร่อนเร่มา
แล้วค่ำลงตรงชายคาประตูเมือง
     ๏ นายทวารอภิบาลองค์ภูมินทร์
บุษกรได้ยินข่าวลือเลื่อง
ออกประกาศราชกิจจาด้วยขุ่นเคือง
ใครกระด้างกระเดื่องจักลงทัณฑ์
      ๏ ผู้เอื้ออวยช่วยเหลือพระนลนาถ
ต้องคอขาดทั้งโคตรโหดมหันต์
โทษกำหนดฐานกบฏต่อราชัน
ในครานั้นนลราชาจำลาจร
     ๏ พระเดินทางร้างไกลในชนบท
โศกกำสรดด้วยมิเป็นเช่นแต่ก่อน
ชนขัดข้องสนองคุณมอบสุนทร
ด้วยบุษกรประกาศฆาตชีวี




                                                             หน้า  ๔๙

     ๏ กระยาหารอันใดไม่ตกท้อง
ชวนกันท่องเรื่อยไปในวิถี
พบสายธารจึงได้ดื่มชลธี
ให้พอมีกำลังประทังกาย
     ๏ ทั้งสององค์ตรงไปกลางไพรสัณฑ์
ซึ่งเผือกมันยากจักหายิ่งห่างหาย
กินของป่านานาขอพอรอดตาย
เป็นอยู่คล้ายวานรป่าฝ่ารกร้าง
     ๏ แล้วพบนกฝูงหนึ่งอยู่ซึ่งหน้า
ไร้ทีท่าเร้นกายออกไปห่าง
ยังกระโดดโลดเต้นเล่นใกล้ทาง
ดูเชื่องต่างธรรมดาน่าแปลกใจ
      ๏ หิวโหยหลายไร้ที่หากระยาหาร
พระนลพิศคิดอยู่นานนี่ไฉน
ชะรอยว่าคืออาหารประทานไว้
แด่เราไซร้และชายายุพาพาล
     ๏ คิดดังว่าราชาเปลื้องผ้าทรง
ตระหลบลงคลุมปิดมิดทุกด้าน
ครั้นจะจับดังจิตที่คิดการ
นกใจมารคาบผ้าทรงตรงขึ้นฟ้า




                                                             หน้า  ๕๐

     ๏ บินร่อนไปร่อนมาเริงร่าอยู่
กล่าวเยาะเย้ย “เหวยเหวยดูอนาถา
มิเหลือแม้ผ้าอันพันกายา
เป็นราชาโง่เง่าเขลากระไร
     ๏ นกนี้หรือคือลูกสกานั้น
บอกกล่าวกันเสียได้หายสงสัย
ลูกสกาทวาบรซ่อนภายใน
ต้องการให้ท่านนี้มีแต่ตัว”
     ๏ สกุณชาติลูกบาศก์แห่งสกา
กล่าวเย้ยหยันสรรหาวาจายั่ว
ก่อนบินไกลให้ทั้งสองยิ่งหมองมัว
หายตื่นกลัวทมยันตีพิรี้พิไร
       ๏ “โอ้ว่าภัสดาคราตกยาก
แสนลำบากเราสองต้องทนไหว
ผ้าหนึ่งผืนฝืนพันคู่กันไว้
อย่าโศกาอาลัยอันใดเลย”
     ๏ ครั้นฟังทมยันตีมีคำปลอบ
พระนลตอบ “ดวงฤดีของพี่เอ๋ย
พี่ลืมตัวชั่วยิ่งเสียจริงเอย
เจ้ามิเคยขุ่นจิตคิดชิงชัง




                                                             หน้า  ๕๑
  
     ๏ เมื่อชะตามาต่ำทรามเพียงนี้
ต่อไปมีอันใดจะให้หวัง
พเนจรร่อนเร่เที่ยวเซซัง
แล้วน้องยังติดตามพี่ทำไม
     ๏ น้องเองมีบ้านเมืองอันเรืองศักดิ์
ใช่จมปลักอย่างพี่นี้เมื่อไหร่
ควรคิดกลับพารารีบคลาไคล
ปล่อยพี่ไปตามทางผู้สร้างกรรม”
     ๏ “ไปเมืองน้องพระองค์ต้องเสด็จด้วย
ปิตุรงค์คงช่วยอุปถัมภ์
ให้น้องพรากจากไปเหมือนใจดำ
มิอาจทำดังจำนงประสงค์ดี
    ๏ เมื่อพี่สุขน้องนี้หนอก็พลอยสุข
เมื่อพี่ทุกข์ควรร่วมใจไม่หน่ายหนี
หน้าที่เมียภักดีผัวชั่วชีวี
มิคิดเห็นเป็นราคีชั่วชีวัน
     ๏ โอสถฤๅรักษาโรคโศกระงับ
ได้เท่ากับใกล้มิ่งมิตรชิดเมียขวัญ
ประคองกายใจอยู่ดูแลกัน
ถึงทุกข์นั้นหนักหนาพาผ่อนคลาย




                                                             หน้า  ๕๒

     ๏ พี่เสด็จแดนใดน้องไปด้วย
บุญมิช่วยก็ยอมดับลับสลาย
ถ้าไม่มีถิ่นใดให้พักกาย
ขอมั่นหมายวิทรรภ์หลักพักฤทัย”
     ๏ “พี่มิดึงพระบิดามาเกี่ยวข้อง
ถึงจะครองทุกข์หนักสักเท่าไหร่
สยมพรวิวาห์เช่นราชัย
ฤๅกลับไปดั่งวณิพกพเนจร
     ๏ พาเสื่อมศักดิ์ญาติพงศ์เหล่าวงศา
เมื่ออื้อฉาวชาวพาราจะขอดค่อน
พระบิดาพลอยเศร้าเฝ้าอาทร
ยอดมิ่งมิตรอย่าคิดวอนมิอ่อนใจ
      ๏ จักก้มหน้ารับกรรมไปให้สิ้นสร่าง
จนพบทางกู้ธานีวิธีไหน
พี่ขอมอบคำมั่นสัญญาไว้
เราสองคืนโภไคยดั่งใจปอง”
     ๏ ทรงชี้ทางจะย่างมุ่งกรุงวิทรรภ์
ลำดับขั้นที่พักพิงสิ้นทั้งผอง
บุญรักษาโอบอุ้มคุ้มครองน้อง
แม้หม่นหมองหลายวันวารมินานปี”




                                                                         หน้า  ๕๓

     ๏ “ขอพระองค์อย่าทรงไล่ให้ไกลห่าง
แม้นเสียวังรั้งร้างห่างกรุงศรี
แค่หวาดหวั่นครั้นจะมาเสียสามี
อกน้องนี้คงจะพังทลาย”
     ๏ พระนลชี้ทางไปให้หลายหน
นฤมลหวั่นร้างรักห่างหาย
อกไหวหวั่นพานสั่นสะท้านกาย
จนวุ่นวายดวงใจไม่จืดจาง
      ๏ พระนลมีสติมินานนัก
เห็นความรักกลีร้ายหมายขัดขวาง
จึงงำจิตพระนลหนักมิพักวาง
ออกเดินทางข้ามทิวเขาเนาวนา
      ๏ จนมาถึงกระท่อมร้างกลางไพรสาณฑ์
คงพวกพรานไพรสร้างไว้กลางป่า
พอดีค่ำพำนักพักกายา
สักชั่วคืนก่อนจะลาร้างแรมดง
     ๏ “เชิญมิ่งมิตรยอดสนิทเสน่หา
ผู้ภักดีภัสดาจนลุ่มหลง
พักเถิดหนามานั่งเล่นเอนกายลง
ขอให้วงแขนพี่เป็นที่พิง




                                                            หน้า  ๕๔

     ๏ เนินดินนี้แลแทนพระแท่นแก้ว
หม่นเหลือแล้วดวงแดแม่ยอดหญิง
เครื่องปูลาดมิอาจหาระอาจริง
ย่ำค่ำยิ่งหนาวร่างน้ำค้างพราย”
     ๏ โอ้อกเอ๋ยทมยันตีนารีรัตน์
กายเหนื่อยล้าสาหัสและเพลียหลาย
ลงแนบชิดนิทรานิ่งมิติงกาย
แต่พระนลจิตวุ่นวายไม่หลับนอน
     ๏ นึกย้ำคิดโอ้เราผิดถึงพียงนี้
เสียธานีเคยสุโขสโมสร
ต้องแรมร้างห่างเหพเนจร
พลอยเดือดร้อนทมยันตีศรีสุดา
     ๏ ผลกรรมทำสร้างอย่างมหันต์
ทรมานนานวันในภายหน้า
ถ้ามิทิ้งยอดมิ่งขวัญกัลยา
ก็จักพากันอดสูมิรู้พอ
     ๏ พระครุ่นคิดจิตเป็นห่วงดวงสมร
แสนอาวรณ์จักแก้ไขไฉนหนอ
ได้จังหวะกลีมิรีรอ
เข้ามาก่อกวนจิตให้ผิดเพี้ยน




                                                             หน้า  ๕๕

     ๏ พระนลสิ้นเกียรติยศหมดศักดิ์ศรี
ทมยันตีรักมั่นมิผันเปลี่ยน
จะให้พรากจากกันหมั่นเบียดเบียน
เพิ่มความเพียรเร่งกระทำงำพระนล
     ๏ วุ่นวายจิตคิดหว่างทางสองแพร่ง
ฝ่ายไหนแรงฝ่ายนั้นบันดาลผล
ใจอ่อนแอแพ้กลีทวีมนต์
พระออกค้นได้มีดเก่าหยิบเอามา
     ๏ ค่อยค่อยเข้าไปหายอดนารี
มีดที่มีอยู่นั้นเฉือนปันผ้า
พอห่อกายผันผายออกนอกชายคา
ยังห่วงหาหันกลับหลังแสนกังวล
      ๏ “โอ้แม่นิ่มนวลน้องรักของพี่
เคยอยู่ดีมีสุขมิทุกข์หม่น
ผิวนารีมิเคยต้องสิ่งหมองมล
ต้องมาทนอ้างว้างอยู่กลางไพร
     ๏ ฝูงเหลือบไรยุงริ้นกินโลหิต
ผ้าครึ่งผืนหาปกปิดกายมิดไม่
เคยยิ้มหัวต่อนี้หายกลายอาลัย
มีแต่ไห้หวนร่ำระกำทรวง




                                                             หน้า  ๕๖
  
     ๏ ผัวเคยอยู่เป็นชู้ชิดก็คิดจาก
แกล้งลาพรากจากไกลเหมือนไม่ห่วง
โศกชีวินสิ้นหวังไปทั้งปวง
โอ้พุ่มพวงคงแทบจะมรณา
     ๏ ใจร้ายจริงทิ้งนุชประดุจแกล้ง
ให้เหี่ยวแห้งอับปางอยู่กลางป่า
นึกยิ่งผิดคิดยิ่งแค้นแน่นอุรา
ทรงโศกาเต็มตื้นฝืนกมล
      ๏ โอ้ว่าองค์เทวะผู้ประเสริฐ
การณ์บังเกิดด้วยข้าบาทขาดกุศล
ขอยอมรับบาปชั่วเพียงตัวตน
อย่ามีผลถึงผู้ใดได้ไหมเอย
      ๏ ขอเทพไท้อันสถิตทุกทิศที่
คุ้มครองทมยันตีเถิดท่านเอ๋ย
ส่วนหม่อมฉันนั้นมิต้องมองแลเลย
ผลกรรมเคยสร้างหนักจักผจญ”
      ๏ ใจจะจากพรากพาก้าวขาหนี
พลิกฤดีย้อนใหม่อยู่หลายหน
ดุจชิงช้าแกว่งไปมาอลวน
พระทรงพลมิเป็นตัวของตัวเอง




                                                              หน้า  ๕๗

      ๏ จิตและกายคลายคลอนด้วยอ่อนล้า
กลีเพิ่มฤทธาคร่าข่มเหง
ให้มุ่งมั่นดั้นดงไปไม่โคลงเคลง
บีบให้เร่งฝีเท้าเข้าป่าลึก
     ๏ ครานั้นทมยันตีศรีสมร
พลิกเอวอ่อนสักครู่เริ่มรู้สึก
เหลียวแลหาสวามีฤดีระทึก
มิอยากนึกถึงการณ์เคยหวั่นใจ
     ๏ เริ่มเอ่ยคำพร่ำพจี “โอ้พี่จ๋า
ภัสดาคนดีอยู่ที่ไหน
มาหาเมียเถิดนะจะช้าไย
น้องหวั่นภัยที่เผชิญเหลือเกินแล้ว
      ๏ ทมยันตีนิรมลวิ่งค้นหา
รอบชายคากระท่อมไพรหัวใจแป้ว
โอ้พี่ยาเมตตาเลิศจิตเพริศแพร้ว
พระผัวแก้วอย่าล้อเล่นอยู่เช่นนี้
     ๏ กำบังองค์ตรงไหนไพรพฤกษา
หลังโขดเขินเนินผาเถื่อนวิถี
มาเถิดหนอพ่อยอดชู้องค์ภูมี
เร็วก่อนที่น้องดับดิ้นสิ้นใจลง




                                                              หน้า  ๕๘

     ๏ โอ้ว่าทูลกระหม่อมพ่อจอมขวัญ
เคยรักมั่นแล้วไฉนไยลืมหลง
ที่ผ่านมาสัญญานักรักยืนยง
ต่อหน้าองค์อินทราเทวฤทธิ์
   ๏ พระองค์สิ้นสัจจะหรือไฉน
สิ่งอันใดน้องนี้มีความผิด
จะมาดร้ายกายใจไม่เคยคิด
มิเบือนบิดจิตละจากพระนล
     ๏ เมื่อภูมีหนีจากพรากเมียรัก
เมียคงจักดับชีวินสิ้นกุศล
ภัสดาคราต้องครองทุกข์ทน
ต่อไปนี้มิมีคนประโลมใจ
      ๏ โอ้พ่อทูลกระหม่อมเอ๋ยอย่าเลยลับ
พี่มิกลับน้องมิรู้อยู่ไฉน
อย่าให้ต้องโศกาเศร้าอาลัย
มลายในพนาลีนี้เลยนา”
     ๏ นางครวญคร่ำร่ำร้องก้องไพรสณฑ์
ระทมทุกข์เทวษล้นแล้วพี่จ๋า
ไม่มีใครตอบคำพร่ำวาจา
ปากเรียกหามิพักสักนาที




                                                               หน้า  ๕๙

     ๏ ในครานั้นปานว่าจวนบ้าแล้ว
เสียงแหบแผ่วโหยหายคล้ายเสียงผี
เดินโซเซเร่ร่อนในป่าพนาลี
นำกายีสู่ทิศใดมิได้รู้
     ๏ ยังเชื่อแน่แท้รักพระนลราช
จะมิขาดคำมั่นผูกพันอยู่
สิ่งชั่วร้ายใดสำแดงแฝงดนู
มันเป็นผู้ก่อภัยให้เกิดกรรม
   ๏ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน
“พวกหมู่มารตนใดที่กรายกล้ำ
อัปลักษณ์กักขฬะลอบกระทำ
คืนเจ็บช้ำพันเท่าทบทวี
      ๏ ถึงชาติไหนให้กมลไม่พ้นทุกข์
เพลิงนรกกลางอกลุกจงทุกที่”
จบคำแช่งด้วยแรงเศร้าเหงาฤดี
ออกเรียกหาสวามีก้องป่าไป
     ๏ พร่ำว่าทูลกระหม่อมจอมใจฉัน
มิเคยพรากจากกันแม้วันไหน
ตั้งแต่เริ่มเข้าวิวาห์กับราชัย
อยู่ชิดใกล้ทุกโอกาสมิคลาดคลา










หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 กรกฎาคม, 2557, 02:48:57 PM



                                                             หน้า  ๖๐
    
     ๏ ผัวทิ้งเมียเสียได้ให้ช้ำจิต
มีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ค่า
กลับเถิดนะพระองค์ขอจงมา
แสนโศกาลำเค็ญโปรดเอ็นดู
   ๏ เหนื่อยจนพับหลับมิชื่นตื่นร่ำร้อง
ขายังย่องย่างไปไม่หยุดอยู่
ซัดเซกายไปปะพญางู
เข้าตระหวัดรัดดนูมิรู้ตัว
     ๏ สุดหวั่นหวาดคาดว่าจะดับดิ้น
ใจถวิลเรียกหาพ่อทูนหัว
กายแทบแตกเป็นเสี่ยงเสียงสั่นรัว
ต่อนี้ผัวต้องเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
      ๏ พระองค์จักโศกเศร้าเกินกล่าวขาน
เมื่อเมียยอดเยาวมาลย์ชีพสลาย
ยามเมื่อพ้นเคราะห์กรรมที่ซ้ำร้าย
พระองค์หมายจะรับกลับเวียงชัย
      ๏ งูพิฆาตหม่อมฉันเสียวันนี้
แล้ววันนั้นมันจะมีได้ที่ไหน
นางครวญคร่าร่ำลาอย่างอาลัย
สุดจักคิดแก้ไขใจงงงัน




                                                               หน้า  ๖๑

    ๏ เผอิญมีนายพรานผู้ชาญป่า
ตามเสียงนางถึงข้างหน้ากะทันหัน
มีดสะบัดตัดคองูขาดโดยพลัน
ช่วยชีวันพระนางทมยันตี
     ๏ พรานหาน้ำชำระล้างโลหิต
ที่สาดติดองค์พระมเหสี
หาผลไม้มาให้ลิ้มชิมอย่างดี
แล้วพาทีสอบถามกับทรามวัย
     ๏ “โอ้เนื้อเย็นเป็นใครจากไหนหนอ
งามลออเกินนางกลางป่าใหญ่
ร่อนเร่มาจากแคว้นดินแดนใด
หมายเดินไพรหรืออนงค์หลงวนา”
      ๏ ครานั้นทมยันตีมีคำตอบ
กล่าวโดยชอบขอบคุณบุญรักษา
ปลื้มน้ำจิตมิตรไมตรีช่วยชีวา
แต่ทว่าพรานไพรใจลำพอง
     ๏ หลงโฉมงามเกินห้ามข่มอารมณ์ไหว
เกิดความใคร่หมายสมสู่เป็นคู่สอง
นางมาเดียวเปลี่ยวกายไร้ใครครอง
เราจักต้องมิปล่อยแม่ถอยจร




                                                               หน้า  ๖๒

     ๏ จึงเริ่มกล่าว  “เยาวพามารศรี
ฟังเถิดหนานารีมิ่งสมร
เราเองจักโอบอุ้มคุ้มบังอร
มิให้ต้องเดือดร้อนเหมือนก่อนมา
      ๏ จัดให้ทานอาหารป่าดารดาษ
ไม่ให้ขาดทุกวันจักสรรหา
ขอเป็นคู่อยู่ชิดเคียงนิทรา
มิต้องลาแรมไกลหนใดแล้ว”
      ๏ ในครานั้นองค์ทมยันตี
ผู้จงรักภักดีแต่ผัวแก้ว
เห็นพรานพล่ามสามหาวมิเข้าแนว
สิ้นวี่แววผู้หวังดีช่วยชีวิต
     ๏ จึงยกมือพนมก้มเกศา
วอนเทวันชั้นฟ้าประกาศิต
หม่อมฉันรักภักดีองค์พระทรงฤทธิ์
ขอผู้คิดชั่วช้าลามลาย
     ๏ ครั้นสิ้นคำชายาพระนลราช
ดั่งฟ้าฟาดพรานดับดิ้นสิ้นสลาย
มิสงบเสงี่ยมรู้เจียมกาย
รับความตายเป็นค่าบรรณาการ




                                                            หน้า  ๖๓

     ๏ แม้สิ้นเคราะห์เฉพาะหน้าที่ปรากฏ
ความกำสรดยังเห็นเป็นแก่นสาร
ซัดเซกายในแดนแสนกันดาร
ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานไป
     ๏ ต้องว้าเหว่เอกากลางป่าเปลี่ยว
เฝ้าแลเหลียวหาพระนลอยู่หนไหน
มีแต่เสียงสัตว์สำเนียงหริ่งเรไร
เหมือนเยาะเย้าเย้ยให้ฤทัยตรม
     ๏ ผ่านฝูงสัตว์ที่ลัดทางอยู่กลางป่า
พยัคฆาลิงค่างกวางสวยสม
หมู่นกกาถลาคอนร่อนเล่นลม
ดั่งชวนชมพฤกษานานาพรรณ
     ๏ ผิประพาสกับภัสดาในคราสุข
คงสนุกปานว่าวนาสวรรค์
แต่บัดนี้อกมีไฟบรรลัยกัลป์
เศษสุขสันต์กลางฤทัยจึงไม่มี
     ๏ จิตประหวัดภัสดาหาสุดสิ้น
ครั้งชีวินหวานคู่อยู่สุขี
สัญญารักจักดำรงองค์บดี
โอ้ป่านนี้มิเหลือแล้วเยื่อใย




                                                             หน้า  ๖๔
    
     ๏ นึกที่มาวาระวันสยมพร
หงส์ทองร่อนลงหาแล้วปราศรัย
เทิดแต่เกียรติแห่งองค์พระทรงชัย
คำน้อยไม่ติต้องให้หมองมัว
      ๏ ปักใจจงปลงมาเป็นข้าบาท
ร้างนิราศให้อาดูรไยทูนหัว
น้องผิดพลั้งใดก็ขอแก้ตัว
ร่ำเรียกผัวอยู่หนไหนไม่พาที
     ๏ มิตอบคำที่พร่ำหากว่าพันหน
เกินทุกข์ทนใจเสียแล้วเมียพี่
รอยข่วนตำช้ำสิ้นทั้งอินทรีย์
คลุกธุลีเปื้อนโคลนจนเกรอะกรัง
     ๏ ผ้าพอปิดกายามาขาดวิ่น
หากมีปิ่นบดียังมีหวัง
ตะโกนก้องร้องสุดเสียงเพียงลำพัง
สุดจะยั้งชีวีแล้วพี่เอย
     ๏ ยิ่งนานวันเทวีวิปริต
เมื่อใจคิดวจีมินิ่งเฉย
ไร้ผู้คอยตอบคำที่พร่ำเปรย
เฝ้าเอื้อนเอ่ยพรรณนามาแดเดียว




                                                              หน้า  ๖๕

     ๏ จิตห่วงใยใจกังวลถึงคนรัก
ตนทุกข์หนักแท้แท้ยังแลเหลียว
ขึ้นแนวเนาเขาวงกตที่คดเคี้ยว
บุกป่าเปลี่ยวเที่ยวหาสวามี
     ๏ แลทั่วไพรไล่พฤกษ์มฤคร้าง
ถามรายทางสิ่งใดใกล้วิถี
มวลพฤกษาผาหินถิ่นนที
องค์เทวีเพ้อรำพึงกึ่งวิกล
     ๏ โอ้ว่าจอมคีรีที่สูงเยี่ยม
เห็นเท่าเทียมเมฆาเวหาหน
วานช่วยจ้องมองมาหาพระนล
พบทรงพลแจ้งด้วยช่วยข้าน้อย
     ๏ ชั่วชีวันมั่นใจมิไกลจาก
เมื่อพลัดพรากรักเศร้าสุดเหงาหงอย
เฝ้าชะแง้แลหาตั้งตาคอย
หวนละห้อยร่ำหาพี่มาพบ
   ๏ ถามลำธารที่ขวางหนทางเอ๋ย
สายน้ำเลยรินไหลไม่รู้จบ
ห่วงหาไหมไกลล่วงห้วงอรรณพ
ว่าประสบเค็มขมหวานประการใด




                                                              หน้า  ๖๖
  
     ๏ ศารทูลผ่านทางย่างเข้าหา
ลืมชีวาตามติดจนชิดใกล้
เอ่ยถามทักพยัคฆาหาทรงชัย
เห็นพระนลอยู่หนใดในป่านี้
     ๏ จอมอรัญพลันจ้องมองพินิจ
คงมิคิดตอบความพระมเหสี
ชะรอยซึ้งถึงเดชะบารมี
ค่อยหลีกลี้เร้นร่างไปกลางดง
     ๏ แล้วล่วงถึงซึ่งวนาถิ่นป่าทิพย์
แลละลิบงามล้วนชวนลุ่มหลง
ยอดสิงขรตระอรสู่สุริยง
สุรีย์รงค์พราวพริบระยิบระยับ
     ๏ เห็นนานาโลหะชาติประหลาดล้ำ
ดุจเทพทำศิลป์สวรรค์สรรประดับ
แสงหินสีมณีรัตน์จรัสวับ
ซ้อนสลับเพชรแก้วเพริศแพร้วพราย
     ๏ คณานับสรรพสัตว์จัตุบาท
สิงหราช คชสารผ่านผันผาย
เม่น หมู หมี เก้ง กวาง เยื้องย่างกราย
เชื่องช้าท่าสบายสำอางองค์




                                                             หน้า  ๖๗
  
     ๏ ทวิชชาติเช่นวิหคผกเวหา
เห็นไก่ฟ้ารำแพนหางคู่นางหงส์
มากพฤกษาโศภินรูปศิลป์ทรง
พื้นลานดงเตียนโล่งปลอดโปร่งดี
     ๏ มะลิวัลย์กรรณิกาหอมระรื่น
ดอกดาษดื่นสล้างพร่างพรายสี
มวลผลไม้หลายหลากดกมากมี
วนาลีดั่งดลด้วยมนตรา
     ๏ แต่อารมณ์ทมยันตีมิมีชื่น
ยังสะอื้นไห้หวนคร่ำครวญหา
เลือนสติพิไรร่ำพร่ำพรรณนา
วอนเจ้าเขาเจ้าป่าโปรดปรานี
      ๏ “ฟังข้านะจะแถลงแจงสาเหตุ
จำจากเขตแรมร้างห่างกรุงศรี
ตัวข้าหรือคือวิทรรภ์กุมารี
แห่งองค์ภีมราชจอมราชัน
     ๏ ราชบุตรท้าววีรเสนนิษัธราช
นามพระนลภูวนาถครองเขตขัณฑ์
สยมพรร่วมชีวาแต่ครานั้น
ชื่นชีวันทุกข์มิต้องสิบสองปี




                                                              หน้า  ๖๘

     ๏ เกิดภาวะพระหลงผิดติดสกา
มิลืมหูลืมตาทิ้งหน้าที่
ละราชกิจบวงสรวงปวงพลี
ดวงฤดีมุ่งชนะการพนัน
      ๏ เมื่อเสียมากยิ่งมาดหมายได้คืนกลับ
จนสิ้นทรัพย์หมดพระคลังยังมุ่งมั่น
วางฐานะกษัตริย์เสริมเป็นเดิมพัน
ก็แพ้มันจนต้องออกนอกพารา
     ๏ ข้าจงรักภักดีมิมีหน่าย
ตามพระองค์จำนงหมายตายดาบหน้า
เหลือฝ้ายทอห่อกายพันร่วมกันมา
ทรงเฉือนผ้าแบ่งปันแล้วผันจร
     ๏ ข้าเดินหลงดงแดนแสนอ้างว้าง
ดุจลูกกวางพลัดแม่แต่วัยอ่อน
กราบเจ้าเขาเจ้าป่าพนาดร
โปรดอาทรช่วยฉุดลากจากโลกันต์
     ๏ เผยวาจาเถิดพระนลอยู่หนไหน
ข้านี้เหลืออาลัยใจโศกศัลย์”
พรรณนาพร่ำร่ำพลางกลางอรัญ
ไร้วาจามาประจันจำเดินเดียว




                                                               หน้า  ๖๙

     ๏ ผ่านหลายป่าพนาลีฤดีหมอง
ยังกู่ก้องร้องหาตาแลเหลียว
ทุกข์กายแย่ยังแพ้ในฤทัยเทียว
ไล่เลาะเลี้ยวเนินพนัสซัดเซมา
     ๏ จนถึงป่าแหล่งดาบสทรงพรตเลิศ
ศีลประเสริฐธรรมะอหิงสา
ครองเปลือกไม้ใส่หนังขลังสิทธา
เหล่ามหาโยคีมีมากครัน
     ๏ ต้อนรับราชธิดาวณิพก
ผู้มาตกยากอับแทบดับขันธ์
ต่างปลงอนิจจาฟ้าลงทัณฑ์
กรรมหรือเวรใดนั้นบันดาลดล
     ๏ พระนางทมยันตีอภิวาท
อยู่แทบบาทผู้ทรงศีลปิ่นกุศล
เกิดยินดีที่หว่างกลางกมล
จักมีผลได้ถามหาสวามี
     ๏ คารวะคณะองค์ผู้ทรงพรต
ตามแบบบทแห่งธิดามารศรี
วิสาสะกับเหล่าพระองค์มุนี
แลโยคีอำนวยอวยพรชัย




                                                              หน้า  ๗๐
          
     ๏ ถามถึงนามความเป็นมาก่อนหน้านั้น
การณ์สำคัญนำพามาไฉน
เหตุและผลต้นทางมาอย่างไร
จงกล่าวให้มุนีกรรมยินทั่วกัน
     ๏ ครานั้นทมยันตีชี้แจงเค้า
พระนลเจ้านิษัธรัฐเขตขัณฑ์
และดนูผู้จงรักภักดิ์ราชัน
ตั้งแต่วันที่ต้องพรากจากพารา
     ๏ “เชื่อพระองค์ทรงสัตย์แน่สนิท
มิมีผิดคำมั่นอันแน่นหนา
ด้วยเคยได้ประกาศเป็นสัจจา
ไว้เมื่อคราวาระสยมพร
     ๏ จะภักดีนางเดียวจนชีพดับ
หม่อมฉันรับคำมั่นปานสิงขร
เชื่อแน่แท้มิแปรผันหรือสั่นคลอน
อย่างแน่นอนยืนยันมั่นฤทัย
     ๏ แต่พระองค์หลงผิดติดสกา
เหตุนั้นน่าต้องมีผีร้ายใหญ่
เข้ามาครอบงำจิตผิดเพี้ยนไป
โดยหมายชัยครองราชย์ชาติประชา




                                                               หน้า  ๗๑

     ๏ พระเกิดความวิปริตด้วยคิดหนัก
กลัวเมียรักลำบากนานมากกว่า
ให้หม่อมฉันกลับวิทรรภ์พลันอย่าช้า
พระองค์มีเจตนารับกรรมนั้น
     ๏ ปันผ้าฝ้ายใช้ร่วมแต่แค่เพียงผืน
ตกกลางคืนพระไปกลางไพรสัณฑ์
หม่อมฉันตื่นขึ้นโศการ่ำจาบัลย์
จึงด้นดั้นดงดอนร่อนเร่มา
     ๏ คือสัจจังดังเผยเฉลยนี้
องค์มุนีโปรดช่วยด้วยเจ้าขา
เมื่อวันไหนได้พบปะภัสดา
จึงกลับชื่นรื่นอุราร่าเริงใจ
     ๏ ภริยาต้องมาร้างห่างสามี
ฤๅจะสุขฤดีที่ใดได้
ชีพคงดับอับปางอยู่กลางไพร
โปรดช่วยไวเถิดหนาสิทธาจารย์”
      ๏ พระดาบสฟังความตามที่กล่าว
เป็นเรื่องราวกรรมนำพาน่าสงสาร
ใช้วิชาสมาธิวิเศษฌาน
เล็งอนาคตกาลราชินี




                                                             หน้า  ๗๒

     ๏ และพระนลราชาเบื้องหน้านั้น
จะสุขสันต์ปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ทำนายชอบปลอบขวัญทมยันตี
เพื่อชีวีมีหวังคลายกังวล
      ๏ “โอ้เอกองค์ทมยันตีนารีนาถ
จงฟังอาตมาอย่าสับสน
คำทำนายหมายสิรินิรมล
พอผ่อนปรนทุกข์นางกลางอรัญ
     ๏ มินานนักจักเรืองรุ่งดั่งมุ่งมาด
คืนครองราชย์ยิ่งใหญ่ไอศวรรย์
สองพระองค์ทรงสุขศานต์ปานเทวัญ
ความสำคัญนี้จงโน้มประโลมใจ”
     ๏ สิ้นคำลงทรงฤทธิ์พระสิทธา
พลันหายวับไปกับตาหาเหลือไม่
อาศรมแล้แม้กลิ่นกรุ่นอุ่นกองไฟ
เหลือแต่ไพรพฤกษานานาพรรณ
     ๏ พระนางทมยันตีมิรอช้า
เดินพนาต่อไปอกไหวหวั่น
รำลึกการณ์ที่ผ่านมาพางงงัน
ลืมตาฝันหรือว่าข้าเพ้อพก




                                                              หน้า  ๗๓
        
     ๏ หากภาพฝันนั้นมิน่าจ้ากระจ่าง
นี่สว่างกลางจิตคิดไม่ตก
นางคิดเพลินเดินพลางกลางพงรก
ในหัวอกร่ำหาสวามี
     ๏ ผ่านไทรใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
เฝ้าถามหาพระนลมิหน่ายหนี
พบอโศกยิ่งโศกทับนับทวี
พนาลีมีแต่ตรมระทมฤทัย
     ๏ ป่ารกชัฏลัดลำบากยากนักหนา
ข้ามละหารธารผาหลืบไศล
ช่องบรรพตคดเคี้ยวลดเลี้ยวไป
ถึงทางใหญ่กลางอรัญคนสัญจร
     ๏ จึงพบกลุ่มพ่อค้าชาวพาณิช
แถวตามติดจอแจแลสลอน
รถเทียมม้ายานล้อหมุนเทียมกุญชร
หลังอูฐซ้อนสัมภาระกองพะเนิน
     ๏ มากผู้คนขนของต้องแบกหาม
เดินมาตามแนวทางหว่างเขาเขิน
หลากหลายวัยแต่ไม่แก่แลเด็กเกิน
ชำนาญเดินมิถลาละล้าละลัง




                                                             หน้า  ๗๔

     ๏ ทมยันตีดีใจหมายไต่ถาม
ภายหน้าทุกข์อาจจะพอประทัง
จึงไปยังหมู่ประชาคาราวาน
     ๏ สารรูปซูบผอมแสนซอมซ่อ
บ้างหัวร่อบ้างพะวงคิดสงสาร
บ้างสมเพชเวทนาหลายอาการ
พวกที่พาลเย้ยว่าอีบ้าบอ
     ๏ นับมิน้อยถอยตัวกลัวเป็นผี
ถือไม้อยู่ขู่จะตีเข้าจี้จ่อ
ตัวอัปรีย์ชี้หน้าแล้วด่าทอ
ออกมาออด้วยท่าทางต่างกันไป
     ๏ ยินเอะอะโวยวายนายพ่อค้า
รีบสาวเท้าเข้าหาแล้วปราศรัย
เป็นสุนทรอ่อนหวานซ่านซึ้งใจ
จงเผยนัยแจ้งกมลคนเดินทาง”
     ๏ เมื่อฟังนายพ่อค้าวาจาหวาน
ตอบคำขานทันทีมิอางขนาง
“เราทุกข์ทนด้นมากลางป่าร้าง
อกหมองหมางเพราะพลัดภัสดา




                                                             หน้า  ๗๕
  
     ๏ เวรกรรมพรากจากกันไปในพนัส
อัตคัดไกลถิ่นสิ้นวงศา
มิรู้ทิศรู้ที่มีมรรคา
ซัดเซมาพบท่านเป็นการณ์ดี
     ๏ เคยพบเห็นภัสดาข้าหรือเปล่า
ตามลำเนาสองข้างทางวิถี
ซึ่งพระองค์ทรงผ้าพันกายี
ผืนเดียวกันอันข้านี้มีอยู่นั้น”
     ๏ นายพ่อค้าว่า “ระหว่างอยู่กลางป่า
สัตว์นานาเล็กใหญ่เนาไพรสัณฑ์
นกชะนีหมีช้างกวางหลากพันธุ์
พยัคฆาเจ้าอรัญอันดุร้าย
     ๏ ท่านบุญปลอดรอดมามิน่าเชื่อ
สัตว์ร้ายเหลือภูตผีป่าน่ากลัวหลาย
ผู้คนใดไม่เคยพบประสบกาย
ทั้งหญิงชายที่หลงทางกลางพงไพร”
     ๏ “ท่านยินลูกค้าที่ปฏิสันถาร
เขาโจษขานถึงพระนลอยู่หนไหน
หรือยินข่าวแพร่งพรายมาว่าฉันใด
ถ้ารู้ให้สำแดงแจ้งวาจา







                                                           หน้า  ๗๖

     ๏ อีกประการแล้วท่านไปหนใดเล่า
ขอให้เราติดตามไปได้ไหมหนา
เอาพระคุณอุ่นใจยามไคลคลา
เปลี่ยวกายาเดินเดียวเสียวใจเกิน”
     ๏ “อันที่จุดหมายปลายทางข้างหน้านี้
แคว้นเจทีใหญ่กว้างหลังเขาเขิน
ระยะทางประมาณเจ็ดวันเดิน
ผิดประเมินจากนี้มิมากมาย
     ๏ สุพาหุราชันอันเรืองศักดิ์
ปวงชนภักดิ์นับถือพระฤๅสาย
บ้านรุ่งเรืองเมืองโอฬารร้านโรงราย
การค้าขายคล่องดีมีกำไร”
    ๏ จบคำว่าสั่งคาราวานเคลื่อน
เข้าสู่เถื่อนแถวทางหว่างไศล
ขึ้นแล้วลงเนินชันลดหลั่นไป
จวนเย็นได้มาถึงบึงบัวงาม
     ๏ สาโรชสวยรวยรินส่งกลิ่นหอม
น้าวจิตน้อมทมยันตีฤดีหวาม
คล้ายบุหงาอบผ้าทรงของนงราม
โอ้ในยามนี้ผ้าปิดมิมิดตัว

                                                            หน้า  ๗๗

    ๏ กลุ่มพ่อค้าทั้งหลายได้อาบน้ำ
เขาชื่นฉ่ำคลอเคลียคู่เมียผัว
ดูเริงรื่นชื่นฤดีมิหมองมัว
อกระรัวตัวเราคว้างคู่ร้างรา
     ๏ ริมสระน้ำงามล้วนมวลดอกไม้
อยู่วังในได้เชยชมดมบุปผา
พี่ชี้ชวนชมสวนขวัญตระการตา
ยามนี้มาไกลห้องหมองกมล
     ๏ มวลผลไม้สุกงอมน้อมกิ่งห้อย
บ้างร่วงลอยลงพื้นดื่นเกลื่อนกล่น
ลิ้มชิมหวานมิซ่านจิตคิดกังวล
พระทรงพลแลป่านนี้มิมีกิน
     ๏ อยู่วังทองน้องจัดคัดสรรให้
ผลไม้สลักประจักษ์ศิลป์
น้องคอยป้อนอ้อนเล่นเป็นอาจิณ
โอ้ภูมินทร์มาอ้างว้างกลางอรัญ
     ๏ หลังอาบน้ำเสร็จสรรพขยับย้าย
มิห่างหลายเส้นนักจากบึงนั่น
ด้วยมาถึงซึ่งเวลาย่ำสายัณห์
สั่งตั้งหลักพักค้างกันอีกหนึ่งคืน




                                                             หน้า  ๗๘
              
     ๏ อูฐ ช้าง ม้าพาผูกไว้ได้ที่แล้ว
ขึงฉากนั้นกันแนวเนินร่มรื่น
กางกระโจม มุ้ง สาดปูลาดพื้น
แลกลมกลืนผวยผ้าน่าพักนอน
     ๏ ทมยันตีเดินรี่มองจองที่หมาย
เพื่อซุกกายเป็นเรือนเหมือนคืนก่อน
คนตกยากฝากชีวาพนาดร
โอบสองกรคุดคู้อยู่โคนไทร
     ๏ แล้วมาเกิดเหตุร้ายในกลางดึก
ถ้วนทุกผู้มิรู้สึกนอนหลับใหล
ด้วยเหนื่อยเกินเดินทางมากลางไพร
มิมีเวรระวังภัยที่คืบคลาน
     ๏ โขลงช้างป่ามากินน้ำประจำอยู่
กลุ่มตัวผู้ตกมันพลันฮึกหาญ
ได้กลิ่นช้างที่มาคาราวาน
เกิดอาการคลั่งเตลิดกระเจิดกระเจิง
     ๏ นำโขลงวิ่งดิ่งไพรตรงไปหา
โถมถลาตามกันถลันเหลิง
กองค้านั้นพลันระเบิดแตกเปิดเปิง
เร็วกว่าเพลิงเผาผลาญแหลกลาญลง




                                                             หน้า  ๗๙

     ๏ ที่เจ็บหนักแขนขาหักน่าหดหู่
บ้างเดินดูทรัพย์แหลกแตกเป็นผง
บ้างครวญคร่ำกำสรดแทบปลดปลง
เพราะสูญพงศ์บุตร บิดา เมีย สามี
     ๏ ยังวุ่นวายสับสนจนฟ้าสาง
คนเดินทางมากมายกลายเป็นผี
ยากคิดอ่านการใดต่อไปดี
ทมยันตีรู้ข่าวใจร้าวราน
     ๏ แม้อยากจะเอื้ออวยช่วยเหลือบ้าง
แต่ตัวนางไร้พลังของสังขาร
สุดวิโยคโศกซึ้งถึงดวงมาน
มิเคยพานเหตุร้ายใหญ่ก่อนมา
      ๏ คาราวานนั้นมลายหลายสถาน
อัประมาณย่อยยับเกินนับค่า
ญาติมิตรดับสูญทรัพย์สินสิ้นเงินตรา
โถมิน่ามาเป็นเช่นนี้เลย
     ๏ หลายคนพร่ำวาจาว่า “เทวะ
โอ้องค์พระที่บูชาแห่งข้าเอ๋ย
เมื่อจะมาข้าบวงสรวงแล้วเอย
ก่อนมิเคยวิบัติถนัดใจ






หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 18 กรกฎาคม, 2557, 02:55:22 PM
 


                                                             หน้า  ๘๐

     ๏ หรือเพราะตัวกาลีนางผีร้าย
อันฝากกายตามมาแต่ป่าใหญ่
เป็นเสนียดน่าเดียดฉันท์ตัวจัญไร
จึงเกิดเหตุเภทภัยไม่เหลือดี”
     ๏ ทมยันตีเห็นท่าว่าจะแย่
เกิดตั้งแง่มาใส่ร้ายป้ายสี
จึงถอยห่างย่างไกลพากายลี้
กรูไล่กันทันทีกลุ่มพ่อค้า
     ๏ ทมยันตีหนีไปบังหลังพุ่มไม้
พ่อค้าคลั่งยังรุกไล่บุกไปหา
ดุ้นฟืนหินริมทางหยิบขว้างปา
มิมีจิตคิดเมตตาว่าเป็นคน
    ๏ ทมยันตีนิ่งมิติงไหว
ของเล็กใหญ่ลอยมาเหมือนห่าฝน
สักครู่หนึ่งจึงพ่อค้าทุรชน
ค่อยค่อยขนสินค้าลาลับไป
   ๏ โอ้ว่าทมยันตีขวัญหนีสิ้น
คลำกายินปูดโปนโดนตรงไหน
บุญปกกายมิให้ต้องสิ่งของใด
ถอนฤทัยปลงจิตอนิจจัง




                                                             หน้า  ๘๑

     ๏ เหล่าเทวัญนั้นคงลงมาคุ้ม
ผู้ที่รุมทำร้ายไม่สมหวัง
กุศลมีแต่ที่ช้ำเพราะกรรมบัง
โศกจึงฝังกลางใจไม่สร่างซา
     ๏ ยามรุ่งเรืองเฟื่องสุขทุกสถาน
มากคนปองต้องการปรารถนา
ยามตกต่ำย่ำย่างกลางพนา
เขาก็หาว่าชั่วตัวอัปรีย์
     ๏ เป็นเสนียดจัญไรไม่อยากเห็น
นำโชคร้ายคล้ายเป็นเช่นภูตผี
คิดแล้วทุกข์ทับถมตรมทวี
ทมยันตีร่ำไห้ไปตามทาง
     ๏ เดินเดินอยู่หมู่พราหมณ์ตามมาพบ
หลังนอบนบอำนวยช่วยทุกอย่าง
ด้วยประพฤติพรหมจรรย์มั่นมิวาง
หมายสรรค์สร้างความดีมีเมตตา
     ๏ เมื่อจุดหมายปลายทางนั้นไปกันได้
ตกลงให้คณะพราหมณ์ออกนำหน้า
รู้ฐานะระยะห่างตามหลังมา
ท่องมรรคาสู่เจทีบุรีธรรม




                                                             หน้า  ๘๒
  
     ๏ ครบเจ็ดวันอันพ่อค้าเคยว่าไว้
ถึงเมืองใหญ่ที่หมายไม่ทันค่ำ
เชิงเทินล้อมป้อมปราการโอฬารล้ำ
เคียงคูน้ำเรียงรายชายกำแพง
   ๏ ปากทางเข้าเหล่าทหารตรวจการณ์อยู่
ทุกประตูพร้อมทั้งงามความแข็งแกร่ง
เหมือนคนดงหลงมาท่าระแวง
กระย่องกระแย่งสาวเท้าเข้าเมืองไป
   ๏ เมื่อผ่านหมู่ผู้คนล้วนสนเท่ห์
ยังร่อนเร่จุดหมายใดไม่รู้ได้
จะเอ่ยจำนรรจาเขาลาไกล
มิมีใครหันมายลสนทนา
    ๏ เดินเงอะงะกระเซอะกระเซิงเซ
ทั้งตุปัดตุเป๋ลื่นถลา
ชาวเมือง วังทั้งสิ้นกล่าวนินทา
ล้วนคิดเห็นเป็นคนบ้าพากันเมิน
     ๏ หลายคนมีที่หัวเราะเยาะเย้ยหยัน
เพราะมองกันก็แต่แค่ผิวเผิน
เด็กเด็กเล่นเป็นหมู่กรูกันเดิน
สนุกเกินแหย่กันรำคาญใจ




                                                             หน้า  ๘๓

      ๏ ได้แต่เบี่ยงเลี่ยงหนีมิโต้ตอบ
มาถึงขอบกำแพงแห่งวังใหญ่
ตรงบัญชรพระมารดาแห่งราชัย
น้ำพระทัยมีจิตคิดเมตตา
     ๏ ชี้ชวนพลางนางในให้เพ่งพิศ
แม่มิ่งมิตรคงทุกข์หนักอนาถา
สงสารนางสั่งให้ไปชวนมา
โชคนำพาบรรเทาเศร้าฤดี
     ๏ บุญกุศลดลธิดาเข้าปราสาท
แห่งพระราชมารดากษัตริย์ศรี
อภิวาทกราบพระบาทองค์เทวี
ถ้อยวาทีถามพลันหลังวันทา
   ๏ “โอแม่พิมพ์ประไพวิไลรัตน์
เพชรจรัสติดตมธุลีหนา
ดังจันทรซ่อนยังหลังเมฆา
แม้กายาเปื้อนมลทินมิสิ้นงาม
    ๏ ช่วยแถลงให้แจ้งใจได้ไหมเจ้า
กระไรเล่าความเป็นมาข้าขอถาม
ด้วยฉงนจนงงแล้วนงราม
เฉลยความเป็นมานั้นมีฉันใด”




                                                             หน้า  ๘๔

     ๏ จึงอนงค์องค์ทมยันตี
วิสัชนาพระชนนีที่สงสัย
ตรงตามความเป็นจริงทุกสิ่งไป
แต่ละไว้เค้าเรื่องเมืองวิทรรภ์
     ๏ ด้วยยังมิจำนงจงใจย้อน
คืนนครในวาระกะทันหัน
กล่าวโดยชอบนอบน้อม “หม่อมฉันนั้น
คือผู้ที่โศกศัลย์เหลือคณา
     ๏ ทุกสาหัสพลัดพระสวามี
หวาดฤดีเคว้งคว้างอยู่กลางป่า
เรื่องทุกเศร้าร้าวรานที่ผ่านมา
จะกล่าวความตามสัจจาจากดวงใจ
     ๏ หม่อมฉันคือราชินีของพระนล
พระทรงพลครองรัฐนิษัธสมัย
สิบสองปีวิวาห์องค์พระทรงชัย
สุขฤทัยเรื่อยมาจวบครานี้
     ๏ เมื่อพระองค์ทรงสกาพาวิบัติ
ศักดิ์กษัตริย์สูญค่าสิ้นราศี
การพนันผลาญทรัพย์สินสิ้นธานี
เลยต้องลี้แรมร้างกลางพนา




                                                             หน้า  ๘๕

     ๏ หม่อมฉันรักภักดีมิเสื่อมสิ้น
ตามภูมินทร์เผชิญภัยในราวป่า
ลูกบาศก์ร้ายทำลายล้างมิร้างรา
จนเราสองต้องใช้ผ้าผืนเดียวกัน
     ๏ พระองค์รู้สึกผิดจิตวิตก
ดุจนรกหมกใจให้ไหวหวั่น
อยากรับกรรมที่ทำไว้ทั้งหลายนั้น
ให้ลงทัณฑ์ดั่งจำนงพระองค์เดียว
     ๏ มิอยากให้หม่อมฉันนั้นลำบาก
ยอมรับกรรมจำพรากไปโดดเดี่ยว
หวังดีแน่แต่ใจร้ายจริงเจียว
ทิ้งเมียเปลี่ยวเดียวดายเดินร่ายไพร
     ๏ เชื่อพระองค์คงมีภูตผีร้าย
เข้าสิงกายงำจิตผิดเพี้ยนใหญ่
มิเป็นตัวของตัวเองแต่อย่างใด
หม่อมฉันนั้นมั่นฤทัยในความรัก”
     ๏ นางเล่าความยามยากวิบากยิ่ง
ทั้งเดินวิ่งลุกล้มลงจมปลัก
มากภัยหมายทำลายชีพบีบคั้นนัก
บุญพิทักษ์จึงรอดปลอดภัยมา




                                                            หน้า  ๘๖

     ๏ ย้ำความโศกยิ่งสุดฝืนสะอื้นไห้
ชลนัยน์ไหลรินต้องผินหน้า
จึงครานั้นวรราชมารดา
พระทรงจำนรรจาปลอบยาใจ
     ๏ “แม่จงวางเรื่องเศร้าชั่วคราวก่อน
ชำระองค์เปลี่ยนอาภรณ์ให้สดใส
แล้วพักผ่อนหลับนอนยั้งวังเวียงชัย
การณ์ต่อไปจักตามหาสวามี
     ๏ มิต้องคิดให้หนักเราจักช่วย
คอยอำนวยให้นางอย่างเต็มที่
ทวยทหารชาญชัยในเจที
อีกเสนาบดีผู้ปรีชา
     ๏ กระจายออกสืบค้นทุกชนบท
และกำหนดเป้าหมายเข้าในป่า
แคว้นมณฑลทุกหนทางต่างพารา
จนพบหน้าพระนลภูวนัย”
     ๏ “โอ้พระราชมารดาปรานีนัก
ชวนอยู่พักทั้งจักหาสามีให้
ฉันยังมีเรื่องมิควรกวนพระทัย
ขอประทานอภัยใคร่ครวญดู




                                                             หน้า  ๘๗

     ๏ ข้อกำหนดให้ละและปฏิบัติ
เป็นคำสัจสืบมารักษาอยู่
กราบทูลไว้ให้แค่พระแม่รู้
จะเชิดชูหรือชังโปรดสั่งมา
     ๏ แม้นพระราชมารดาอนุมัติ
จะมิขัดความปรานีที่ปรารถนา
คือการปฏิบัติวัตรกิจจา
มิกินอาหารเป็นเดนของใคร
   ๏ มิล้างเท้าผู้ใดให้เสียศรี
สวามีพระบิดา มารดาได้
หม่อมฉันมิวิสาสะกะชายใด
ที่เป็นไปในด้านการเกี้ยวพา
     ๏ หากผู้นั้นล่วงล้ำเมื่อห้ามแล้ว
ยังมิแคล้วยับยั้งเหมือนดังว่า
ขอพระองค์ลงโทษผู้โฉดช้า
ป้องเกียรติภัสดาบูชาภักดิ์”
     ๏ พระมารดาชอบใจจึงได้ตรัส
ว่า “กษัตริย์เจทีก็มีหลัก
เหมือนร่วมวงศ์วานมาน่าชื่นนัก
จะพิทักษ์เป็นคำมั่นและสัญญา”




                                                             หน้า  ๘๘

     ๏ แล้วจึงสั่งนางในไปทูลเชิญ
พระธิดาดำเนินเข้ามาหา
กุมารีมีพระนาม “สุนันทา”
เฝ้าฟังคำบัญชาพระมารดร
     ๏ “นางนี้มีเชื้อกษัตริย์ขัตติยชาติ
ที่นิราศหลักแหล่งแห่งสมร
เจ้าเป็นน้องวัยมิห่างอย่างแน่นอน
จงอาทรเอื้อจิตมิตรไมตรี
     ๏ ครานั้นองค์สุนันทาธิดาเจ้า
พาทมยันตีเข้าปราสาทศรี
พักกายาสมฐานะพระเทวี
ทุกข์ใดที่ช่วยได้หมายผ่อนปรน
    ๏ ฝ่ายเสนาบดีเจทีสั่ง
ตรงไปยังพลกายหลายแห่งหน
สืบถามไปในอาณาหาพระนล
ต่างเมืองบ้านย่านตำบลจนอรัญ
     ๏ มารายงานการหาไปแดนใดบ้าง
แล้วเดินทางกลับหลังยังไพรสัณฑ์
ย้อนแกะรอยถอยหลังครั้งราชัน
เดินทางกันจากนิษัธซัดเซมา




                                                             หน้า  ๘๙
        
     ๏ หมู่ชาวเมืองโจษจันกันสะพัด
สองกษัตริย์จรในไพรพฤกษา
เหมือนไปดับลับหายมลายลา
มิพบหน้ายินข่าวคราวนานครัน
     ๏ ชาวนิษัธธานีมีความรัก
ดวงใจภักดิ์ล้นพ้นนลรังสรรค์
ต่างห่วงหาอาลัยไหว้เทวัญ
เชิญราชันคืนหลังยังเวียงชัย
     ๏ ทมยันตีเมื่อมีข่าวชาวนิษัธ
อยากให้คืนครองสมบัตินิรัติศัย
สุดจะพร่ำรำพันตื้นตันใจ
ต่อเมื่อไรพระนลพ้นเคราะห์กรรม
     ๏ แม้อุราระทมทุกข์ตรมหนัก
มั่นคงรักษ์กำลังใจไม่ตกต่ำ
เชื่อมั่นในความดีและมีธรรม
จักน้อมนำสมรักได้สักวัน
     ๏ ทั้งซึ้งว่าเหล่าข้าไทไม่หน่ายหนี
ทั้งเจทีทุ่มเทให้ใจมุ่งมั่น
เมื่อคืบหน้ามาเล่าข่าวคราวนั้น
จึงนับวันที่หวังตั้งตารอ

............................................


                                                             หน้า  ๙๐

     ๏ ย้อนถึงฝ่ายพระนลราชผู้พลาดผิด
คล้ายจริตวิปลาสอนาถหนอ
เดินกู่ก้องร้องร่ำน้ำตาคลอ
แล้วหัวร่อเย้ยโลกโชคชะตา
      ๏ โอ้ทมยันตีของพี่เอ๋ย
กระไรเลยทิ้งนางเสียกลางป่า
ยอดรักหวงดวงฤดีของพี่ยา
คงโศกาหวั่นหวาดแทบขาดใจ
     ๏ รำพึงพลางย่างไพรไม่หยุดหย่อน
ข้ามเขาขอนโขดเขินเนินไศล
มิคำนึงถึงปลายทางแต่อย่างใด
อยู่ที่ไหนก็อกหมกโลกันตร์
     ๏ แว่วเสียงร้องก้องป่ามาโหยหวน
อันมิควรมีได้กลางไพรสัณฑ์
“ช่วยด้วยนะพระองค์วงศ์เทวัญ
ตัวข้านั้นทรมานนานเต็มที”
     ๏ พญานาคไฉนโดนไฟเผา
 ดิ้นเร่าเร่าแต่ไยไม่คิดหนี
ไฟเป็นวงเจาะจงเผาเจ้านาคี
มิได้มีเผาผลาญพันธุ์พฤกษ์ไพร




                                                             หน้า  ๙๑

     ๏ พระนลเพ่งพินิจคิดฉงน
นาคพูดภาษาคนพ้นสงสัย
“ข้าทรมานนานช้าแล้วราชัย
ความเป็นไปทั้งหลายใคร่ชี้แจง”
     ๏ “ที่ผ่านมาข้านั้นสำคัญผิด
ตนเลอฤทธิไกรเกินใครแข่ง
เหลิงทะนงหลงตนจนรุนแรง
ถึงสำแดงเดชท้ามหามุนี
     ๏ พระองค์ทรงกำราบสาปแช่งไว้
โดนเผาไฟมิอาจพากายาหนี
ให้รอท่านเหมือนรู้การณ์ล่วงหน้าดี
จนวันนี้พระนลดั้นด้นมา
     ๏ วอนพระองค์ทรงชัยใจกุศล
ช่วยข้าพ้นทุกข์นี้ที่หนักหนา
ช่วยด้วยเถิดพระนลท่านขอวันทา
โปรดนำพาพ้นคำสาปสิ้นบาปร้าย
     ๏ จักตอบแทนพระคุณการุญท่าน
กระทำการกอบกู้สู่เป้าหมาย
หวนคืนสู่ไอศวรรย์ ณ บั้นปลาย
มิกลับกลายกล่าวนั้นสัญญาแท้




                                                              หน้า  ๙๒
 
      ๏ ข้าย่อกายให้เล็กเบาเท่าอังคุฐ
ท่านดึงฉุดไปได้ง่ายดายแน่”
เมื่อรับคำพระนลทำการดูแล
เพื่อช่วยแก้คำสาปปราบนาคี
     ๏ ลุยกองไฟไม่ร้อนเร่าแผดเผาร่าง
รู้ไฟสร้างด้วยกลมนต์ฤๅษี
จับพญานาคเบาราวสำลี
เมื่อนำวางกลางพงพีก็สิ้นกรรม
     ๏ นาคานบเศียรลงตรงพระบาท
แห่งพระนลภูวนาถพร้อมพูดพร่ำ
“ข้าเหมือนทาสแห่งองค์ผู้ทรงธรรม
หน้าที่นำทุกข์จากพระหทัย
     ๏ ขอขยับนับย่างไปข้างหน้า
กิจนี้ช่วยพระราชาอย่าสงสัย
สิบย่างก้าวเท้าพอดีที่เดินไป
แลทันใดนาคราชกัดพระนล
     ๏ พลันเรือนร่างสำอางองค์แห่งทรงศักดิ์
ก็กลายกลับอัปลักษณ์น่าฉงน
พระตะลึงจึงพิศพินิจตน
ในบัดดลนาคามาบรรยาย




                                                             หน้า  ๙๓

     ๏ “กล่าวโดยสัจกัดราชา ณ ครานี้
เป็นกุศลผลดีที่มากหลาย
ข้อหนึ่งคือจำแลงเปลี่ยนแปลงกาย
เหมือนพระองค์สูญหายจากโลกา
     ๏ ข้อสองพิษไม่ติดสรีระท่าน
สิ่งชั่วร้ายในดวงมานซ่านพิษข้า
จักถึงกับรับทุกขเวทนา
ร้อนยิ่งกว่าโดนไฟประลัยกัลป์
      ๏ มิอาจดลผลร้ายให้ท่านเพิ่ม
พลังเสริมจิตภูมีทีละขั้น
ขอประทานนามใหม่ให้ท่านนั้น
“วาหุก” อันฉายาภายหน้าไป
     ๏ ต่อแต่นี้มีเป้าหมายให้เสด็จ
เลิกระเห็จระเหหนด้นแดนไหน
มุ่งสู่อโยธยารอราชัย
ถวายตัวแก่ท้าวไทฤตุบรรณ
     ๏ ต้องแสดงอัศวโกศล
ให้ท่านซึ้งถึงผลเลิศเฉิดฉัน
หัวใจแห่งสกาของราชัน
ผิแลกกันพลันได้สมฤดี




                                                             หน้า  ๙๔
  
     ๏ เมื่อท่านสบสุขสมอารมณ์หมาย
จักคืนกายเดิมอันวรรณฉวี
ขอให้ใช้ภูษาวิเศษนี้
อัญชลีนึกถึงข้าคลุมกายิน
     ๏ พระกลับร่างดังเดิมได้โดยแท้
มิเปลี่ยนแปรอันใดให้ถวิล”
จบวาจาถวายผ้าแล้วนาคินทร์
พลันดำดินหายวับกลับบาดาล
     ๏ พระนลคิดจิตหวนทบทวนย้ำ
ถึงน้ำคำนาคีที่กล่าวขาน
จักพาทมยันตีศรีนงคราญ
คืนสู่สุขสำราญมินานนัก
      ๏ มเหสีชีวีรอดปลอดภัยแน่
หากดวงแดยังวิโยคเศร้าโศกหนัก
รู้สึกผิดอย่างยิ่งทิ้งเมียรัก
เหมือนดังผลักเอกอนงค์ลงห้วงทุกข์
     ๏ เชื่อมั่นจริงยิ่งนักน้องรักพี่
ทมยันตีเมื่อผัวไกลไม่มีสุข
ต้องแดเดียวเดินดงดอนซอกซอนซุก
ถูกเร้ารุกจากภัยร้ายในอรัญ




                                                             หน้า  ๙๕

     ๏ จักลำบากยากเย็นเป็นไฉน
มิมีใครช่วยชีวาพ้นอาสัญ
พระหทัยทุกข์เกินเดินรำพัน
ครบสิบวันถึงอโยธยา
    ๏ ทำตัวเป็นเช่นชนคนตกยาก
แสนลำบากมิท้อคอยรอท่า
จวบจนได้เข้าเฝ้าเจ้าพารา
อันพระองค์ทรงโปรดม้ามโนมัย
     ๏ ครั้นราชามาทรงอัศวราช
จึงแสดงความสามารถถวายให้
เห็นเหนือกว่า “ชีวล” และวาร์ษไณย
ที่รับใช้พระภูมิธรอยู่ก่อนแล้ว
      ๏ ท้าวฤตุบรรณนั้นพอพระทัยยิ่ง
ห้าวหาญจริงใจคอก็แน่แน่ว
ฝีมือนั้นชั้นครูดูพราวแพรว
ตรงตามแนวมุ่งหมายในภูมี
     ๏ วาหุกได้ถวายตัวต่อท้าวท่าน
พร้อมรายงานแก่องค์พระทรงศรี
“ความช่ำชองของข้าพเจ้านี้
นอกวิชาพาชีมีอนันต์




                                                              หน้า  ๙๖
                
   ๏ การปรุงแต่งอาหารอันรสเลิศ
ซึ่งก่อเกิดจากภาวะพรสวรรค์
ธนูศาสตร์ปราดเปรื่องเรื่องโรมรัน
เชิญราชันเรียกใช้ตามใจจง”
    ๏ ฤตุบรรณฟังคำจึงย้ำว่า
“อยู่กับข้าเถิดนะจะเสริมส่ง
ทั้งเงินทองตำแหน่งแหล่งดำรง
ชนม์มั่นคงทำงานสืบสานไป”
     ๏ จึงวาหุกคลายทุกข์บ้างในบางครั้ง
แต่จิตยังคร่ำครวญคอยหวนไห้
อกหม่นหมองร้องร่ำหาด้วยอาลัย
แสนห่วงใยมิ่งขวัญทมยันตี
     ๏ ยามใดว่างนั่งคิดวุ่นจิตนัก
พระนลมักถอนฤทัยไร้สุขี
บางครั้งเผลอเพ้อพร่ำร่ำโศกี
จนเป็นที่สงกาของสองเกลอ
     ๏ ด้วยห่วงใยถามไถ่มาว่า “เพื่อนเอ๋ย
ไฉนเลยไร้สุขทุกข์เสมอ
สามเรามิตรชิดใกล้ใช่ไหมเออ
หากเสนออาจสนองจนต้องใจ




                                                              หน้า  ๙๗
  
     ๏ จงเล่าความตามที่มีในจิต
ทุกปัญหาหน้าที่มิตรคิดแก้ไข
เพื่อนกันหนาอย่าเห็นเป็นอื่นไกล
เฉลยนัยเถิดจะนั่งคอยฟังความ”
     ๏ วาหุกจึงซึ้งจิตมิตรเป็นห่วง
ปิดบังต่อก็คงท้วงคอยพร่ำถาม
จำเปิดปากหากมิเอ่ยเผยพระนาม
เล่าเรื่องตามเป็นจริงทุกสิ่งอัน
     ๏ “โอ้เราหรือคือผัวที่ชั่วช้า
เกิดฟั่นเฟือนเหมือนบ้าน่าหยามหยัน
ตกยากพาเมียมาค้างกลางอรัญ
แล้วหุนหันหนีเมียเสียกลางทาง
   ๏ ช่างใจดำทำได้ร้ายกาจนัก
ทั้งเมียรักของพี่ดีทุกอย่าง
เราตกอับเมียรับทุกข์สุขละวาง
ยอมลาร้างพารามากลางไพร
     ๏ จึงหม่นหมองครองเศร้าเพื่อนเราเอ๋ย
ร้างคู่เชยมิรู้นางอยู่ไหน
อาจยังหลงดงหรือด้นถึงหนใด
กลางฤทัยเราตรมระบมจริง”




                                                              หน้า  ๙๘

     ๏ สองมิตรพลอยสร้อยเศร้าฟังเล่าแล้ว
มิเห็นแนวช่วยใดได้สักสิ่ง
ทั้งที่รักเยาวยอดจำทอดทิ้ง
รู้ทุกข์ยิ่งยามจากรักหักอารมณ์
    ๏ มีแต่คำปลอบใจมอบให้มิตร
ยกชีวิตย่อมมีทุกข์และสุขสม
เมื่อใจสองปองรักมั่นกันเกลียวกลม
กลับชื่นชมกันมิช้าอย่าอาวรณ์
     ๏ เห็นทางใดช่วยให้สมอารมณ์หวัง
มิรอรั้งตั้งจิตช่วยมิตรก่อน
เพียงคำปลอบเพื่อนให้คลายรุ่มร้อน
ทุกข์เหลือถอนกำหนดให้อดทน
     ๏ นึกคำนึงซึ้งในน้ำใจมิตร
ที่มีจิตผ่องเพ็ญเป็นกุศล
ทุกข์อุรากับหน้าที่มิปะปน
ยังเป็นคนอภิบาลการอาชา
     ๏ ทุ่มเทให้ใจภักดิ์พิทักษ์ราช
กษัตริย์ชาติฤตุบรรณขันอาสา
แม้ทุกข์หนักจักไม่ท้อรอเวลา
เป็นจริงจังดังวาจาของนาคี

        ...............................


                                                             หน้า  ๙๙

     ๏ ย้อนถึงเมืองวิทรรภ์ครั้นรู้ข่าว
ถึงเรื่องราวแต่ต้นหม่นเหลือที่
ทั้งพระนลและทมยันตี
เสียธานีระหกระเหินดำเนินไพร
     ๏ องค์จุมพลภีมราชประกาศว่า
พราหมณ์ทั้งหลายให้มาฟังปราศรัย
เรื่องพระนลราชาหายหน้าไป
พร้อมทรามวัยทมยันตีธิดานั้น
     ๏ “ท่านทั้งหลายกระจายตนไปค้นหา
พระนลและชายากลางไพรสัณฑ์
ใครพากลับคืนวังมีรางวัล
โคหนึ่งพันตัวมอบให้ตอบแทน
     ๏ แม้มิได้กลับมาเพียงว่ารู้
สององค์อยู่แดนใดให้มั่นแม่น
ทรัพย์สินนั้นสรรให้ไม่ขาดแคลน
เกินหมื่นแสนตำลึงจนพึงใจ”
     ๏ ในครานั้นเหล่าพราหมณ์ทำตามตรัส
เที่ยวเลาะลัดค้นหากลางป่าใหญ่
บ้างเดินทางต่างแคว้นสุดแดนไกล
สืบถามไถ่ไปทุกจุดจนสุดแคว้น



[/color][/size][/font]


หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25 กรกฎาคม, 2557, 11:16:56 AM
  


                                                           หน้า  ๑๐๐
      
     ๏ กลับมาเฝ้าเล่าการณ์งานขวนขวาย
แล้วแยกย้ายอีกคราอย่างหนาแน่น
ไปถึงแทบทุกถิ่นทั่วดินแดน
แต่มาตรแม้นมิสมตั้งความหวังมา
     ๏ ในครานี้สุเทพทิชพราหมณ์
ซึ่งออกตามทั่วไปในแดนป่า
ย้อนกลับหลังยังเจทีพารา
ทัศนามาถึงซึ่งวังทอง
     ๏ จึงพบทมยันตีธิดาราช
น่าอนาถราศีที่หม่นหมอง
ตั้งสติพินิจพิศตริตรอง
ว่าถูกต้องเหมือนจิตที่คิดแท้
     ๏ รำพึงในใจว่านิจจาเอ๋ย
วงพักตร์เคยเปล่งปลั่งดั่งดวงแข
บัดนี้หมองหม่นไหม้อาลัยแล
เหมือนบัวแผ่กลีบร้างอยู่กลางดิน
     ๏ คงโศกาสาหัสที่พลัดพราก
ทั้งจำจากภัสดามาไกลถิ่น
นัยนางามกว่าตามฤคคิน
เดี๋ยวนี้สิ้นแววสุขทุกข์ล้นใจ




                                                             หน้า  ๑๐๑

    ๏ แม้นกลับคืนผืนดินถิ่นวิทรรภ์
คงมิบั่นทอนสลดออกหมดได้
หากมิพบภัสดานลราชัย
แต่อย่างไรทุกข์นั้นพอบรรเทา
     ๏ จนมั่นใจในจิตมิผิดพลาด
พราหมณ์สามารถติดต่อขอเข้าเฝ้า
คารวะพระธิดาพรรณนาเค้า
ความครั้งเก่าแต่เริ่มจำเดิมมา
     ๏ “องค์ภีมราชันครั้นทราบข่าว
ทุกเรื่องราวพระทรงศักดิ์เศร้านักหนา
ตรัสให้พราหมณ์ทั้งหลายในนัครา
ออกตามหาสองพระองค์จำนงใจ
     ๏ กวลล่วงเกินเนิ่นนานมิพานพบ
พระนลหลบกายพ้น ณ หนไหน
ตัวหม่อมฉันนั้นเดินทางถึงกลางไพร
ย้อนกลับได้พบเทวีวันนี้เลย”
     ๏ ทมยันตีครานี้พิไรร่ำ
“เป็นเวรกรรมพระบิดรมารดาเอ๋ย
มิน่าพลอยโศกเศร้าจริงเล่าเอย
แล้วทรามเชยบุตรสองเราเล่าสุขดี




                                                             หน้า  ๑๐๒

     ๏ ถามทุกข์สุขถ้วนพระประยูรญาติ
ถึงทวยราษฎร์ทั่วไปในกรุงศรี
ขอพราหมณ์โปรดได้แถลงแจงวาที
อกข้านี้คิดถึงคะนึงครวญ”
     ๏ สุเทพพราหมณ์เอื้อนเอ่ยเผยความว่า
“พระบิดรพระมารดาสุขทุกส่วน
เพียงเรื่องของพระธิดาเป็นชนวน
ทรงกระอักกระอ่วนพระหทัย”
     ๏ “กุมารากุมารีสองศรีนั้น
เพื่อนเล่นห้อมล้อมกันสุขสดใส
ราชวงศ์ทุกองค์ยังห่วงใย
ชนทั่วไปเป็นอยู่ยั้งดั่งเคยมา”
     ๏ พราหมณ์กล่าวความตามนัยแต่ใจแห้ง
มิอาจแจ้งข่าวพระนลผลคืบหน้า
ทมยันตียังมีความโศกา
ร้อนอุราด้วยห่วงหวงพระนล
     ๏ จำทูลเชิญเดินทางยังวิทรรภ์
โศกคงบรรเทาไปในเบื้องต้น
สนทนาพาหม่นหมองทั้งสองคน
เห็นพิกลสุนันทากุมารี




                                                            หน้า  ๑๐๓                           
     ๏ กราบทูลพระราชมารดารู้
แล้วทั้งคู่รีบมาหาถึงที่
จึงตรัสถามสุเทพพราหมณ์แต่โดยดี
“สองท่านนี้รู้จักกันหรือฉันใด
     ๏ จงชี้แจงแถลงความไปตามสัจ
ปฏิพัทธ์สัมพันธ์กันไฉน”
พระราชเสาวนีย์ให้เผยนัย
พราหมณ์จึงได้ทูลความตามสัจจา
     ๏ “ขอเดชะพระมารดาอย่าสงสัย
จะเผยนัยให้ฟังดังปุจฉา
พระนางนี้ทมยันตีราชธิดา
แห่งภีมราชากรุงวิทรรภ์
     ๏ สยมพรกับพระนลราชาชัย
ครองนิษัธกรุงไกรไอศวรรย์
สิบสองปีสุขีมาจนครานั้น
ต้องมีอันย่อยยับอัปรา
     ๏ ด้วยพระนลกมลจิตผิดปกติ
สิ้นดำริราชกิจปิดยิหวา
ทรงแน่วแน่แต่จะเล่นสกา
จนต้องเสียพาราออกแรมไพร




                                                              หน้า  ๑๐๔

      ๏ พร้อมชายาธิดาทมยันตี
ความจงรักสวามีนั้นยิ่งใหญ่
เกิดวิบัติพลัดพรากจากกันไกล
องค์พระนลอยู่ไหนยังไม่พบ
     ๏ ภีมราชระดมพราหมณ์ออกตามหา
ทั้งวนาเมืองทั้งหลายไม่ประสบ
โชคหม่อมฉันสมมั่นหมายได้นอบนบ
พระธิดาอีกคำรบ ณ ครานี้
     ๏ ขอพระราชมารดาอย่าฉงน
เหตุและผลแห่งธิดามารศรี
หว่างขนงแต่กำเนิดเกิดไฝดี
อันพระพรหมปรานีประทานมา
     ๏ พระจันทร์เสี้ยวหนึ่งในไฝมงคล
คือปิ่นชนประเสริฐล้ำเลิศหล้า
เมื่อมีกรรมจำจรซ่อนกายา
ผงแป้งทาหนาปิดด้วยจิตจง
     ๏ หากเอาน้ำมนต์มาชำระพักตร์
จะประจักษ์ด้วยจิตสิทธิ์ประสงค์
นี่คือสัจวาจาข้าพระองค์
สุดแต่ความจำนงประการใด”




                                                             หน้า  ๑๐๕

     ๏ พระมารดาฟังวาทีที่เฉลย
มิอาจเอ่ยอึ้งอยู่สุชลไหล
ครางหือฮือ มือทุบอกชกหทัย
เหมือนเสียใจและโกรธโทษตัวตน
      ๏ สุนันทาหาน้ำขอชำระ
จึงเห็นจะแจ้งงามตามนุสนธิ์
พระมารดาอาการท่านชอบกล
ดูร้อนรนทั้งร้องร่ำเพ้อจำนรรจ์
     ๏ “น้าเสียใจในกาลผ่านไปแล้ว
โอ้หลานแก้วทูนหัวของตัวฉัน”
พระเพ้อพร่ำกล้ำกลืนฝืนรำพัน
นัยสำคัญยิ่งล้ำคำพาที
     ๏ “มิฉุกคิดสักนิดหนาว่าเป็นหลาน
ห่างกันนานแปลกไปก็ใช่ที่
พระนลนามความนิษัธธานี
น้าเองนี้ควรจะเฉลียวใจ
     ๏ ยังดีที่มีเมตตาให้มาอยู่
เข้าเป็นคู่สุนันทาแม้นหาไม่
หากปล่อยเป็นทาสีที่ยากไร้
เป็นบาปกรรมตามไปชั่วชีวา




                                                             หน้า  ๑๐๖
                  
     ๏ ขอหลานน้าอย่าฉงนและหม่นหมอง
น้าเป็นน้องแท้แท้แม่หลานหนา
สุทามันอันนามท้าวพระเจ้าตา
ครองธรรมมิกพารามานานปี
     ๏ พี่สาวน้าวิวาห์ภีมราชเจ้า
ครองวิทรรภ์นานเนาชนสุขี
ส่วนตัวน้าคู่นราธิปบดี
บุตรสุพาหุภูมีคือราชัน
     ๏ เราว่านเครือเชื้อสายใกล้ชิดแท้
ยามกายแก่ยากไปมาหากันนั่น
ครั้งหลานยังเยาว์วัยได้พบกัน
พอนานวันนั้นมิน่ามาลืมเลือน”
     ๏ จำนรรจ์พลางนางเจ้าเฝ้าจุมพิต
ด้วยปลื้มจิตปลื้มใจหาใดเหมือน
ทมยันตีก็ไม่ได้แชเชือน
ค่อยค่อยเคลื่อนบังคมก้มชุลี
     ๏ สุนันทาซึ้งซาบกราบแทบอก
ฐานะยกขึ้นสู่ญาติผู้พี่
ทั้งสามตระกองกอดทอดไมตรี
เป็นนาทีอันสดชื่นรื่นฤทัย




                                                             หน้า  ๑๐๗

     ๏ ทมยันตีมีความนำปรึกษา
“ขอท่านน้าโปรดดำริวินิจฉัย
บัดนี้องค์พระบิดาราชาชัย
ทรงห่วงใยไร้สุขทุกข์ระทม
     ๏ พระช่วยเหลือเอื้ออวยด้วยเต็มที่
ให้พราหมณ์หาทุกธานียังมิสม
ทั้งบุตราบุตรีมีแต่ตรม
เคยเชยชมมาร้างห่างมารดร
     ๏ ขอพระอนุญาตคืนราชฐาน
เพื่อตามหาพระภูบาลอดิศร
พระองค์ยังห่างหายไกลนาคร
ในอกหลานนั้นยังร้อนมิผ่อนคลาย
     ๏ ทั้งที่พอรู้ความลำดับญาติ
ถือโอกาสลากลับใช่ลับหาย
ในวันหน้าแม้นว่ายังมิตาย
ใจมาดหมายย้อนมาหาพระองค์”
      ๏ พระมารดาสั่งหาสีวิกามาศ*
ประดับปวงบุปผชาติขบวนส่ง
จัดพลพฤนท์*ราชพิลาสทรง
พร้อมทิวธงสวยสล้างเดินทางไป


สีวิกา*  เสลี่ยง,  คานหาม, --  มาศ*   ทอง
พฤนท์*   กอง,  หมู่,  จำนวนมาก
                                                              หน้า  ๑๐๘

     ๏ แล้วมินานการเดินทางอย่างแข็งขัน
บรรลุถึงซึ่งวิทรรภ์เมื่อวันใหม่
ทราบข่าวทมยันตีล้วนดีใจ
แต่ท้าวไทถึงอาณาประชาชน
     ๏ จัดพิธีพลีทานการบวงสรวง
สิ่งทั้งปวงเกื้อหนุนบุญกุศล
พุทธบูชาจาคะวาระมงคล
พราหมณ์ไพร่พลพร้อมสรรพรับรางวัล
     ๏ โดยเฉพาะสุเทพพราหมณ์ตามกล่าวไว้
ราชันให้เกินที่จิตคิดหมายมั่น
ทมยันตีกราบบิดร มารดาพลัน
แล้วรับขวัญบุตรทั้งสองหายหมองมัว
     ๏ มีแม่ลูกผูกพันจิตอยู่ชิดใกล้
ยังหมองไหม้เหลือที่มิมีผัว
ปลอบประโลมลูกว่า “เจ้าอย่ากลัว
พ่อทูนหัวต้องกลับมาพร้อมหน้ากัน”
     ๏ หนึ่งราตรีที่พักผ่อนนอนวังเก่า
ตื่นแต่เช้ากลับเหมือนเดิมเริ่มโศกศัลย์
พระแม่เจ้ารู้ข่าวมาไม่ช้านั้น
ฟังรำพันหวนละห้อยพลอยโศกา




                                                             หน้า  ๑๐๙

     ๏ “พระชนนีที่ทูนเทิดบังเกิดเกล้า
ลูกแสนเศร้าโศกหนักยิ่งนักหนา
นลบดีที่พรากไปในพนา
ได้ตามหานานมิพบประสบองค์
     ๏ มิรู้ว่ามาเจอกันต่อวันไหน
กลัวดวงใจลูกจะแยกแตกเป็นผง
วอนมารดาขอเมตตาปิตุรงค์
หนุนจำนงค้นหานลราชัย”
     ๏ รับภาระพระมารดาอาสาช่วย
เอื้ออำนวยทำการประสานให้
ภีมราชรู้เรื่องราวเข้าพระทัย
พระองค์ได้เรียกหาทิชาจารย์
     ๏ ผู้ตรวจตราปรางค์ปราสาทราชกิจ
ระดมพลรณฤทธิ์ทวยทหาร
คัดที่คล่องท่องแคว้นแดนกันดาร
และเหล่าพราหมณ์เชี่ยวชาญการเดินทาง
     ๏ ร่วมผนึกกำลังกันทั้งหลาย
ออกกระจายทั่วไปถึงไพรกว้าง
ทุกย่านบ้านกันดารใดไม่ละวาง
จนถึงกลางพาราทุกธานี




                                                             หน้า  ๑๑๐

     ๏ ผู้หมายใจไปดั้นด้นสืบค้นหา
ยามทูลลาคลาไคลออกไพรศรี
รับลำนำคำคมทมยันตี
เมื่อจรลีถึงแดนดินถิ่นใดใด
     ๏ “จงขับร้องท่องกลอนสุนทรว่า
(โอ้ยอดรักนักสกาข้าอยู่ไหน
แบ่งเอาผ้าคลุมกายแล้วหายไป
ช่างกระไรไม่หันมาเมตตากัน
    ๏ หรือหลงลืมสัญญาว่ารักแท้
มิเปลี่ยนแปรจนชีวาเราอาสัญ
โอ้หงส์เอ๋ยเคยพร่ำเทิดจำนรรจ์
คำที่บอกหลอกฉันหรือหงส์ทอง
     ๏ มาทิ้งเมียเสียได้กลางไพรสณฑ์
สุดจะทนหม่นไหม้ฤทัยหมอง
เหลือผ้าครึ่งผืนไว้ให้เมียครอง
เฝ้าร่ำร้องหาผัวทั่วอรัญ
     ๏ เมียดีต้องร่วมเรียงอยู่เคียงผัว
ใกล้ชิดตัวชิดใจไม่แปรผัน
ผัวดีรักเมียลูกผูกสัมพันธ์
ทั้งสองนั้นคือคู่ครองครรลองธรรม




                                                             หน้า  ๑๑๑

     ๏ ขอมีจิตคิดเมตตาถ้ายังรัก
เมียผู้ภักดิ์ไห้หวนคอยครวญคร่ำ
แม้กินข้าวลงคอได้ไม่เต็มคำ
ยามกินน้ำก็ยังแค้นแน่นในทรวง
        ๏ อันสมบัติพัสถานพิมานแก้ว
ล่มลงแล้วดวงจิตมิคิดหวง
สวามีที่บูชากว่าทั้งปวง
อย่าลาล่วงโปรดจงคืนให้ชื่นใจ)
     ๏ ขับลำนำเพลงชีวีนี้ทุกหน
อารมณ์คนที่ฟังคำแล้วร่ำไห้
ขอให้เชื่อไว้ก่อนว่านลราชัย
จงเข้าไล่เลียงถามความเป็นมา
     ๏ อาจปลอมแปลงแต่งตนจนรูปชั่ว
หรือหมองมัวยากไร้อนาถา
ดูอาการมิใช่หมายกายา
เรื่องรูปร่างหน้าตามิสำคัญ
     ๏ ความแต่ต้นคนทั้งปวงมิล่วงรู้
นอกจากภูวนาถแลตัวฉัน
พบผู้มีทีท่าดังว่านั้น
สืบความอันเป็นมาสารพัด




                                                             หน้า  ๑๑๒

     ๏ แล้วกลับมาพาราพลันเป็นการด่วน
เสนอคำสำนวนให้ถนัด
ฉันค่อยคิดวินิจฉัยความให้ชัด”
พระนางตรัสบทแบบอันแยบยล
     ๏ ครานั้นให้นายทหารออกควานหา
เหล่าพราหมณ์จาริกไปในทุกหน
ทั้งใกล้ไกลนอกในแดนแคว้นมณฑล
ออกสืบค้นพ้นพาราสู่อารัญ
     ๏ ขับลำนำคำกลอนจรทั่วทิศ
มิพบองค์ทรงฤทธิ์นลรังสรรค์
ไม่เกิดผลจนผ่านมานานครัน
ยังยืนยันพยายามตามต่อไป
     ๏ ผู้ฟังกลอนวอนกล่าวเขาซึ้งซ่าน
เพลงรักหวานกล่อมอารมณ์สมสมัย
หาคิดเห็นเป็นจริงจังแต่อย่างใด
มิรู้นัยแฝงไว้ในวาที
     ๏ ดัดแปลงศัพท์สำเนียงไปหลายภาษา
ตามลีลาเคยชินทุกถิ่นที่
เสริมสังคีตดีดพิณศิลป์ดนตรี
มิเห็นมีใครเศร้าคราวยินกลอน




                                                              หน้า  ๑๑๓

     ๏ กาลล่วงมาทิชาจารย์ชาญฉลาด
ปรรณาท” ได้เค้าเรื่องราวก่อน
เข้ารายงานทมยันตีที่นคร
ตามขั้นตอนต่อเทวีวิลาวัลย์
     ๏ “ครั้งข้าบาทบทจรนครอื่น
ชนล้วนชื่นรสกวีที่ร้องนั่น
มิมีใครไห้หวนครวญรำพัน
ทุกเขตขัณฑ์สังเกตดีมิพบพาน
      ๏ ถึงมหานครบวรสมัย
อโยธยาเวียงชัยอันไพศาล
ฤตุบรรณราชาผู้เชี่ยวชาญ
เป็นเลิศการสกาลือชาไกล
     ๏ ขอเมตตาราชาท่านสรรค์สนอง
ประกาศก้องท้องพระโรงโอ่โถงใหญ่
ที่ประชุมเหล่าเสนาข้าวังใน
หมู่อำมาตย์ทั้งกรุงไกรมากมายครัน
     ๏ ในดวงจิตคิดว่าน่าได้ผล
เพราะมากคนสนใจจึงหมายมั่น
เปล่งเสียงดังกังวาน ณ กาลนั้น
ฤตุบรรณท่านก็พอพระทัย




                                                              หน้า  ๑๑๔

     ๏ ลำนำกลอนตอนนั้นรำพันว่า
(โอ้ยอดรักนักสกาข้าอยู่ไหน
แบ่งเอาผ้าคลุมกายแล้วหายไป
ช่างกระไรไม่หันมาเมตตากัน
     ๏ หรือหลงลืมสัญญาว่ารักแท้
มิเปลี่ยนแปรจนชีวาเราอาสัญ
โอ้หงส์เอ๋ยเคยพร่ำเทิดจำนรรจ์
คำที่บอกหลอกฉันหรือหงส์ทอง
     ๏ มาทิ้งเมียเสียได้กลางไพรสณฑ์
สุดจะทนหม่นไหม้ฤทัยหมอง
เหลือผ้าครึ่งผืนไว้ให้เมียครอง
จนร่ำร้องหาผัวทั่วอรัญ
     ๏ เมียดีต้องร่วมเรียงอยู่เคียงผัว
ใกล้ชิดตัวชิดใจไม่แปรผัน
ผัวดีรักเมียลูกผูกสัมพันธ์
ทั้งสองนั้นคือคู่ครองครรลองธรรม
     ๏ ขอมีจิตคิดเมตตาถ้ายังรัก
เมียผู้ภักดิ์ไห้หวนคอยครวญคร่ำ
แม้กินข้าวลงคอได้ไม่เต็มคำ
ยามกินน้ำก็ยังแค้นแน่นในทรวง




                                                             หน้า  ๑๑๕



     ๏ อันสมบัติพัสถานพิมานแก้ว
ล่มลงแล้วดวงจิตมิคิดหวง
สวามีที่บูชากว่าทั้งปวง
อย่าลาล่วงโปรดจงคืนให้ชื่นใจ)
     ๏ จบลำนำกำหนดตาจดจ้อง
ดูทั่วท้องพระโรงโอ่โถงใหญ่
คนดาษดื่นชื่นบานซ่านฤทัย
ล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสใจเปรมปรีดิ์
     ๏ เหล่าเสนาอำมาตย์แออัดอยู่
พิศทุกผู้ซึ้งซ่านเกษมศรี
เหลียวแลไปไร้คนหม่นฤดี
จึงจรลีทูลลารีบคลาไคล
        ๏ ครั้นออกมาหน้าโรงราชรถ
เห็นกำสรดเพียงผู้หนึ่งจึงสงสัย
เข้าไปถามทราบนามว่าวาหุกไซร้
อัศวชาญชัยในธานี
     ๏ ด้วยปราดเปรื่องเรื่องโภชนาการ
ปรุงอาหารพระราชาอีกหน้าที่
แต่รูปชั่วทั่วกายาล้วนราคี
หน้าตามีแผลเกรอะกรังหนังหย่อนยาน




                                                              หน้า  ๑๑๖
        
     ๏ ห่างลิบลับกับกายาความสามารถ
อันฉลาดรอบรู้อยู่หลายด้าน
หม่อมฉันเพ่งพิศดูอยู่เป็นนาน
จึงถามความร้าวรานนั้นฉันใด”
     ๏ (“ฉันเกลียดชังเจ้าผัวที่ชั่วช้า
ทิ้งภรรยาง่ายง่ายได้ไฉน
โอ้แม่นางช่างระกำช้ำฤทัย
แต่ทำไมมิโกรธผัวที่ชั่วนัก
     ๏ ผ้าเพียงกึ่งซึ่งให้ไว้ต่างหน้า
ต้องเอกากลางไพรทุกข์ใจหนัก
เมื่อผัวบ้าสการ้ายเหมือนคลายรัก
ใจเมียจักมิเคืองจิตนิดฤๅนา
     ๏ ทั้งที่ตนตกระกำชอกช้ำยิ่ง
แม่ยอดหญิงมิมีจิตคิดถือสา
ใจแม่นั้นเยี่ยงเทวัญบนชั้นฟ้า
ความดีแท้แลมาเป็นเกราะทอง”)
     ๏ “หม่อมฉันจำคำไว้ไม่แปรผัน
ดูโศกศัลย์ทุกข์ทนแสนหม่นหมอง
แม้แตกต่างทางกายเป็นก่ายกอง
แต่จำต้องถือสารามากราบทูล




                                                             หน้า  ๑๑๗

     ๏ อันพระนลรูปงามรู้นามทั่ว
มิมีใครพบตัวเหมือนสาบสูญ
แต่พระองค์ทรงธรรมเจิดจำรูญ
เทพเกื้อกูลต้องรอดชีพปลอดภัย”
     ๏ ทมยันตีฟังที่เอ่ยเฉลยพจน์
ครบทั้งหมดก็เชื่อครึ่งกึ่งสงสัย
ฤๅวาหุกนี้แหละหนาคือราชัย
เกิดมั่นใจขึ้นมาว่าจริงจัง
     ๏ จึงประทานรางวัลอันสมค่า
แก่ทิชาจารย์พราหมณ์ตามที่หวัง
แม้นเป็นผลคือพระนลจนคืนวัง
สุขสมดังหมายเดิมเพิ่มรางวัล
     ๏ ทมยันตีมีคำวอนมารดรท่าน
เริ่มแผนงานดังจิตที่คิดฝัน
ณ การณ์นี้งดทูลภีมราชัน
มิถึงขั้นกวนพระทัยไม่บังควร
     ๏ พระมารดาอนุญาตประกาศหา
สุเทพพราหมณ์เข้าพารามาโดยด่วน
ต่อหน้าพระมารดามาชี้ชวน
ตามกระบวนที่ตั้งจิตร่วมคิดการ




                                                             หน้า  ๑๑๘

     ๏ “สุเทพพราหมณ์จงนำนัยนี้ไปสู่
ท้าวฤตุบรรณรับรู้ด้วยโวหาร
ความว่าข้าร้างคู่อยู่เนิ่นนาน
ขอประทานทวิสยมพร*
     ๏ แลขอเชิญราชันท่านพิเศษ
ด้วยมีเหตุนับถือกันแต่กาลก่อน
ทำเหมือนว่าส่งข่าวมาทุกนาคร
และวิงวอนขออภัยนัยเวลา
     ๏ เหลืออีกวันท่านเดินทางอย่างเร็วยิ่ง
รับผิดจริงที่เราส่งข่าวล่า
งานลับให้ใช้วาทะเจรจา
กรุณารับคำทำดั่งใจ”
     ๏ สุเทพพราหมณ์รับคำทำตามสั่ง
เดินทางยังอโยธยาใหญ่
กราบทูลท้าวฤตุบรรณชาญชัย
ความเป็นไปไม่เพี้ยนหรือเปลี่ยนแปลง
     ๏ เมื่อท่านทราบกราบลามิช้าอยู่
คล้ายมีผู้ต้องส่งข่าวคราวหลายแห่ง
บทบาทแบบแยบยลไม่ให้ระแวง
เมื่อสำแดงจบปั๊บลากลับพลัน



ทวิสยมพร*    สยมพรครั้งที่สอง
                                                             หน้า  ๑๑๘

     ๏ ครั้นยินข่าวท้าวฤตุบรรณรีบผันผาย
มาหานายวาหุกกะทันหัน
“ไปเถิดเราเลือกเอาม้ามาด้วยกัน
งานสำคัญด่วนมากข้าอยากใช้
     ๏ ดังที่เจ้าเฝ้าถวายตัวไว้ว่า
ขับรถม้าปานลมกรดพูดปดไหม
เวลาน้อยเร็วเถิดหนาอย่าช้าไย
ร้อยโยชน์ไกลนักจึงถึงวิทรรภ์
     ๏ สรรเอาม้าครานี้ดีที่สุด
เร่งเร็วรุดวันหนึ่งถึงที่นั่น
ซึ่งยากนักที่จักไปได้เช่นนั้น
เจ้ายืนยันไว้กับข้าจึงน่าลอง”
     ๏ วาหุกถามความว่า “ไปการใดหรือ
วาระคือ สุข เศร้าเล่าจิตข้อง”
จึงท่านท้าวเล่าขยายดังใจปอง
“สยมพรครั้งที่สองทมยันตี
     ๏ ด้วยเหตุผลนลบดีสามีเก่า
ทอดทิ้งเขาให้ต้องหม่นหมองศรี
เป็นเวลาจะบรรจบครบสามปี
แต่งานนี้แจ้งข่าวมาล่าเหลือเกิน




                                                              หน้า  ๑๒๐
        
     ๏ การเดินทางสู่วิทรรภ์วันเดียวถึง
ต้องประหนึ่งรถม้าพาเหาะเหิน
รู้แล้วเจ้าอย่าช้าเจรจาเพลิน
ต้องดำเนินคัดม้าอาชาไนย”
     ๏ พระนลฟังยังอึ้งตะลึงคิด
โอ้มิ่งมิตรเป็นฉะนี้ได้ไฉน
สุดจะห้ามความวิโยคโศกอาลัย
ดวงฤทัยวุ่นวายหลายกังวล
     ๏ “โอ้จอมนางกลางใจในครานี้
ฤๅความดีสิ้นสายไร้กุศล
นาเรศแก้วร้าวเสียแล้วกลางกมล
ทำเช่นชนทั่วไปที่ใจทราม
     ๏ อาจวิโยคโศกศัลย์ฟั่นเฟือนนัก
หรือแค้นหนักผัวทิ้งหญิงถูกหยาม
ใจหนึ่งมั่นทมยันตียังดีงาม
มิเชื่อความตามว่าสัจจาจริง
     ๏ หรือนารีมีเล่ห์ลวงบ่วงล่อข้า
ให้หึงหวงรีบไปหามิช้านิ่ง
ดีร้ายนั้นฉันใดไม่ประวิง
ทั้งมิทิ้งสัญญากับราชัน”





หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25 กรกฎาคม, 2557, 11:20:28 AM



                                                              หน้า  ๑๒๑
    
     ๏ ฟังสิ้นศัพท์รับคำดำเนินกิจ
“พระทรงฤทธิ์โปรดเชื่อใจอย่าไหวหวั่น
จักขอนำพระองค์ไปให้จนทัน
เพียงหนึ่งวันเร่งบึ่งถึงกรุงไกร”
     ๏ เมื่อตกลงเวลากะทันหัน
รีบไปสรรเอาม้ามิช้าได้
ถึงอัศวศาลาของราชัย
ซึ่งภายในมีม้าเกินห้าร้อย
     ๏ วาหุกเข้าไปชิดพินิจหา
เดินไปหน้าหยุดยั้งบางครั้งถอย
คัดตัวดีได้สี่ม้ามายืนคอย
แต่ราชัยเคืองไม่น้อยคอยเกียดกัน
     ๏ “ข้าเห็นว่าอาชาดีมีอยู่หลาย
อันมีกายอ้วนล่ำกล้ามแข็งขัน
แลไฉนไม่เลือกมาเหล่าม้านั้น
คัดที่มันผอมเหมือนกะพยาธิกิน
     ๏ ถ้าเจ้าทำล้อเล่นอยู่เช่นนี้
การพิธีอันข้าหวังคงพังสิ้น
อับอายเขาเย้ายั่วทั่วธานินทร์
เมื่อเจ้ายินแล้วจักต้องตรองจงดี”




                                                             หน้า  ๑๒๒

     ๏ วาหุกฟังดังว่ามากล่าวเน้น
“การล้อเล่นกับราชาหาใช่ที่
อันกิจซึ่งหม่อมฉันสรรพาชี
เหตุผลมีตามทักษะอัศวการ
     ๏ ม้าเหล่านี้ล้วนดีเลิศประเสริฐล้ำ
เกิดริมน้ำสินธูอู่สถาน
มิอ้วนพีแรงดียิ่งวิ่งทนนาน
รูนาสิกกว้างบานเปิดรับลม
     ๏ “ขวัญม้าดีถ้วนหนาหาได้ยาก
หนึ่งหน้าผากขวัญอยู่ดูเด่นสม
สองขวัญคู่อยู่กลางศีรษะกลม
อกซ้ายขวาเหนือราวนมสองขวัญไซร้
     ๏ ยังอีกสี่สีข้างฝั่งละสอง
โคนหางหนึ่งพึงมองแลเห็นได้
สิบขวัญแห่งอัศวการม้าชาญชัย
ที่เหลือใช้ความเชี่ยวชาญการบังคับ
     ๏ ฤๅพระองค์เห็นว่าอาชาไนย
พึงพอใจตัวอื่นมีที่งามสรรพ
เชิญพระองค์ทรงสรรหม่อมฉันรับ
มาผูกกับราชรถบทจร”




                                                             หน้า  ๑๒๓

    ๏ ราชาฟังดังแจงเหตุเป็นเด็ดขาด
ยอดวิชาอัศวราชมิอาจค่อน
กล่าวเห็นชอบตอบความตามสุนทร
มิเกี่ยงงอนแต่ไว้ท่าในพาที
    ๏ “เจ้ามั่นใจก็ไม่ห้ามตามที่ว่า
จักสรรม้าร่วมไว้มิใช่ที่
ถ้าเกิดไปไม่ทันในงานนี้
เจ้าโทษม้าข้ามิดีเสียปะไร”
     ๏ ในครานั้นพระนลคนรูปชั่ว
เมื่อเตรียมตัวจะผูกม้าหาได้ไม่
สี่ม้าคู้เข่านอนเหมือนอ่อนใจ
มิคึกคักเลยไฉนยอดพาชี
     ๏ วาหุกเดินเข้าไปใกล้ใบหน้า
มือสัมผัสกายาม้าทั้งสี่
แล้วเอื้อนเอ่ยสุนทรอ่อนหวานดี
จ๊ะจ๋ามีจำนรรจ์ฉันคนรัก
     ๏ สี่ม้ายืนขึ้นพลันสั่นหางหู
ร้องก้องอยู่ด้วยคึกเต้นกึกกัก
จึงผูกม้าเสร็จได้ไม่ช้านัก
จับสายชักสายขับกระชับพลัน




                                                             หน้า  ๑๒๔

     ๏ ขอราชาอนุญาตประกาศหา
ซึ่งนายวาร์ษไณยอยู่ใกล้นั่น
มาขึ้นรถเร็วไวไปด้วยกัน
เผื่อได้ช่วยหม่อมฉันขับรถทรง
     ๏ รถวิ่งแล่นลิ่วไปดังใจคิด
ด้วยมหิทธิเดชาพระนลส่ง
ดุจธนูจากแหล่งลำแสงตรง
ฝ่ารกพงมิพรั่นพรึงคำนึงใด
     ๏ วาร์ษไณยใคร่ครวญหวนรำลึก
ความรู้สึกกลางจิตคิดสงสัย
ดูลีลาวาหุกนี้ที่เป็นไป
เหมือนกันในเชิงทักษะของพระนล
     ๏ ฝีมือม้าคราอยู่กันนั้นบ่งชี้
ละเอียดล้วนถ้วนถี่มีเหตุผล
เกิดเหมือนกันฉันใดให้พิกล
มิพูดบ่นแต่คิดพลางกลางพนา
     ๏ ท้าวฤตุบรรณนั้นนั่งนึกกำหนด
ราชรถพุ่งไปไวแกล้วกล้า
ไม่ผิดคำที่เคยเอ่ยวาจา
องค์ราชาเพ่งพิศพินิจเพลิน




                                                             หน้า  ๑๒๕
                                            
     ๏ “เออจริงนะวจีที่เปรียบไว้
รถพุ่งไวพลิ้วผ่านปานเหาะเหิน
ท่วงทีขับขยับกายงามหลายเกิน
สุดประเมินความสามารถอัศจรรย์
     ๏ ปรารถนาแห่งข้าวิชานี้
ขอโดยดีเขาจักให้เราไหมนั่น
ฤๅต้องใช้วิชามาแลกกัน
องค์ราชันครุ่นคิดจิตวุ่นวาย”
     ๏ ราชรถทะยานไปกลางไพรกว้าง
ถิ่นแถวทางเถื่อนทุ่งมุ่งที่หมาย
ข้ามเขาเขินเนินดินโดยง่ายดาย
ตะลุยสายธาราฝ่าพงรก
     ๏ กำลังม้าพารถมิลดหย่อน
สุรีย์รอนอ่อนแสงแรงไม่ตก
ราชันนึกตรึกในไวดั่งนก
จึงหยิบยกผ้าคลุมปล่อยลอยลมไป
     ๏ เรียกวาหุกให้สั่ง “รั้งม้าหยุด
อย่ารีบรนจนสุดนักก็ได้
ภูษิตอันพันอังสาข้าคลุมไว้
หลุดลอยไกลระยะพอประมาณ




                                                             หน้า  ๑๒๖

     ๏ รถเรารั้งรอไว้ไม่ต้องย้อน
พักม้าก่อนกินน้ำหญ้าหน้าละหาน
วาร์ษไณยไปเก็บมามิน่านาน”
ก็กระทำตามการที่บัญชา
     ๏ ยามเมื่อวาร์ษไณยคล้อยไปนั้น
องค์ราชันพลันเอ่ยเปรยขึ้นว่า
“อันปวงชนคนทั่วทั้งโลกา
ฤๅประสิทธิ์วิทยาได้มาครบ
     ๏ บุรุษใดใครเชี่ยวชาญทุกด้านถ้วน
บางสิ่งควรดีเด่นเรียนเจนจบ
หากศิษย์ครูคู่กันมาน่าเคารพ
เพื่อนที่คบรู้แจ้งอาจแบ่งปัน
     ๏ ต้นสมอพิเภกไพรกลุ่มไกลโน้น
จำนวนโคนห้าสิบแน่มิแปรผัน
นับเพียงใบแก่ทั้งกอเมื่อรวมกัน
สังขยา*ห้าโกฎิสรรเศษมิเอา
      ๏ ผลสมอทั้งกอใหญ่ได้แสนสี่
กิ่งใหญ่นั้นอันข้าชี้สองพันเก้า
หัวใจสกาใช้มิได้เดา
อยากรู้เจ้าจักเชื่อความตามนั้นฤๅ”


สังขยา*   การนับ,   การคำนวณ
                                                            
                                                            หน้า  ๑๒๗
        
     ๏ “ลูกสกาหามากสักเท่าใด
ยังทำให้เสียสินจวนสิ้นชื่อ
ผลสมออาจขอทายในกำมือ
ทั้งกิ่งคือใจมิเหลือที่เชื่อเลย
     ๏ ให้หม่อมฉันฟันกิ่งหนึ่งซึ่งท่านว่า
นับต่อหน้าสองคนผลเฉลย
จะตกลงดังจงใจได้ไหมเอย
ปรดอย่าเฉยนิ่งช้าพาเสียการ
     ๏ ปรัศนีที่ท่านพูดพิสูจน์ได้
จักมิใช้เวลาช้าเลยท่าน
ม้าได้พักแล้วจักโผนโจนทะยาน
มิเนิ่นนานถึงปลายทางโปรดวางใจ”
     ๏ “ถ้ากระนั้นฟันโดยไวอย่าได้ช้า
แล้วตรวจตรานับให้ดีมีเท่าไหร่
หากหล่นลงตรงโคนนั้นคราฟันไม้
จงนับไว้รวมกันตามกติกา
     ๏ ตกลงความตามใจที่หมายมั่น
วาหุกรีบไปฟันกิ่งพฤกษา
เริ่มนับพลันหวั่นเรื่องเปลืองเวลา
กองละห้าร้อยไล่ไปจนครบ




                                                             หน้า  ๑๒๘

     ๏ วาหุกถึงตะลึงหลงงงงันอยู่
ฤตุบรรณท่านถามดูผลประสบ
วาหุกหันมาระยอบนอบน้อมนบ
“ท่านเจนจบจริงถูกต้องมิพร่องเลย
     ๏ ยอดยิ่งนักจักมีใครในโลกนี้
วิชาดีอยากวานท่านเฉลย
หัวใจอาชาไนยให้ชดเชย
แลกเปลี่ยนกันท่านจงเอ่ยมาตามตรง”
     ๏ ใกล้เวลาสายัณห์ตะวันลับ
ต่างรีบรับด้วยจิตคิดประสงค์
“เริ่มหัวใจสกาข้าดำรง
หากจิตจงสังขยากีฬาคณิต
     ๏ ก่อนศึกษาวิชาดีมีข้อแม้
ต้องแน่วแน่จำนงจงในจิต
มิละโมบโลภหลายหมายฆาตมิตร
และมีสิทธิ์เพียงคราละหนึ่งครั้ง
     ๏ เมื่อหัวใจสกาขลังตั้งมั่นแล้ว
จักผ่องแผ้วในฤดีดังที่หวัง
ตัดสินใจไปตามจิตนิมิตภวังค์
มิพลาดพลั้งเป็นแน่แท้จริงเจียว




                                                             หน้า  ๑๒๙

        ๏ ชวนกันนั่งหลังโขดเขินเนินไศล
คาดมิให้ใครจ้องมาข้องเกี่ยว
ขีดเขียนดินโดยใช้กิ่งไม้เรียว
ประเดี๋ยวเดียวเสร็จสมอารมณ์ปอง
     ๏ ฤตุบรรณคะยั้นคะยอ “ขออย่าช้า
สอนให้ข้าเข้าใจไม่เป็นสอง
อันหัวใจอาชาคราเข้าครอง
ตามครรลองตรรกะไฉนกัน”
     ๏ วาหุกทูลราชาว่า “ข้าบาท
มิบังอาจโยกโย้มีโมหันธ์
ก็จักหมายขยายนัยใจม้านั้น
ความสำคัญแม้สักนิดมิปิดบัง
     ๏ หัวใจแห่งพาชีเมื่อมีผล
ข้ามชาติพันธุ์สัตว์คนเกิดมนต์ขลัง
อาชาที่ฝีเท้าเลิศเกิดพลัง
ความดุจดังมุ่งมั่นสรรม้ามา
     ๏ หลักสำคัญอันเน้นเป็นเอกอุ
คือบรรลุข้ามชาติพันธุ์ภาษา
มิคิดเห็นเป็นแต่แค่อาชา
เชื่อมใจกันมิฉันทาพาเลิศแล




                                                             หน้า  ๑๓๐
  
     ๏ จุดประสงค์จำนงใดกล่าวให้แจ้ง
ช้าเร็วแรงสำแดงความตามกระแส
ถึงจุดจิตเชื่อมใจได้จริงแท้
ก็คือแง่แห่งตรรกะอัศวการ
     ๏ มีเคล็ดหนึ่งซึ่งพระองค์ต้องทรงคิด
ด้วยดวงจิตเป็นกุศลบนพื้นฐาน
เลี้ยงสมบูรณ์พูนพละอภิบาล
เมตตาทานนั่นคือทุนบุญความดี
     ๏ แล้วจึงชวนฤตุบรรณร่วมผันผาย
พากันย้ายจากเนินดินถิ่นไพรศรี
ออกดำเนินเดินไปหากลุ่มพาชี
ต่อพาทีอธิบายขยายนัย
     ๏ มือสัมผัสผิวกายใช้จิตส่ง
เจตจำนงที่เน้นเป็นไฉน
เคล็ดวิชาดังว่านั้นบรรยายไป
โดยมิให้ใครอื่นดูและรู้ความ
     ๏ เป็นครูศิษย์เสร็จสมหวังกันทั้งสอง
คลายหม่นหมองแห่งจินต์สิ้นคำถาม
วาร์ษไณยกลับมาเวลางาม
ฤตุบรรณนั้นได้ตามน้ำใจจง




                                                             หน้า  ๑๓๑

     ๏ แต่วาหุกครานั้นมิทันย่าง
กลีออกจากร่างดังประสงค์
ดิ้นเร่าเร่าอยู่บนพื้นมิคืนทรง
“ขอเมตตาข้าพระองค์อย่าทำลาย
     ๏ ยอมต่อพระเมตตาบารมีท่าน
ข้าสุดจะทรมานเจ็บปวดหลาย
คำสาปทมยันตีมีฤทธิ์ร้าย
เข้ากล้ำกลายวิญญาณผลาญย่ำยี
     ๏ คาบที่สองต้องพิษฤทธิ์แรงร้อน
ดังกองฟอนสุมกายไม่อาจหนี
นั่นคือพิษรุนแรงแห่งนาคี
จนชีวีแทบมลายอยู่หลายครา
       ๏ และถึงคาบที่สามในยามนี้
พระองค์ได้วิชาดีมากมีค่า
คือหัวใจตรรกะแห่งสกา
ล้วนนำพาข้าแดดิ้นสิ้นพลัง
     ๏ บุญฤทธิ์อิทธิสร้างแต่ปางก่อน
ถูกลิดรอนมลายพ้นด้วยมนต์ขลัง
พระองค์ย่ำซ้ำก็ดิ้นสิ้นเอวัง
หากว่ายังเมตตาข้าขอจร”




                                                              หน้า  ๑๓๒

      ๏ เมื่อพระนลมิมีจิตคิดจะปราบ
กลีกราบกระย่องกระแย่งเรี่ยวแรงอ่อน
แล้วลาลับวับไปในดงดอน
นลราชามาผ่อนร้อนกายใจ
     ๏ เหลือแต่รูปร่างกายภายนอกแล้ว
จิตราชันนั้นดั่งแก้วเปล่งแววใส
ดั่งร่างองค์เบาลงเสียกระไร
สำนึกได้ไร้อธรรมครอบงำครอง
      ๏ จึงรีบขึ้นไปนั่งเตรียมตั้งท่า
ขับอาชาต่อไปไม่หม่นหมอง
เถื่อนวิถีเหมือนมีใจให้สมปอง
สนธยาฟ้าทองถึงวิทรรภ์
     ๏ นายประตูผู้ใหญ่ครั้นได้พบ
เป็นคำรบที่มากะทันหัน
 รีบกราบทูลองค์ภีมราชัน
แล้วเชิญท้าวฤตุบรรณเข้าวังใน
      ๏ รถทะยานผ่านประตูสู่วังราช
กัมปนาทลั่นเลือนสะเทือนไหว
มีทั้งเสียงรถม้าที่คลาไคล
ม้าต้นของพระนลไซร้ประสานกัน




                                                             หน้า  ๑๓๓
    
      ๏ อยู่ในโรงคงรู้ว่านายมานี่
เหล่าพาชีคะนองเสียงร้องลั่น
จากกันครานำบุตราบุตรีนั้น
งานสำคัญวาร์ษไณยรับใช้มา
      ๏ ราชรถบทจรมิหย่อนยั้ง
คล่องแคล่วดังรู้วิถีดีนักหนา
ทมยันตียินดีจนล้นอุรา
เฝ้าจับจ้องมองอยู่หน้าพระบัญชร
      ๏ ทั่ววังทองผ่องสีสันสวรรค์แสง
เจิดแจรง*เรืองจรัสประภัสสร
เหนือเมฆายินเสียงฟ้าประทานพร
มองอมรรุ่งอร่ามงามพิไล
     ๏ ที่สวนขวัญนกยูงงามรำแพนหาง
ร่ายรำอย่างสนุกสุขสดใส
ช้างลำพองร้องเสียงสังข์ดั่งอวยชัย
ทมยันตีมั่นใจในครานี้
      ๏ แม้นภัสดามิมาชมให้สมรัก
ไม่พบพักตร์ขององค์พระทรงศรี
ตัดสินใจไม่ขออยู่สู้ชีวี
จะขอพลีร่างให้พระเพลิงมลาน



แจรง*   กระจายออก,   ขยายออก
                                                              หน้า  ๑๓๔

     ๏ รำพึงใจใช่พระนลคนพูดปด
ทรยศต่อใครให้หักหาญ
สิ่งเลวทรามยามจิตดีมิแผ้วพาน
จะพิจารณ์ร้ายใครไม่เคยยิน
     ๏ พระทัยงามตามจิตจริตแท้
พระดูแลเมียดังหวังถวิล
ความจงรักมิจางใจไปจากจินต์
ตราบจนสิ้นชีวันจากกันไกล
     ๏ เทวีพิไรครวญป่วนในจิต
พบทรงสิทธิ์ชิดใกล้ได้ไฉน
 เป็นจริงจังดังคิดหรือผิดไป
ร้อนฤทัยระทมมิสมประดี
     ๏ ท้าวฤตุบรรณครั้นลงราชรถ
จุดกำหนดชานชาลาสารถี
เสด็จสู่ปราสาทในไม่รอรี
จึงท้าวภีมราชามาทักทาย
      ๏ มิได้รู้เบื้องลึกนึกฉงน
ถามเหตุผลที่แท้แก่สหาย
“ท่านรีบมาฉะนี้เหตุดีร้าย
ขอขยายให้แจ้งประจักษ์ใจ”




                                                              หน้า  ๑๓๕

      ๏ ครานั้นฤตุบรรณอันมีศักดิ์
ทรงฉลาดยิ่งนักด้วยรู้ได้
หากมีการสยมพรแน่นอนไซร้
เจ้ากษัตริย์น้อยใหญ่เต็มพารา
      ๏ พราหมณ์ทุกหมู่ผู้ชาญการพิธี
มาร่วมงานวันนี้มิพบหน้า
นึกคำนึงจึงเจ้าอโยธยา
เอ่ยความว่า “มาเยี่ยมองค์พระทรงธรรม์”
      ๏ ภีมราชก็รู้นัยว่าใช่ที่
อยู่ดีดีจะมาหาดังว่านั่น
 ร้อยโยชน์ไกลมิใช่ว่ามาเยี่ยมกัน
โดยไร้เหตุสำคัญอันบ่งชี้
       ๏ ชวนให้พักผ่อนกายหลายวันก่อน
นัยแฝงอยู่รู้แน่นอนมิอาจหนี
จึงเชิญเจ้าอโยธยาจอมธานี
“ขอจงมีสำราญพระหฤทัย”
      ๏ ครานั้นหนาวาหุกสารถี
นำพาชีสู่โถงโรงม้าใหญ่
ปลอบม้าเดิมที่พรากจากกันไกล
และม้าใหม่ให้ชินคุ้นกลิ่นกัน




                                                             หน้า  ๑๓๖

      ๏ แล้วทำความสะอาดราชรถ
โศกกำสรดถึงเทวีฤดีสั่น
สยมพรที่ว่ามาก่อนนั้น
ดูเงียบงันมิจริงจังดังวจี
      ๏ ทมยันตีมีใจดั่งไฟร้อน
จะพักผ่อนนอนมิได้ใจเต้นถี่
หากพระนลจำแลงมาในครานี้
หาวิธีให้เผยร่างได้อย่างไร
      ๏ รับสั่งเรียกเกศินีสาวพี่เลี้ยง
มานั่งเคียงปรึกษาฟังปราศรัย
อยากรู้ซึ้งถึงวาหุกถ้วนทุกนัย
ต้องซักไซ้เค้าความตามกระบวน
     ๏ เกศินีพี่เลี้ยงผู้ฉลาด
ไปสัมภาษณ์วาหุกสิ้นทุกส่วน
ด้วยลีลาคารมอันสมควร
เรื่องมาด่วนอยากรู้เหตุเจตนา
     ๏ “สยมพรพิธีที่กล่าวขาน
ท้าวอโยธยาท่านหมายมาหา
ด้วยพระองค์ทรงฤทธิ์คิดเมตตา
ช่วยธิดาพ้นโศกวิโยคใจ




                                                               หน้า  ๑๓๗
                                                              
     ๏ รู้ข่าวดีที่เวลากะทันหัน
มาเร็วพลันมิแวะวนแห่งหนไหน
วันเดียวบึ่งถึงวิทรรภ์พร้อมท้าวไท
ความเป็นไปทุกส่วนล้วนสัจจริง”
     ๏ ครานั้นนางเกศินีฟังที่เล่า
เริ่มซักเค้าความทั้งหลายไปทุกสิ่ง
“สารถีที่ตามมาน่าติติง
เขาเคยทิ้งพระนลหนีพ้นไกล”
     ๏ “พระนลผิดติดสกาเป็นบ้าคลั่ง
จะอินังการอาชาก็หาไม่
เขามีนามว่านายวาร์ษไณย
เคยรับใช้การอัศวพระนล”
     ๏ “เขารู้แหล่งแห่งหนพระนลหาย
หลีกเร้นกายจากไปกลางไพรสณฑ์
หรือรู้ที่แอบแฝงแหล่งตำบล
พระทรงพลซ่อนกายได้เนานาน”
     ๏ “เขามิรู้ความใดในสิ่งนี้
เมื่อพระนลมิมีการประสาน
คงอัดอั้นตันใจในการงาน
ฉะนั้นถึงไปพึ่งท่านฤตุบรรณ”




                                                             หน้า  ๑๓๘

       ๏ “อยากจะถามความท่านถึงกาลย้อน
เคยพบพราหมณ์ร้องกลอนก่อนไหมนั่น
เนื้อเพลงกลอนซ่อนนัยไว้สำคัญ
เคยยินคำรำพันว่าฉันใด”
     ๏ ด้วยหม่นหมองวาหุกร้องกลอนขึ้นว่า
“พ่อยอดรักนักสกาข้าอยู่ไหน
แบ่งเอาผ้าคลุมกายแล้วหายไป
ช่างกระไรไม่หันมาเมตตากัน
      ๏ หรือหลงลืมสัญญาว่ารักแท้
มิเปลี่ยนแปรจนชีวาเราอาสัญ
โอ้หงส์เอ๋ยเคยพร่ำเทิดจำนรรจ์
คำที่บอกหลอกฉันหรือหงส์ทอง
     ๏ มาทิ้งเมียเสียได้กลางไพรสณฑ์
สุดจะทนหม่นไหม้ฤทัยหมอง
เหลือผ้าครึ่งผืนไว้ให้เมียครอง
เฝ้าร่ำร้องหาผัวทั่วอรัญ
      ๏ เมียดีต้องร่วมเรียงอยู่เคียงผัว
ใกล้ชิดตัวชิดใจไม่แปรผัน
ผัวดีรักเมียลูกผูกสัมพันธ์
ทั้งสองนั้นคือคู่ครองครรลองธรรม




                                                             หน้า  ๑๓๙
    
     ๏ ขอมีจิตคิดเมตตาถ้ายังรัก
เมียผู้ภักดิ์ไห้หวนคอยครวญคร่ำ
แม้กินข้าวลงคอได้ไม่เต็มคำ
ยามกินน้ำก็ยังแค้นแน่นในทรวง
     ๏ อันสมบัติพัสถานพิมานแก้ว
ล่มลงแล้วดวงจิตมิคิดหวง
สวามีที่บูชากว่าทั้งปวง
อย่าลาล่วงโปรดจงคืนให้ชื่นใจ”)
      ๏ ยามวาหุกร้องกลอนในตอนนั้น
อกตื้นตันอัสสุชลล้นรินไหล
จำสะอื้นฝืนว่าด้วยอาลัย
เกศินีเข้าใกล้จ้องไม่วาง
     ๏ เห็นโศกศัลย์นั้นยิ่งเหมือนจริงแท้
จากดวงแดมิแสร้งแกล้งหมองหมาง
จึงถามย้ำคำที่ว่าอย่าอำพราง
“อันความอย่างตอบพราหมณ์มาว่าฉันใด”
     ๏ (“ฉันเกลียดชังเจ้าผัวที่ชั่วช้า
ทิ้งภรรยาง่ายง่ายได้ไฉน
โอ้แม่นางช่างระกำช้ำฤทัย
แต่ทำไมมิโกรธผัวที่ชั่วนัก




                                                             หน้า  ๑๔๐

     ๏ ผ้าเพียงกึ่งซึ่งให้ไว้ต่างหน้า
ต้องเอกากลางไพรทุกข์ใจหนัก
เมื่อผัวบ้าสการ้ายเหมือนคลายรัก
ใจเมียจักมิเคืองจิตนิดฤๅนา
     ๏ ทั้งที่ตกระกำชอกช้ำยิ่ง
แม่ยอดหญิงมิมีจิตคิดถือสา
ใจแม่นั้นเยี่ยงเทวัญบนชั้นฟ้า
ความดีแท้แลมาเป็นเกราะทอง”)
     ๏ ย้อนคิดย้ำซ้ำกล่าวเล่าหลายหน
เหมือนเร้ารุกทุกข์ทนเพิ่มหม่นหมอง
ผินหน้าพ้นชลนัยน์หลั่งไหลนอง
การจับจ้องเกศินีมิละตา
     ๏ น่าสงสัยใช่สะท้อนเพียงกลอนนั้น
ความจาบัลย์จากกมลตนมากกว่า
เหมือนพระนลตัวตนแท้แค่วาจา
แต่กายาต่างกันจนเกินการ
     ๏ ก่อนกลับหลังสั่งความคำยั่วเย้า
“จะโศกเศร้าเกินไปแล้วไหมท่าน
ตัวพระนลยังทนได้หายไปนาน
มิสงสารทมยันตีนี่กระไร

[/lef
[/font]t]


หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25 กรกฎาคม, 2557, 11:22:42 AM

                                                              หน้า  ๑๔๑

     ๏ ท่านหยุดยั้งรอฟังข่าวคราวตรงนี้
ฉันจักทูลทมยันตีที่ถามไถ่
หากพระนางยังต้องการความอันใด
รบกวนท่านขานไขให้อีกครา”
     ๏ ก่อนจะลาครานั้นนางเกศินี
ดูถ้วนถี่ไปทั้งปวงทุกท่วงท่า
ครบถ้วนคำจำจดพจนา
ทุกลีลาอารมณ์ทั้งชมชัง
     ๏ เมื่อมาถึงจึงบังคมก้มเกศี
กราบทูลทมยันตีตามที่สั่ง
เป็นความจริงทุกสิ่งไปไม่ปิดบัง
จึงสมดังพระนางไว้วางใจ
     ๏ เล่าความนั้นอันวาหุกตอบทุกถ้อย
“ช่างเรียงร้อยมิสะดุดหยุดตรงไหน
เช่นราชาพระนลภูวไนย
หม่อมฉันเคลิบเคลิ้มไปใช่จริงจัง
     ๏ ครั้นตอบความตามที่ให้พราหมณ์ไว้นั้น
มิผิดผันไปจากจิตที่คิดหวัง
อักขระวลีมิมีพลั้ง
แม้กระทั่งวรรคตอนแห่งกลอนเพลง




                                                              หน้า  ๑๔๒
          
   ๏ เห็นหม่นหมองต้องหลบหน้ากลบเกลื่อน
หม่อมฉันเตือนด้วยคำถามความเร้าเร่ง
จี้ตอกย้ำว่าโศกคำร่ำบรรเลง
เพื่อตนเองหรือโศกแสนแทนพระนล
     ๏ เขามิได้ตอบคำอ้ำอึ้งอยู่
หม่อมฉันดูแล้วเห็นน่าเป็นผล
ผิดแปลกแท้แต่กายีที่พิกล
ด้านอื่นใดไม่น่าพ้นพระภูมินทร์
      ๏ ยังสำทับก่อนกลับหลังสั่งความไว้
สิ่งพะวงสงสัยยังไม่สิ้น
จะย้อนมาถ้ายังหมองข้องใจจินต์
ขออย่าลาจากธานินทร์สู่ถิ่นใด”
     ๏ ใคร่ครวญความตามเกศินีกล่าว
บางเรื่องราวหายคลุมเครือเชื่อว่าใช่
แต่หลายข้อที่ยังข้องหมองดวงใจ
จักชำระกระไรต่อไปดี
     ๏ คิดแนวทางได้อย่างหนึ่งจึงเอ่ยว่า
“เกศินีช่วยเถิดหนาอย่าหน่ายหนี
ไปอีกครั้งตั้งตาในครานี้
ให้แอบดูท่าทีใกล้ที่นั้น




                                                             หน้า  ๑๔๓
  
     ๏ สั่งข้าไทไม่อำนวยห้ามช่วยเหลือ
การโอบเอื้อทั้งหมดงดแข็งขัน
ปล่อยให้ช่วยตนเองทุกสิ่งอัน
การสำคัญนี้ย้ำเรื่องน้ำไฟ
     ๏ เจ้าจงมองให้มั่นมิหันห่าง
ทุกท่าทางกระทำต้องจำได้
เห็นพิกลต่างจากคนอื่นทั่วไป
ดุจเทพไทรีบมุ่งหน้ามารายงาน
     ๏ ครานั้นนางเกศินีหน้าที่อยู่
คอยเป็นผู้เฝ้าระวังดั่งบรรหาร
ตากำหนดจดจ้องมองอาการ
ระยะก็พอประมาณมิกวนใจ
     ๏ เห็นกระทำสิ่งสำคัญอันชอบกล
ต่างจากคนสามัญนั้นทำได้
รีบกลับมารายงานอย่างทันใด
ตามเป็นไปเห็นกับตากล้ายืนยัน
     ๏ “หม่อมฉันดูอยู่มิไกลมิใกล้มาก
และมิอยากจะให้ใครเห็นฉัน
จนได้สบภาวะอัศจรรย์
ดุจเทวัญท่านดลด้วยมนตรา




                                                              หน้า  ๑๔๔

     ๏ เขาทำการโภชนาอีกหน้าที่
ฝีมือดีปรุงเครื่องต้นรสเลิศหล้า
ต้องพระทัยเจ้ากรุงอโยธยา
เมื่อทำการโภชนาพาตะลึง
   ๏ ทั้งเนื้อปลาเนื้อสัตว์ที่คัดสรร
ใส่หม้อนั้นเหมาะสมแกงต้มนึ่ง
แค่ตาจ้องมองหม้อนึกคำนึง
ไยน้ำจึงเต็มหม้อขึ้นมาพลัน
      ๏ หยิบฟางแห้งกรอบแดงอยู่ชูขึ้นฟ้า
ไฟลุกมาให้เห็นกะทันหัน
ยื่นใส่เตาเป่าเปลวไฟจนไร้ควัน
ทำการฉันอัคคีเย็นดีจริง
     ๏ กองดอกไม้ใช้เก่าเฉาแห้งอยู่
เขาผ่านดูพลันดีสีสดยิ่ง
กลิ่นโชยฉมชวนดมมากจากที่ทิ้ง
เห็นหลายสิ่งอัศจรรย์พันลึกดี
     ๏ กระทำการอันใดฉับไวแสน
มิคลอนแคลนมั่นคงตรงหน้าที่
อันกิริยาทั้งหลายได้กล่าวนี้
ถ้วนวจีเป็นสัจจังดังรายงาน




                                                              หน้า๑๔๕

     ๏ ทมยันตียินคำพร่ำเฉลย
สิ่งที่คิดมิผิดเลยกับเล่าขาน
ยินคำพรเทวะแปดประการ
สิ่งบันดาลประสิทธิ์เทพฤทธา
     ๏ คือองค์อัคนีเทพนั้น
ให้พรแห่งเทวัญอันเลิศหล้า
ตรัสเรียกไฟได้ดังตั้งจินดา
ทัณฑธรเทวาให้รสล้ำ
     ๏ ผู้ใดกินอาหารท่านปรุงแล้ว
มิคลาดแคล้วปลาบปลื้มใจดื่มด่ำ
พระวรุณมอบพรให้ไว้เรียกน้ำ
แลอีกคำใกล้มาลีมิโรยรา”
     ๏ คิดข้อที่พิสูจน์ได้หวังให้ชัด
เกศินีรับปฏิบัติเหมือนดังว่า
ให้ไปจ้องมองจังหวะพระเผลอตา
หยิบชิ้นเนื้อหรือปลาหลังปรุงดี
     ๏ รีบเอามาข้าจักชิมลองลิ้มรส
เคยชินอยู่รู้หมดรสกลิ่นสี
ในครานั้นแลนางเกศินี
เริ่มทำงานทันทีไม่รอช้า




                                                             หน้า  ๑๔๖
  
     ๏ พระเผลอไผลจึงได้ฉวยเนื้อชิ้นน้อย
แล้วค่อยค่อยย่องหนีมิพบหน้า
อย่างเร็วไวไปถวายพระธิดา
ยังอุ่นอุ่นจึงชายาเสวยพลัน
     ๏ จึงเผลอจิตกรีดร้องก้องปราสาท
ใช่แน่พระนลนาถผู้เสกสรร
รสชาตินี้คุ้นนักหนามานานวัน
มิผิดผันเที่ยงแท้แน่จริงเจียว
     ๏ หลายหลายสิ่งจริงจังสมดังคิด
ค่อยทอนจิตเรรวนชวนเฉลียว
พระรักบุตรสุดชมอย่างกลมเกลียว
อีกสิ่งเดียวจักเกิดการณ์เป็นฉันใด
     ๏ ให้เรียกหาบุตราบุตรีเฝ้า
“เกศินีพาสองเจ้าทำงานใหญ่
นิ่งเฉยนะเขาจะว่ามาอย่างไร
ฤๅล่วงเกินกายใจให้พึงทน”
     ๏ “พร้อมแล้วนำลูกเราเจ้าทั้งสอง
ไปเพื่อลองใจดูคงรู้ผล
ถ้ารักลูกผูกพันนั้นพระนล
ใจดำจนหมางเมินก็เกินการ”




                                                             หน้า  ๑๔๗
 
     ๏ เกศินีจึงนำราชนัดดา
ไปถึงหน้าวาหุกพลันตามบรรหาร
มิให้ทันเตรียมตนกมลมาน
ดันสองหลานเข้าไปหามิช้าที
     ๏ พระนลในร่างร้ายได้พบพักตร์  
บุตรสุดรักอินทรเสนพระโฉมศรี
และอินทรเสนากุมารี
เกิดปรีดีปลาบปลื้มถึงลืมตน
     ๏ เข้าโอบกอดจุมพิตด้วยคิดถึง
สุชลจึงนองหน้ามาอีกหน
“โอ้ลูกจ๋าพ่อทำตัวชั่วเกินคน
หมางกมลลูกไกลแต่วัยเยาว์”
     ๏ เกศินีถาม “ความนั้นเป็นไฉน”
จึงตกใจว่า “โศกซึ้งถึงกาลเก่า
จำพรากบุตรธิดามานานเนา
ขอโทษเราเผลอใจไปจริงจริง”
     ๏ เกศินีจึงพานัดดากลับ
ทูลความกับทมยันตีสิ้นทุกสิ่ง
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยใดไม่มีทิ้ง
เหมือนกันยิ่งกิริยาทุกท่าที




                                                              หน้า  ๑๔๘

   ๏ การณ์ทั้งหลายได้กำหนดบทพิสูจน์
ทุกคำพูดกระทำใดไม่หลีกหนี
ตระหนักแน่แท้ตัวตนนลบดี
นำเรื่องนี้ทูลท่านพระมารดร
     ๏ ลำดับความตามเดิมแต่เริ่มต้น
วาหุกหรือคือพระนลอดิศร
พิสูจน์ได้ไม่คิดผิดแน่นอน
วานวิงวอนพระบิดาโปรดปรานี
     ๏ ขอพระอนุญาตให้ไปหา
หรือบัญชานำเขาเข้ามานี่
หม่อมฉันจะเจรจาวอนวจี
ขอภูมีเฉลยเผยพระองค์
     ๏ พระมารดาทูลราชาภีมราช
ทรงประกาศให้เข้าวังดังประสงค์
กองวังทำตามนั้นเป็นมั่นคง
เชิญดำรัสปิตุรงค์มุ่งตรงไป
     ๏ ให้วาหุกเข้ามายังเขตวังรัตน์
อันจะข้องจะขัดย่อมมิได้
ครานั้นนลราชาจึงคลาไคล
ต่อเยื่อใยอนงค์องค์ชายา




                                                             หน้า   ๑๔๙

     ๏ ครั้นพระนลผู้ร่างร้ายได้มานั่ง
เหมือนจังงังเมื่อราชันประจันหน้า
พระพักตร์แม่หมองหม่นจนผิดตา
ห่มผ้ากาษายวัสตร์ตัดฤทัย
     ๏ ให้รู้เห็นเป็นหญิงหม้ายผัวหายสูญ
ดูอาดูรทุกข์ทนเหลือหม่นไหม้
คำนึงครวญหวนโศกวิโยคใจ
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพรู
     ๏ ทมยันตีมีใจในส่วนลึก
ยิ่งรู้สึกกำสรดแสนหดหู่
เมื่อได้จ้องมองนัยนาดู
เหมือนหยั่งรู้วูบวาบปลาบฤดี
     ๏ โอ้พระองค์จำนงใดไม่เผยร่าง
เคืองระคางสยมพรก่อนมานี่
หรือมีเรื่องเคืองใดอยู่ในที
หรือกรรมมีให้กายร้ายทั้งปวง
     ๏ สุดจะกลั้นสุชลหล่นรินไหล
หัวอกสั่นหวั่นไหวอย่างใหญ่หลวง
ต่างคนต่างตื้นตันอัดอั้นทรวง
ทั้งสองดวงฤดีสิ้นปรีดา




                                                             หน้า  ๑๕๓
    
     ๏ ครั้นเมื่อทมยันตีมีสติ
ตามดำริเริ่มตัดพ้อพร้อมต่อว่า
“ขอเถิดนะสารถีมีปัญญา
ตอบวาจาตามสัจจะอย่าประวิง
     ๏ อันชายใดได้ชื่อว่าซื่อนัก
แลถือหลักเที่ยงธรรมล้ำเลิศยิ่ง
สัญญาไว้ให้ประจักษ์ว่ารักจริง
แล้วทอดทิ้งเมียอ้างว้างอยู่กลางไพร
     ๏ คงเป็นคนใจดำทำเช่นนี้
ฤๅเมียที่อยู่ชิดผิดตรงไหน
ปล่อยเมียทุกข์ระทมตรมฤทัย
พร่ำเรียกผัวทั่วไพรพนาวัน
       ๏ เชื่อหรือไม่ชายใจดำที่พร่ำหา
คือพระนลราชาฟ้ารังสรรค์
พระลืมเลือนเหมือนไม่ใช่คู่กัน
เสียแรงฉันจงรักมั่นภักดี
     ๏ ต่อหน้าองค์เทวาสัญญาไว้
จะรักมั่นมิให้เมียเสียศรี
รักยืนนานตราบวันสิ้นชีวี
พระมิมีสัจจาดังว่าเลย”




                                                              หน้า  ๑๕๑

     ๏ จะตัดพ้อต่อไปมิไหวแน่
ปวดดวงแดทุกวจีที่เอื้อนเอ่ย
ชลนัยน์ไม่หยุดสุดเปรียบเปรย
จึงทรามเชยนิ่งสงบหลบสายตา
     ๏ พระฟังคำรำพันอัดอั้นจิต
ขืนปกปิดบังกายคล้ายมุสา
จึงกล่าวคำพร่ำเฉลยเผยวาจา
“ใจร้ายจริงทิ้งชายาทมยันตี
     ๏ เพราะมิรู้ตัวตนจนทำผิด
กลีร้ายแรงฤทธิ์สิงจิตพี่
ตั้งแต่การคลั่งสกาเสียธานี
สิ้นราศีสูญทรัพย์แทบอับปาง
   ๏ มันหมายให้เราสิ้นรักหักสวาท
จนตัดขาดแยกไกลใจหมองหมาง
ทมยันตีมีใจไม่ราร้าง
ตามมากลางพนาวันมันยิ่งแค้น
     ๏ คราเมื่อทมยันตีมีคำแช่ง
กลีเริ่มอ่อนแรงไม่โลดแล่น
พอนาคีกัดพี่ที่ดงแดน
พิษร้ายเผากลีแทนร้อนสุดทน




                                                             หน้า  ๑๕๒

     ๏ ครั้นพี่ได้หัวใจสกาขลัง
สิ้นพลังออกจากกายบุญให้ผล
แต่กลางทางที่มานี้พี่จึงพ้น
เป็นตัวตนเหมือนเกิดใหม่ได้อีกครา”
     ๏ “อย่าคิดไปว่าใจพี่นี้มิช้ำ
แสนระกำคั่งแค้นแน่นนักหนา
มิเคยจะลืมอนงค์องค์ชายา
ยิ่งแก้วตารักหวงดวงฤทัย
     ๏ และช้ำหนักยิ่งกว่าในครานี้
เมื่อทมยันตีคิดมีใหม่
ป่าวร้องให้ต้องอายกระจายไกล
ช่างกระไรสองหรือสมสยมพร
     ๏ พระมารดาแลราชาภีมราช
มิบังอาจต่อว่าแต่น่าสอน
มิให้น้องหมองมัวทั่วนาคร
ใดจะร้อนเท่าอกผัวผู้ชั่วช้า”
     ๏ ครานั้นทมยันตีฤดีร้าว
ฟังคำกล่าวขื่นขมนั่งก้มหน้า
เมื่อยินความตามพระพจนา
คำพ้อพากายสั่นสะท้านไป




                                                             หน้า  ๑๕๓

   ๏ จำกล้ำกลืนยืนยันเสียงสั่นเครือ
“ฤๅพี่เชื่อว่าน้องชั่วเช่นนั้นได้
มิมีจิตคิดคดกบฏใจ
ตราบบรรลัยก็อย่าหวังเป็นดังนั้น
     ๏ อนาถเหลือพี่มาเชื่อว่าน้องชั่ว
กระทำตัวปานว่าหญิงก๋ากั่น
เสียแรงที่มิเลือกองค์วงศ์เทวัญ
มารักมั่นทุ่มใจให้พระนล
   ๏  ทิ้งให้น้องร้องให้ใจแทบขาด
อยู่ในป่ามิสามารถรู้แห่งหน
ถึงมรรคาพบพ่อค้าทุรชน
ก็รวมตนกันจะมาฆ่าให้ตาย
     ๏ จนเร่ร่อนลุนครธรรมเจที
พระชนนีมีเมตตามากล้นกลาย
ให้อยู่วังตั้งหลักพักผ่อนกาย
ช่วยตามหาพระฤๅสายอลวน
     ๏ กลับวิทรรภ์ผลักดันให้พราหมณ์ไปหา
ภัสดาที่หายกลางไพรสณฑ์
ฝากลำนำความนัยให้ทุกคน
เฝ้ารอจนพราหมณ์ปรรณาทมา




                                                              หน้า  ๑๕๔
    
     ๏ แล้วเล่าความตามนัยสารถี
โศกโศกีตอบคำที่พร่ำว่า
เมื่อน้องได้ครวญคิดพิจารณา
ความนั้นพาเชื่อถือคือพระองค์
     ๏ ออกอุบายให้เน้นเป็นความลับ
พระบิดามิสดับกับเสริมส่ง
ทั้งสิ้นนี้ที่ทำเจตจำนง
มุ่งประสงค์พบหน้านลราชัย
     ๏ ซักซ้อมพราหมณ์ยามแสดงต้องแข็งขัน
มิให้ท้าวฤตุบรรณนั้นสงสัย
สุเทพพราหมณ์ทำดังที่ตั้งใจ
คิดตามกลคนทั่วไปได้รู้กัน
     ๏ ด้วยสำแดงว่าแจ้งข่าวเล่าขานทั่ว
มาบอกให้รู้ตัวกะทันหัน
รู้ร้อยโยชน์ระยะทางที่ห่างนั้น
ชั่วหนึ่งวันมาทันเพียงพระทรงพล”
     ๏ “ชีวิตนี้มีรักหนึ่งตราตรึงจิต
มิมีคิดกักขฬะอกุศล
ไม่จริงจังดังแถลงแจ้งยุบล
ขอให้กายมลายป่นในพริบตา




                                                              หน้า  ๑๕๕  

     ๏ ไหว้วิงวอนปวงเทวัญอันสูงส่ง
ขอโปรดจงเป็นพยานเถิดท่านขา
หากคิดคดกบฏรักภัสดา
ขอสายฟ้าฟาดลงปลงชีวัน
     ๏ ไหว้วอนองค์เทวินทร์พระอินทร์ท่าน
เป็นพยานวาจากระหม่อมฉัน
โอมสาธุถ้ามุสาใจอาธรรม์
จงสาปให้อาสัญเทพบันดล”
     ๏ เมื่อยลยินถึงอินทราเทวราช
คำประกาศทมยันตีก็มีผล
เสียงแห่งฟ้าเทวาพร้องก้องสกล
จากเวหนบรรหารกังวานไกล
     ๏ “ดูราพระนลวิมลรัตน์
เป็นคำสัจทุกอย่างนางขานไข
คงจงรักภักดีมิปันใจ
มิเคยได้ทำตนเปื้อนมลทิน
     ๏ ทั้งสามปีที่กาลผ่านมานี้
กรรมอันมีทุกบทจบหมดสิ้น
เลิกกังขาอย่าสับสนนลบดินทร์
วางชีวินสุขสราญสืบสานไป”




                                                             หน้า  ๑๕๖

      ๏ คำยืนยันด้านกุศลโลกยลยิน
อันองค์อินทราธิราชประสาทให้
จบลงแล้วเทพทั่วฟ้าเทวาลัย
โปรยดอกไม้บุปผาสุมามาลย์
     ๏ เสียงบรรเลงเพลงสวรรค์สนั่นก้อง
ท่วงทำนองเสนาะไพเราะหวาน
ชาวประชาพาชื่นรื่นสราญ
จัดพุ่มพานสักการะถวายพระพร
      ๏ ทั้งสององค์ก้มลงกราบปลาบปลื้มจิต
พระมหินท์มหิทธิอดิศร
ทมยันตีก้มพนมกร
วางอาวรณ์เริ่มชีวีมีชีวา
      ๏ ขอบพระคุณเทวาฟ้าสวรรค์
ผู้สร้างสรรค์สุกใสให้โลกหล้า
ทรงปกปักษ์รักษ์คนดีมีเมตตา
ลิขิตฟ้ามิเอนเอียงคงเที่ยงธรรม
     ๏ ผู้สร้างสรรค์กุศลผลกรรมดี
หนุนชีวีมีชัยไม่ตกต่ำ
เมื่อทำผิดพลาดไปชดใช้กรรม
ชนพึงพร้อมน้อมนำคำพระพุทธ




                                                             หน้า  ๑๕๗

     ๏ หลักของกรรมสำคัญนั้นจริงแท้
มิแปรผันคงเดชวิเศษสุด
พึงสำนึกมั่นไว้ในใจมนุษย์
คือมงกุฎแห่งธรรมพุทธสำแดง
      ๏ ทมยันตีนึกขึ้นได้ใคร่เห็นหน้า
จึงกล่าววอนอ้อนว่า “อย่ากลั่นแกล้ง
ให้น้องรอจนระโหยราโรยแรง
ขอสำแดงรูปที่รักประจักษ์ใจ”
     ๏ พระนลยินผินพักตร์มาว่า “เมียพี่
ต่อแต่นี้สิ้นทุกข์สุขสดใส”
แล้วนำผ้าทิพย์นุ่มคลุมองค์ไว้
หวนฤทัยนบน้อมจอมนาคี
     ๏ ผ้าทิพย์หายกลายเห็นเป็นนลราช
พักตร์ผุดผาดผิวพรรณวรรณฉวี
มิผิดเพี้ยนเปลี่ยนใดสดใสดี
ทมยันตีตื่นตาผวาไป
     ๏ สิ้นระกำพร่ำพรอดกอดพระบาท
นารีนาถคร่ำครวญหวนร่ำไห้
สุดปลาบปลื้มดื่มด่ำพร่ำพิไร
เฝ้าชมโฉมโลมไล้ไม่ห่างกัน




                                                             หน้า  ๑๕๘
        
     ๏ พระจุมพิตสนิทยอดเสน่หา
ขวัญจงมาจูบประทับขอรับขวัญ
เอ่ยวาจาสายตาช้อนอ้อนรำพัน
แล้วผายผันสู่ห้องสองลูกยา
     ๏ “สองลูกเราเจ้าพระคุณผู้บุญปลูก
พ่อแม่ลูกชิดใกล้ได้พร้อมหน้า
แต่นี้ไปจะไม่พรากจากไกลตา”
กอดบุตราบุตรีมิเว้นวาง
      ๏ ทมยันตีชวนพระองค์สรงสนาน
ให้ชื่นบานหัวใจใสสว่าง
พระพิศมองกันและรำพันพลาง
“โอ้น้องนางพี่ซูบหม่นจนเหลือใจ”
     ๏ พระระทมซมซบลงตรงกลางทรวง
สุดาดวงผิวเคยผ่องดูหมองไหม้
ช่วยต่อตอบปลอบประคองสองฤทัย
คลายโศกาอาลัยหายกังวล
     ๏ สองพระนางต่างพลอดหยอดคำหวาน
รอมานานการได้กอดกันอีกหน
พระแนบชิดสนิทเนื้อนิรมล
สวาทล้นอุราพระภูวไนย




                                                               หน้า  ๑๕๙
 
     ๏ ดั่งโลกแล้งแห้งเหือดมหรรณพ
โศกซมซบสิ้นสีมิสดใส
พระพิรุณโรยรายโปรยปรายไป
ชโลมไล้ให้ชื่นทั้งปฐพี
     ๏ คนยามสิ้นเสน่หาคราร้างรัก
ทรวงแล้งหนักร้อนในไร้สุขี
เมื่อรักคืนจึงชมสมชีวี
สุขฤดีทรวงชิดสนิททรวง
     ๏ ภิรมย์รื่นคืนวันมิหันห่าง
พร่ำพลอดพลางถามตอบมอบรักหวง
ผลัดกันเล่าความหลังไปทั้งปวง
ครั้งลาล่วงแรมร้างอยู่กลางดง
     ๏ คนห่างไกลไร้คู่อยู่เคียงชิด
กลับสนิทต่างสนองปองประสงค์
สวรรค์สวาทพิลาสพิไลสมใจจง
แนบสนิทชิดอนงค์ทั้งราตรี
     ๏ ครั้นรุ่งสางสว่างแสงแห่งตะวัน
นลราชันชวนชายามารศรี
ขึ้นวังราชกราบบาทบุพการี
เอกองค์ภีมราชะพระมารดร




                                                             หน้า  ๑๖๐

     ๏ พระนลลงกราบก้มบังคมบาท
พร้อมนุชนาฏทมยันตีศรีสมร
สารภาพทำหยาบช้าลือนาคร
พร้อมรับพรจากภีมะราชา
     ๏ “พระเมตตาปรานีที่ยิ่งแล้ว
มิคลาดแคล้วกลับมาพบประสบหน้า
ขอประทานอภัยพระบิดา
ที่แล้วมาความผิดนั้นมหันต์นัก
     ๏ สยมพรธิดาแก้วตาราช
แลบังอาจทำนางทุกข์อย่างหนัก
ทอดทิ้งไปคล้ายตัดสลัดรัก
มิได้ภักดิ์ดังสัจจาที่ว่าไว้
    ๏ พระบิดาพระมารดาในครานั้น
พลอยโศกศัลย์อันมิน่าอภัยให้
เสนาพราหมณ์ตามหาพาราไกล
ทั้งข้าไทใหญ่น้อยพลอยเดือดร้อน”
   ๏ ภีมราชยินคำพร่ำรำพัน
พระจึงพลันตรัสว่า “จงช้าก่อน
ความเป็นมาข้าเข้าใจไม่อุทธรณ์
เมื่อตัดรอนกรรมเก่าสิ้นยินดีแล้





หัวข้อ: Re: นิทานพระนลคำกลอน (ฉบับก่อนพิมพ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25 กรกฎาคม, 2557, 11:25:31 AM


                                                              หน้า  ๑๖๑
  
     ๏ ต่อภายหน้าอย่าทุกข์สุขสมสอง  
รักเคียงครองนานเนาจนเฒ่าแก่
เธอคือปิยบุตรสุดดีแท้
เทพดูแลพิทักษ์ปกปักกาย
     ๏ จะจัดงานรับขวัญอันอะคร้าว
ร่วมกับชาวเวียงชัยดังใจหมาย
ทำบุญทานการพลีมิเว้นวาย
เทิดถวายเทวาสิบห้าวัน”
     ๏ งานมหามงคลดลสดใส
ฉลองใหญ่ในธานีศรีเขตขัณฑ์
ปวงประชาทั่วไปในวิทรรภ์
ร่วมประชันจัดปรับประดับประดา
      ๏ ทั้งเรือนบ้านร้านถนนทุกหนแห่ง
สรรค์ตบแต่งธวัชจัดจีบผ้า
อุบะสีมาลีสายรายชายคา
กลิ่นบุปผารวยรื่นชื่นฤทัย
     ๏ ชาวเวียงวังทั้งหลายได้ฉลอง
ข่าวแซ่ซ้องลือเลื่องเมืองไหนไหน
ร่วมฉลองกันขยายกระจายไป
สุดบ้านไร่ปลายนาสุขทุกคุ้งแคว




                                                             หน้า  ๑๖๒

     ๏ ในครานั้นท่านท้าวอโยธยา
ได้ทราบความตามเป็นมาจนแน่วแน่
สารถีคนดีนั้นที่แท้
ราชศักดิ์ประจักษ์แดเท่าเทียมกัน
     ๏ คือราชาพระนลวิมลรัตน์
ผู้จำพรากจากสมบัติพลัดเขตขัณฑ์
ดีเหลือใจได้ปลูกผูกสัมพันธ์
แลกแบ่งปันสิ่งประเสริฐเลิศวิชา
     ๏ ทมยันตีมีชู้ชื่นคืนสุขรัก
ยินดีด้วยยิ่งนักเป็นหนักหนา
ได้มาร่วมงานฉลองปองปรีดา
ทั้งสององค์ทรงเข้าหาถวายพระพร
     ๏ สนทนาวิสาสะปิยมิตร
ใครทำผิดพลาดพลั้งครั้งเก่าก่อน
ขออภัยกันและกันโทษบั่นทอน
สองพระกรคล้องกันมิฉันทา
   ๏ ท้าวฤตุบรรณว่าจะลากลับ
“วันพรุ่งนี้สุรีย์จับขึ้นขอบหล้า
คงต้องถึงซึ่งกาลอันควรลา
คืนพาราแห่งเราราษฎร์เฝ้ารอ




                                                              หน้า  ๑๖๓
  
     ๏ เป็นแน่แท้เทียวว่าวาร์ษไณย
มิหมายใจสู่อโยธยาต่อ
นายเดิมคืนมาเป็นคนเคยถูกคอ
ใจจดจ่อเช่นกันเรานั้นรู้
    ๏ ครั้งเดินทางมากลางไพรได้จดจ้อง
คงจิตข้องเรื่องนายเก่าของเขาอยู่
เห็นสายตาทุกเวลาที่พิศดู
ประหนึ่งผู้ใกล้ชิดเชิงอาชา”
   ๏ “แม้นหากนายวาร์ษไณย์มิไปด้วย
ฉันจักช่วยราชันคัดสรรหา
ผู้ที่มีฝีมือการขี่ม้า
ในวิทรรภ์พารามาทดแทน
     ๏ ณ เมืองนี้ฝีมือม้าหาด้อยไม่
ต้องหาได้เร็วพลันเป็นมั่นแม่น
คัดมือหนึ่งเยี่ยมดีแห่งดินแดน
จนเหมือนแม้นปรารถนาราชาชัย”
     ๏ “ความคิดท่านนั้นดีที่ปรารถนา
จะสรรหาสารถีดีให้ใหม่
แต่ขอขัดตัดประเด็นมิเป็นไร
หมายเพียงได้ผู้ร่วมทางเพียงอย่างเดียว




                                                              หน้า  ๑๖๔
          
     ๏ กลับอโยธยาในครานี้
แผนงานที่ตั้งไว้ใจเด็ดเดี่ยว
การเรียนที่ปฏิบัติจึงชัดเจียว
ผิดแท้เทียวถ้าเพียงผู้รู้ในใจ
     ๏ ความเชี่ยวชาญอยู่ที่การได้ฝึกหัด
พบปัญหาสารพัดจัดการได้
แม้นกีฬาวิชาการด้านใดใด
มิฝึกซ้อมความพร้อมไม่มีเพียงพอ
     ๏ เมื่อเป็นที่ตกลงจำนงหมาย
สิ่งทั้งหลายมิบกพร่องดังร้องขอ
สุริยาจะมาเยือนเตรียมเลื่อนล้อ
รถพร้อมรอตะวันมาเปิดฟ้าราง
     ๏ ท่านท้าวฤตุบรรณมั่นใจว่า
การได้ลาจากจรตอนรุ่งสาง
ร้อยโยชน์นั้นมั่นไปไม่ละวาง
ถึงปลายทางยามสายัณห์สุริยน
     ๏ ทั้งพระนลทมยันตีภีมราช
ส่งเสด็จแล้วรถปราดดังคาดผล
เมื่อหัวใจแห่งอาชามาเปี่ยมล้น
ปลื้มกมลปฏิบัติอัศวการ
    .................................



                                                            หน้า  ๑๖๕

     ๏ พระนลพักวิทรรภ์ครั้นครบเดือน
ช่างไวเหมือนไม่รู้ว่าเวลาผ่าน
รู้สึกคล้ายได้พบกันแค่วันวาน
ยามสราญเร็วกว่าระทมฤทัย
     ๏ สมควรแก่เวลาแล้วครานี้
เหมือนไปตีพาราคืนมาใหม่
เมื่อตัวตนพ้นชั่วตัวจัญไร
มิมีใครมาขวางทางเราแท้
      ๏ แม้นสู้กันด้านเชิงฤทธิรุทร
ก็จักกุดหัวมันบรรลัยแน่
แต่ขอเข้าเป้าหมายเคยพ่ายแพ้
จักย้อนแก้กลับชนะการสกา
     ๏ แล้วเข้าเฝ้าทูลท้าวภีมราช
ขอทรงพระอนุญาตจัดทัพกล้า
พร้อมพหลพลพยุหเสนา
ทัพกรีธาสู่นิษัธในบัดนั้น
     ๏ พร้อมสิบหกช้างศึกห้าวฮึกหาญ
ทแกล้วชาญการรบครบแข็งขัน
ห้าสิบกองอัศวะพร้อมประจัญ
รถนำนลราชัน วาร์ษไณย




                                                             หน้า  ๑๖๖

     ๏ ทัพมาถึงซึ่งแผ่นดินถิ่นนิษัธ
ปวงชนรู้ถนัดว่าทัพใหญ่
เป็นทัพของพระนลพลไกร
ต่างดีใจไชโยโห่ร้องกัน
     ๏ ถึงวาระอนุชาบุษกร
ผู้ครอบงำนครเกิดไหวหวั่น
มิชาญศึกฮึกโหมการโรมรัน
กำลังพรั่นพระนลมาหน้าบัลลังก์
     ๏ กลับมาพบสบตากันประจันหน้า
นลราชาแข็งขันพลันรับสั่ง
“สบายใจไหมน้องครองเวียงวัง
ความหนหลังหมองหมางขอล้างไป
     ๏ อย่าคิดหวั่นอันมลานด้วยการรบ
รู้ดีเจ้าเจนจบก็หาไม่
ยิงธนูดอกเดียวมิเหลียวใด
พุ่งทะลวงดวงใจเจ้าตายพลัน
     ๏ หรือจักโหมโรมรันการฟันฟาด
คอเจ้าแน่แท้ขาดด้วยพระขรรค์
ผิว์ข้าแพ้สกามานานวัน
ท้าพนันครั้งนี้ด้วยชีวิต




                                                             หน้า  ๑๖๗
  
     ๏ หากข้าแพ้แดดิ้นสิ้นสลาย
อันเจ้าหมายทมยันตีอาจมีสิทธิ์
จะเลือกสู้ประตูใดตามใจคิด
อย่าเบือนบิดต้องตอบพลันในทันที”
     ๏ บุษกรคลายวิตกอกระรื่น
กลับชมชื่นฉับพลันเลิกฝันหนี
คิดการณ์ไกลไปได้ชมทมยันตี
ยิ่งยินดีในการทอดสกา
     ๏ ยังหลงเริงเหลิงในชัยชนะ
เรานี้จะแพ้พ่ายไร้ทีท่า
ดีเกินการณ์นานปีที่ผ่านมา
นลราชาไม่ตายมิวายเกรง
     ๏ “โอ้มาเถิดพี่ยามาต่อสู้
ฉันรออยู่ทอดสกากับคนเก่ง
มินึกพรั่นอันใดใจนักเลง”
ทำครื้นเครงกล่าวความด้วยย่ามใจ
     ๏ “การพนันกันถึงปลิดชีวิตนั้น
จักเล่นกันหลายคราหาได้ไม่
ย้ำวาจาว่าพร้อมยอมชิงชัย
ต้องการให้ยืนยันเป็นมั่นคง”




                                                                หน้า  ๑๖๘
                                                                                
     ๏ แล้วเมื่อการสกาคราเริ่มต้น
แลพระนลเกิดนิมิตฤทธิ์เสริมส่ง
จนหัวใจสกามาดำรง
ดังจำนงแห่งราชาฤตุบรรณ
     ๏ จึงทอดได้ดั่งหวังครั้งเดียวแท้
บุษกรต้องพ่ายแพ้นั่งตัวสั่น
แล้วหมอบราบกราบก้มบังคมคัล
เมื่อรู้ว่าชีวันต้องบรรลัย
      ๏ “น้องข้าเอ๋ยจะเฉลยเรื่องความหลัง
ให้เจ้าฟังเสียให้คลายสงสัย
สกาก่อนทวาบรนั้นสิงใน
กลีงำข้าไว้ได้เช่นกัน
     ๏ เจ้านั้นจึงเป็นฝ่ายได้ทุกครั้ง
ใช่ลำพังฝีมือเจ้าดีเข้าขั้น
หากบัดนี้การณ์มิเป็นไปเช่นนั้น
แต่มิเอ่ยเย้ยหยันสรรวาจา
     ๏ ซึ่งการจะประหารเจ้านั้นไซร้
ถ้าตั้งใจทำได้นานการเข่นฆ่า
แต่คิดตัดเวรกรรมมินำพา
เว้นชีวาให้เจ้าอยู่ยาวนาน




                                                             หน้า  ๑๖๙

     ๏ แลจักให้ไปดำรงรัชบุรี
ครองธานีแดนดินถิ่นสถาน
ราชทรัพย์นับคณาจะประทาน
ด้วยสงสารแลมีจิตคิดอภัย”
     ๏ บุษกรครานั้นตื้นตันจิต
อันความผิดมิน่าอภัยให้
ยังได้รับกรุณาจากราชัย
อภิวาทลงไปแทบบาทา
     ๏ “ขอพระเกียรติพระนลวิมลสรรค์
เรืองจรัลแผ่ไปในโลกหล้า
ขอบคุณพระวรเดชผู้เมตตา
แล้วทูลลาจากนครจรเมืองไกล    
     ๏ ปางนั้นเหล่าเสนามหาอำมาตย์
ประชาชาติรับขวัญกันยิ่งใหญ่
ละลานแลแห่แหนแน่นกรุงไกร
ล้วนหมายใจร่วมวาระฉลองการ
     ๏ หากพระนลยินดีมีดำรัส
รอฉลองตั้งกองจัดทวยทหาร
เป็นทัพใหญ่แต่มิใช่ไปรอนราญ
บรรทัดฐานยิ่งระดับทัพเทวา




                                                             หน้า  ๑๗๐

     ๏ ทัพช้างแต่งกายช้างอย่างสวยสด
ทัพม้าทรงราชรถงามสง่า
แต่งเต็มยศหมดพหลพลเสนา
ออกยาตราสู่วิทรรภ์ขวัญธานี
     ๏ รับชายายอดฤทัยสายสวาท
ผู้นิราศแรมร้างห่างกรุงศรี
เพื่อเป็นการปลอบขวัญทมยันตี
จากชีวีตกต่ำสุดดุจเดนคน
     ๏ การคืนวังดังหมายให้ปรากฏ
สมพระยศมเหสีทวีผล
ให้ลือเลื่องเฟื่องไกลในสากล
ประชาชนกล่าวถึงอื้ออึงไป
     ๏ ณ วิทรรภ์ทมยันตีดีใจล้น
รู้พระนลทวงพารากลับมาได้
ยกทัพมารับชายาคืนเวียงชัย
อย่างเกริกไกรลือเลื่องเฟื่องอาณา
     ๏ ราชบุตรและราชบุตรี
ก็เปรมปรีดิ์เปี่ยมสุขทุกถ้วนหน้า
เมื่อพระนลเสด็จยังวังราชา
ขึ้นกราบลาองค์ภีมราชัน




                                                              หน้า  ๑๗๑

     ๏ รับพรว่า “ภายหน้าไปให้สมหวัง
ทุกอย่างดังดวงใจที่ใฝ่ฝัน
กุมารากุมารีสองศรีนั้น
สอนให้มั่นในบุญคุณความดี
     ๏ ขันติธรรมนำผลงามในยามทุกข์
เมื่อผ่านพ้นจึงดลสุขเกษมศรี
อย่างพระนลและทมยันตี
ผ่านชีวีระทมแล้วสมปอง
     ๏ อุปสรรคจักสลายเมื่อใจสู้
หลักโลกคู่กันคือทุกข์สุขทั้งสอง
ดังทิวาราตรีที่ปรองดอง
แน่นอนต้องคงกาลยืนนานไป
     ๏ หากมิมีดีงามความอดทน
จะผจญทุกข์ใจอย่างไรได้”
พระปรารภจบยุบลนลราชัย
จึงกราบลาคลาไคลไม่ชักช้า
     ๏ ตลอดทางหว่างนิษัธราชธานี
ประชาชีเรียงรายทั้งซ้ายขวา
โบกธงทิวปลิวไสววิไลตา
รับราชาราชินีด้วยดีใจ




                                                              หน้า  ๑๗๒
      
     ๏ เมื่อไปถึงซึ่งยังเวียงวังราช
ออกประกาศฉลองขวัญเป็นงานใหญ่
ชนสุขแสนทั่วแดนดินถิ่นไผท
มหรสพจัดให้หลายมุมเมือง
     ๏ ทะนุบำรุงทั้งวังวัดวา
งามสง่าขึ้นชื่อชนลือเลื่อง
ราชาสรรค์มั่นผดุงให้รุ่งเรือง
บุญประเทืองทั่วแคว้นทั้งแดนดิน
     ๏ กษัตริย์สองครองสุขเกษมศานต์
ทั้งกุมารกุมารีมีสุขิน
สองพระองค์เจริญวัยดังใจจินต์
ไร้ราคินทรงโสภาสง่างาม
     ๏ มิผิดพระบิดรพระมารดา
ลักขณาเลิศล้นชนเกรงขาม
เพิ่มพระเกียรติพระยศกำหนดนาม
เป็นไปตามขนบพระราชพิธี
     ๏ กษัตริย์สองครองราชย์นานพระพรรษา
จวบชรานิรทุกข์แสนสุขี
พระครองใจอาณาประชาชี
ตราบมิมีอายุขัยในปางบรรพ์




                                                               ๑๗๓

     ๏ ดวงวิญญาณอันวิศุทธิ์กษัตริย์สอง
คืนไปครองเทวาลัยในสวรรค์
เสวยสุขทุกข์ระงับชั่วกัปกัลป์
มุ่งสู่ขั้นพระนิพพานกาลต่อไป
     ๏ จากธนุ  เสนสิงห์จริงใจมั่น
หมายสร้างสรรค์วรรณศิลป์ปิ่นสมัย
การกวีวัฒนาคู่ฟ้าไทย
น้อมดวงใจเทิดไท้พระกษัตรา
     ๏ สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถ้วนทุกตัวอักษรได้ศึกษา
บรรณ “พระนลคำหลวง” ทรวงบูชา
นบวิญญาณ์บรมครู บูรพกวี
     ๏ ยอพระเกียรติ พระยศ ปรากฏยิ่ง
พระเป็นมิ่งวรรณลักษณ์ทรงศักดิ์ศรี
จบนิทานคำกลอนบวรมณี
ขอความดีนำสุขทุกท่านเอย

 ............................................
จบบริบูรณ์