เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..

บทกลอนไพเราะ => กลอนรัก => ข้อความที่เริ่มโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:38:59 PM



หัวข้อ: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:38:59 PM
.. 1

O อาลัย-กรุงอยุทธยาต้อง .. มาสิ้น
งามศาสตร์ศิลป์แหล่งนี้ หรือมีสอง
เคยยิ่งใหญ่ตระการเหลือ .. เพราะเมื่อมอง-
ราวพิศพ้องทิพถิ่น .. ในดินแดน


(http://upic.me/i/a4/xul91.jpg) (http://upic.me/show/46307625)


๑๑
O สิ้นปรัชญาการ
เพราะกล้าหาญนั้นขาดแคลน
สิ้นหน้าจะเงยแหงน
ให้เหมือนแม้นที่เคยมี

O สิ้นชาติเพราะแกล้วการณ์
สุดต้านทานในยุทธี
แหลกยับเพราะอัปรีย์
หอบราคีขึ้นนั่งเมือง

O มีชาติเป็นเดิมพัน
และราคขวัญอันนองเนือง
ชาติเราจึงเปล่าเปลือง
ชีพแกล้วเปลื้องลงถมทาง

O ขวัญชาติเคยมาดหมาย
กลับวุ่นวายแต่เนื้อนาง
ข่ายขุมแห่งหลุมพราง
เหมือนรอขวาง..ให้ย่างเท้า

O ฝ่าคืนทั้งคืนค่ำ
ความชอกช้ำก็เหมือนเงา
ทาบขวัญไม่บรรเทา
ความเปลี่ยวเปล่าก็เต็มทรวง

O เหมือนเสียงพญาโศก
ผ่านลมโบกเข้าบำบวง
อำนาจและอาชญ์ปวง
มาลับล่วงให้ห่วงหา

O คล้ายเสียงพญาโศก
เฝ้ากล้ำโกรกเข้าโยกอา-
รมณ์คลอด้วยทรมา
ในคาบกาละล่มจม

O สร้อยเสียงคล้ายเคียงโสต
บอกทัณฑ์โทษให้รันทม
คล้ายยุคเคยสุขสม
จะลอยลมให้ข่มใจ

O สิ้นแล้วบัลลังรัตน์
เศวตรฉัตรที่อำไพ
ล่มลบกลางศพ, ไฟ
ความเป็นไทก็ล่มตาม

O ต่อนี้จะมีหรือ
ที่ยึดถือว่าเขตคาม
แคว้นถิ่นถูกหมิ่นหยาม
เมื่อครั่นคร้าม..ในยุทธนา

O วันนี้...เมื่อแพ้พ่าย
ย่อมมาดหมายกลับคืนมา
กอบกู้อิสรา
ให้ประชาและแดนดิน

O รอเถิด..รอวันนั้น
จะประจัญด้วยไพรินทร์
ศักดิ์ศรีแห่งชีวิน
จะกอบกินแทนข้าวปลา

O รอเถิด..รอวันนั้น
จะต่อกันด้วยบรรดา-
อาวุธให้สุดวา-
ระวิถีแห่งชีวิต

O แว่วข่าวทัพเจ้าตาก
ฝ่าลำบากเข้ากอปรกิจ
ตีเมือง ณ เบื้องทิศ
บูรพาอย่างกล้าหาญ

O หม้อไหที่ในมือ
จึงบันลือเสียงแหลกลาญ
แตกสิ้นกับดินดาน
เพื่อจักผ่านเข้าสู่เมือง

O ครั้งนั้นที่เมืองจันทร์
มีใจมั่น..ด้วยแค้นเคือง
สร้อยเศร้าเคยเปล่าเปลือง
ก็ปลดเปลื้อง..ลงกลบดิน

O ครั้งนั้นที่เมืองจันทร์
มีใฝ่ฝันให้ยลยิน
ความหวังเคยพังภินท์
กลับโบยบินให้ยินดี

O ผองชนที่เมืองจันทร์
พร้อมโรมรันในยุทธี
เลือดเนื้อ..นั้นเพื่อพลี
แลกศักดิ์ศรีไทยคืนมา

O ผองชนที่อดกลั้น
เนิ่นนานวันก็ถึงครา-
ยกพลร่วมยาตรา
ร่วมคุณค่าความเป็นไท

O ผองชนที่ลิ่มเลือด
เริ่มปุดเดือดทั้งแหล่งใจ
เคลื่อนฝ่าชลาลัย
นั้นเคลื่อนไป..จะเข้ารณ

O มือกำ..ล้วนด้ามดาบ
พร้อมรับทราบหัวใจตน
พร้อมนั้น..กำลังพล
ที่พร้อมจนกระจ่างใจ

O เมื่อไท มิใช่ทาส
คือชายชาติจะชิงชัย
ชีวาแทนมาลัย
เอาสวมใส่ที่ใจเมือง

O เมื่อไท มิใช่ทาส
ไม่เขลาขลาด..แต่ขุ่นเคือง
เลือดใครจะไหลเนือง
ชีพเปล่าเปลือง..ใครเล่าใคร ?



<OBJECT ID="MediaPlayer" width="450" height="325" CLASSID="CLSID:22D6F312-B0F6-11D0-94AB-0080C74C7E95" STANDBY="Loading Windows Media Player components..." TYPE="application/x-oleobject"> <PARAM NAME="FileName" VALUE="http://www.freewebs.com/sdayoo01/JaKaeHangYaw_Prayu.wma" /> <PARAM name="autostart" VALUE="true" /> <PARAM name="ShowControls" VALUE="true" /> <param name="ShowStatusBar" value="false" /> <PARAM name="ShowDisplay" VALUE="false" /> <EMBED TYPE="application/x-mplayer2" SRC="http://www.freewebs.com/sdayoo01/JaKaeHangYaw_Prayu.wma" NAME="MediaPlayer" width="450" height="325" ShowControls="1" ShowStatusBar="0" ShowDisplay="0" autostart="0"> </EMBED> </OBJECT>


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:43:40 PM
.. 2

O หลากหลายเหล่าเรือน้อยพายคล้อยเคลื่อน
ฟากคลองเกลื่อนกล่นหน้าผู้อาศัย
นาย, บ่าวพูดยินแทรกฟังแปลกนัย
อาภรณ์ใส่ .. พิศแรกก็แปลกตา


(http://upic.me/i/ev/cjmv2.jpg) (http://upic.me/show/46307696)


O โน่น .. อาวาสศาสน์พุทธท่านอุดหนุน
ผู้บาปบุญสำนึกใฝ่ศึกษา
เหลืองจีวรขับเลศข่มเวทนา
เผยมรรคาพรหมจรรย์ .. บ่มบรรเทา

O วอแห่งผู้บุญหนักทรงศักดิ์ใหญ่
มีร่มให้ลดทอนความร้อนเร่า
สี่คนคอนขึ้นไหล่ก็ใช่เบา
ลิ่วสู่เหย้าเรือนตน .. รับปรนเปรอ

O กำแพงวัง .. ขอบคูก็ดูลึก
แต่คิดนึกย้อนไปด้วยไพล่เผลอ
บางชีพชนม์แต่เกิดช่างเลิศเลอ
แทบเสมอเทวัญในชั้นฟ้า

O หากทรงธรรม .. นำหน้าประชาราษฎร์
ใช้อำนาจช่วยกันร่วมฟันฝ่า-
อำรุงเขตคามแคว้นเพิ่มแสนยา
จัก-อัปราล่มลับ .. ด้วยทัพใด ..?

O มโหรีปี่ฆ้องทำนองเสนาะ
เหมือนหลั่งเซาะโสตสดับเสียงขับไข
ขบวนนาคแหนแห่ .. เห็นแต่ไกล
มุ่งหน้าไปทอนตัด .. อีกอัตตา


(http://upic.me/i/hd/komc3.jpg) (http://upic.me/show/46307702)


O รูปหนึ่งห่มสไบกรอง .. เจ้าผ่องพักตร์
พิไลลักษณ์โดยชาติพิลาสสถา-
นะภาพในศานติกริยา
ส่งคุณค่าขับขจ่างขึ้นกลางใจ

O มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด
ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่
ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย
จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง

O มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ
หวังลดละ..ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง
แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง
ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง

O พร้อมงานบุญแถวถิ่นได้ยินเสียง
กลองกรับฉิ่งฉาบเคียงสำเนียงก้อง
มวลดอกไม้โกสุมพานพุ่มทอง
เคลื่อนสู่ท้องโรงทานข้างลานวัด

O ชั่วเพียงลมแผ่วพลิ้ว .. ผ่านริ้วหน้า
รูป, สายตา-สบต้อง .. เกินป้อง .. ปัด
ลมดั่งช่วยรุมร้อนไม่ผ่อน .. พัด
จากร้อนแรงปฏิพัทธ์ .. ณ บัดนั้น

O ประจงจีบจับของประคองถวาย
ขณะคล้ายแววตา .. วุ่นว้า .. หวั่น
เมื่อผืนผ้าอบอวลกลิ่นนวลพรรณ-
แผ่ล้อมขวัญ .. หอมฟุ้งอำรุงยาม

O ชม้ายมองแปลกหน้า .. ปรายตาสบ
จึง-ชาติภพ .. สุขโศกแห่งโลกสาม-
เหมือนรอคอยเบิกบทอันงดงาม-
ให้ลุกลามสอดช่วง .. เงื่อนบ่วง .. กรรม

O ชายสไบทอดผืนบนพื้นนั่ง
เหมือนว่าทั้งใจทอดให้พลอดพร่ำ
คลี่เยื่อใยสานร้อยแทนถ้อยคำ
เพื่อตอกย้ำปรารถนา..แห่งอาวรณ์

O เหมือนบาปบุญหนุนสร้างแต่ปางหลัง
จึงสุดรั้งจิตชายให้ถ่ายถอน
อาลัยนั้นเหนี่ยวหน่วงทุกช่วงตอน
จนสุดผ่อนเพลาค่า .. แม้นาที !

O อ่อนช้อยอ่อนโยนมี .. กอปรทีท่า-
อันสูงส่งงามสง่าด้วยราศี-
ของเชื้อสายวงศา .. แห่งนารี
ผู้บัดนี้ .. เปล่งประกายต่อสายตา

O โอ .. ธิดามนตรีเจ้ามีศักดิ์
ย่อมตระหนักแก่ใจผู้ใฝ่หา
ที่ลอยดวงเด่นนั้น .. คือจันทรา
พสุธาต่ำล่าง .. จนห่างแล้ว

O เพียงหนึ่งชายเชี่ยวกล้าทางอาวุธ
อาจเข้ายุทธศัตรูทั้งหมู่แถว
ใช่เก่งกล้านารี .. ชาญวี่แวว
จะรู้แนวสืบสมเข้ากลมเกลียว

O ถวิลถึงก็วิตกสะทกสะท้อน
ทิฆัมพรก็แต่แลชะแง้เหลียว
หวังก็เหมือนฟากสวรรค์คืนจันทร์เรียว
ย่อมมืดเปลี่ยวเปล่าแสงจนแล้งร้าง

O เมื่อโดยชาติต่างชั้นเกินฝันถึง
จะเหนี่ยวดึงเกรงต้องให้หมองหมาง
หากน้ำใจเอ่ออยู่ไม่รู้จาง
ฤๅจักพรางกลบเกลื่อนให้เคลื่อนคลาย

O เสร็จงานบุญถึงตอนเจ้าย้อนกลับ
จะเลยลับรูปไปก็ใจหาย
ท่วมเอ่อล้วนอาลัย .. นะใจชาย
เหมือนต้องสายใยเหนี่ยว .. เจ้าเกี่ยว .. คล้อง !

O ผืนสไบทิ้งปลายดั่งสายสร้อย-
ที่ล่ามร้อยจิตผู้หวังคู่สอง
แม้นรูปเลือนลับหลังก็ยังมอง
แต่ตามตรองใฝ่เห็นไม่เว้นวาย


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:45:23 PM
.. 3

O เสียงไก่ขันแจ้วอยู่ไม่รู้ล่วง
เมื่อพันแสงเลื่อนดวงขึ้นช่วงฉาย
แผ่วลมพลิ้วโชยอ่อนช่วยผ่อนคลาย-
ความวุ่นวายในถวิล .. ที่ดิ้นรน


(http://upic.me/i/ma/pwe24.jpg) (http://upic.me/show/46307724)


O ใจเมือง-เฝ้าสดับ .. เรื่องทัพม่าน
เพื่อเตรียมการณ์ตั้งรับอยู่สับสน
พร้อมลิ่มเลือดหลั่งไหล .. ผ่านใจคน-
ที่รอหลั่งคาวข้น .. ในรณการณ์

O กรประนมก้มราบ .. ลงกราบแม่
หวังเผื่อแผ่ห้วงใจจนไพศาล
เพื่อคุ้มครองชายชาติไปราชการ
หวังช่วยผลาญทานทัดเหล่าศัตรู

O หมายฉวยดาบอาวุธ .. เข้ายุทธนา
เอาชีวาค้ำเมือง .. ให้เมืองอยู่
มอบสิ้นแล้วภพชาติ .. เอาลาดปู
ให้ถ้วนผู้รู้สิ้น .. นี้ถิ่นใคร !

O แว่ว-ข่าวพลแกล้วม่าน .. ปล้นบ้านเมือง
ก็ขุ่นเคืองสาหัส .. เกินตัดไหว
ที่ปะทุพลุ่งนำ..ย่อมน้ำใจ
อันผุดไหลย้อมหน้าขับอารมณ์

O แกล้วห่างศึกนึกไปก็ใจหาย
ย่อมผ่อนคลายกำลังเคยสั่งสม
ทิ้งมีดดาบสนิมจับ .. ไม่ลับคม
เหลือคารม .. หรือจะรุดเข้ายุทธี ?

O ท่ามกลางมุขเสนาพฤฒามาตย์
ล้วนพจน์ภาษรอบรู้ .. ของผู้ที่-
เฝ้าสอพลอ .. วาทกรรม .. แล้วทำที-
ว่ารู้ดีรู้รอบทุกกรอบกระบวน

O เมื่อ-ตาบอดคลำช้าง .. เอาข้างถู
ให้คนผู้รู้แจ่ม – พลอยแย้มสรวล
จึง-หู, หาง, งวง, คอ – เหมือนรอชวน-
เชิญให้ร่วมสอบสวน .. ร่วมทวนความ

O จึง-ที่กลางท้องพระโรง .. การโก่งคอ,
ถ้อยสอพลอส่อเสียด .. คำเหยียดหยาม-
เหมือนแว่วเสียงสั่นอยู่ไม่รู้ยาม
จักข่มข้ามผ่านได้อย่างไรกัน ?

O จึง-ที่กลางท้องพระโรง .. การโยงเรื่อง-
อาจนับเนื่องอยู่พร้อม .. คำกล่อมขวัญ
มองศัตรูเคลื่อนระลอก .. ดุจหมอกควัน
เมื่อผ่านวันจะเลิกทัพ .. แล้วกลับเอง !

O ที่-ขอบแคว้น, คน, ช้าง, ม้าย่าง..ย่ำ
ที่-ใจเมืองวาทกรรม .. ก็คร่ำเคร่ง
เมื่อเสนาอำมาตย์ .. ล้วนหวาดเกรง-
เกินรุดเร่งขับไส .. ผลาญไพรี

O เอาหางมาเป็นหัว .. หวาดกลัวศึก
ฤๅ-อาจรู้ตื้นลึก .. การศึกที่-
กอปรเล่ห์เหลี่ยม .. กลลวง .. กอปรท่วงที-
แยบคายมี .. เท่าทันทุกชั้นเชิง

O พร้อม-หมู่ชายใจหญิง .. นั่งนิ่ง .. นึก
เสียงกลองศึก ..ก็เสียดโสต .. อย่าง-โลดเหลิง
พร้อม-หัวใจแกล้วกล้าเขาร่าเริง
คือใจเรากระเจิดกระเจิง .. หวาดเชิงรบ

O ควร-มีนายไว้นำอยู่หน้าทัพ
ดาบ, โล่ห์-จับ .. ตวัดเชือด .. ให้เลือดกลบ
หรือ-ขอ, ง้าวทิ่มทะลวง .. ให้ร่วงซบ-
เป็นซากศพเลือดหลั่งโลมหลังม้า

O ควร-มีนายบัญชาอยู่หน้าศึก
ด้วยจิตฮึกเหิมมั่น .. เพื่อฟันฝ่า-
นำหมู่แกล้วเร่งรุดเข้ายุทธนา
เอาชีวาโลดแล่น .. ป้องแผ่นดิน

O ยุทธศาสตร์เอาเมือง .. เป็นเครื่องหน่วง
รอผ่านช่วงฝนกลายเป็นสายสินธุ์
รวมกระแสหลากไหลท่วมไพรินทร์-
กลับมาสิ้นสุดพลังเอาครั้งนี้ !

O เสียงปืนศึกก้องดัง .. ในครั้งนั้น-
มี .. ทรวงขวัญเนื้ออ่อนสะท้อน .. ถี่
พร้อมเสียงหวีดแว่วล้อ .. การต่อตี-
ของใจที่สั่นกลัว .. ในรั้ววัง

O เมื่อผู้นำอยู่หน้าประชาราษฎร์
ไร้สามารถป้องถิ่น, ความสิ้นหวัง-
ก็เริ่มอบอวลเสียง .. ทั้งเวียงวัง-
เพื่อรอหลั่งฝันร้าย .. ลงถ่ายทิ้ง !

O เหมือนแว่วเสียงพยากรณ์..ครั้งก่อนเก่า
ที่บอกเล่าผ่านยุค..บ่งทุกสิ่ง
โอ..เพลงยาวเศร้าสร้อย..ละห้อยจริง
ช่างอ้อยอิ่งผ่านย้ำ..เฝ้ารำพัน...

...คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย
จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น
ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิธราชธรรม์
จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ

...คือดาวเดือนดินฟ้าจะอาเพท
อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล
เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง

...พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก
อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง
ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร

...พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี
พระกาฬกุลีจะเข้ามาเป็นไส้
พระธรณีจะตีอกไห้
อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม...

O ทั้งพ่อแม่จิตใจ .. ห่วงใยนัก
แต่ลูกรักไปทัพ .. เพื่อขับข่ม-
เหล่าข้าศึก .. ให้ดาบได้วาบคม
อกย่อมตรมตรอมห่วง .. พ่อดวงใจ

O เคยวิ่งเล่นเคลียคลอด้วยพ่อแม่
บัดนี้แลรูปรอยก็พลอยให้-
ปลาบปลื้มด้วย .. สามารถ .. องอาจใคร
ที่เห็นไฟสุมแดน .. ก็แค้นครัน !


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:50:25 PM
.. 4

O ดาบประดาบ .. วาบแรกก็แทรกเนื้อ
ก่อนเลือดเรื่อแดงร้อน .. ไหลกร่อนขวัญ
อวลกลิ่นคาวคลุ้งคา .. โรจน์ตาวัน
คือโทษทัณฑ์ศัตรู .. ของหมู่ไทย


(http://upic.me/i/m4/u3r14.jpg) (http://upic.me/show/46307844)


O ดาบฟาดฟันเท้าย่ำเข้ากรำศึก
ด้วยสำนึกตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
พร้อมหักหาญถ้วนหน้าไม่ว่าใคร
เลือดที่ไหลอุ่นพอ .. จักก่อคาว

O หากน้ำน้อยแน่แท้ .. ย่อมแพ้ไฟ
ทั้งด้วยไม่ชำนาญเรื่องการข่าว
จึงถูกหลอกตลบหลังหลายครั้งคราว
เลือดย่อมหลั่งปวดร้าวถึงราวใจ

O สิ้นสามารถกำลัง .. แกล้ววังหลวง
จักรุกล่วงเข้าสู้ศัตรูได้
ยุทธวิธีนั้นเล่าก็เก่าไป
จิตฮึกเหิมจะชิงชัย .. ก็ไม่มี

O ทั้งตำแน่งแม่ทัพ .. ย่อมรับรู้
ล้วนแต่ผู้ปราศัยอยู่ในที่
จักฉวยดาบฉาบฉุดเข้ายุทธี
ย่อมพิรี้พิไรอยู่ .. ไม่รู้วาย

O ด้วยจิตใจหวั่นหวาดและขลาดเขลา
ย่อมกระเส่าสั่นอยู่ไม่รู้หาย
โยธยาแผ่นดิน .. เหมือนสิ้นชาย
ที่ผ่องถ่ายความกล้า .. จนล้าลับ

O หากเป็นช่วงวาระ .. องค์นเรศ
ย่อมโหมเดชเข้าข่มจนล่มดับ
เลือดศัตรูจักหลั่ง .. ชีพพังยับ
ดาบจักสับแทรกเนื้อ .. เข้าเถือแล้ว

O ย่อมนำหน้าเหล่าทัพ .. เข้ารับ .. รบ
เอาดินกลบศัตรูพร้อมหมู่แกล้ว
ให้เข็ดหลาบระย่อสิ้นทั่วถิ่นแนว
ยอมชีพแคล้วคลาดกัน .. จนวันตาย

O เกิดผิดที่ผิดยุคยากทุกสิ่ง
จากไร้มิ่งขวัญชาติ .. ให้มาดหมาย
แม้นเดือดพลุ่งพล่านอยู่ .. เลือดผู้ชาย
จักขวนขวายต่อสู้ .. เพื่อผู้ใด ?

O หมดสิ้นความร่วมรักสมัครสมาน
ที่ห้าวหาญแกร่งกล้า .. ก็หาไม่
แต่เบือนหน้าหลบเสียง .. แล้วเลี่ยงไป
ช่างยากไร้ .. ศักดิ์ศรีเสรีชน

...เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา
จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน
มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก

...ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว
คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์
ลูกศิษย์จะสู้ครูนัก
จะหายหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย

...ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม

...ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า
เพราะจัณฑาลมันเข้ามาเสพสม
ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์
เพราะสมัครสมาคมซึ่งมารยา

...พระมหากษัตริย์จะเสื่อมสิงหนาท
ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา
อาสัตย์จะเลื่องลือชา
พระธรรมาจะตกลึกลับ

...ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ
จะสาปสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ
ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์
สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ

...ทั้งอายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปี
ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสัย
ทั้งพืชแผ่นดินจะผ่อนไป
ผลหมากรากไม้จะถอยรส

...ทั้งแพทย์พรรณว่านยาก็อาเพศ
เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด
จวงจันทน์พรรณไม้อันหอมรส
จะถอยถดไปตามประเพณี...

O ลูกผู้ชายชาวไทย .. ดาบไหววาด
หลังเลือดสาดชีพคนก็ป่นปี้
เหล่าแกล้วผู้แกร่งไกรเข่นไพรี
จนเลือดผีเปรอะทั่วเพียงชั่วยาม

O พร้อมเพื่อนแกล้วผู้กล้า .. ย้อนมาบ้าน
เข้ากราบกรานแม่พ่อ .. ที่รอถาม
เห็นจะเปลืองเปล่าค่าพยายาม
คงยากห้ามหายนะ .. วาระนี้

O ครั้นแล้วห้วงจิตใจ .. ก็ไหววูบ
ถึงเรียวรูปงามสง่ากอปรราศี
ตั้งแต่วันสบหน้า .. สบท่าที-
คล้ายมือที่แฝงเร้น .. บีบเค้นลง

O อกแกล้วย่อมรุ่มร้อน .. เกินผ่อนไหว
กับอาลัยพิสวาดิด้วยชาติหงส์
เหมือนเพรงบาปบุญกรรม .. เร่งจำนง-
จำหลักลงดวงใจ .. คอยไขว่คว้า !

O ฝากพ่อแม่กับเพื่อน .. ก่อนเคลื่อนตัว-
แฝงมืดมัว .. สืบรอยผู้คอยหา-
จนซากเรือนเสาตอ .. เผยต่อตา
ก็รับรู้เพียงว่า .. คงช้าเกิน

O พร้อมใจวูบหล่นวาบกับภาพนั้น
คือขุ่นควันลอยผ่านอยู่นานเนิ่น
ลมยามค่ำโรยระลอก .. ราวหยอกเอิน-
ความจำเริญแห่งทุกข์ .. ที่ลุกโชน

O กลางเปลวไฟ .. ซากศพ .. พระลบล้อม
ก็ถึงพร้อมโศกสร้อย .. รอห้อยโหน
แววในตาอาทรแสนอ่อนโยน
ค่อยถ่ายโอนโอบขวัญ .. ในสัญญา

O จนเมื่อกายเริ่มเขยื้อน .. ค่อยเคลื่อนขยับ
คล้ายคล้ายศัพท์เสียงแผ่ว .. ดังแว่วฝ่า-
ความมืดดำค่ำคืน, เมื่อผืนวา-
รี .. เบื้องขวา ไหวกระเพื่อม .. วงเหลื่อมรับ

O นิ่งงันกลางวังเวง .. ตาเพ่งมอง
จนรูปผ่องงามล้ำ .. เนตรดำขลับ-
ค่อยค่อยโผล่พ้นน้ำ .. ขึ้นสำทับ-
การเขยื้อนการขยับ .. ลำดับนั้น !

O ท่ามกลางสายลมวน .. คืนหม่นหลัว-
ร่างเผยขึ้นหยัดตัว .. คล้าย-รัว .. สั่น-
คนผู้มองเพ่งพรับ .. ก็ฉับพลัน-
เคลื่อนกายวูบรีบถลัน .. โอบขวัญไว้

O รูปหน้าเซียวซีดขาว .. ด้วยหนาวสั่น
เมื่อซบอกอุ่นพลัน .. ที่-สั่นไหว-
คืออกหนึ่งผู้อุ้ม .. เนื้อนุ่มใคร
และอกผู้แอบไออุ่นใครนั้น !

O หลังหวิววูบ .. ตกใจเมื่อใครคว้า-
จนสบหน้า .. ห้วงใจยิ่งไหวหวั่น
จำแต่ครั้งแรกพบ .. ตาสบกัน-
หอมหวานนั้นก็กลั่นแล้ว .. ทั้งแววตา

O จนเรื่องราวอาดูรเพียบพูนขวัญ
ค่อยรำพันผ่านสู่ให้รู้ว่า-
แต่เย็นย่ำพลม่าน .. เคลื่อนผ่านมา
การเข่นฆ่าเผาเรือนก็เกลื่อนรอย

O ทั้งพ่อแม่ข้าทาสล้วนคลาดกัน
หลังดวงวันดิ่งดับก็ยับย่อย-
คนถูกม่านกวาดต้อน .. ต้องซ่อนคอย-
รอ-มืดค่ำพรางรอย .. แล้วค่อยไป

O จูงมือเรียวย่างย่ำ .. ฝ่าค่ำคืน-
ความโอดอื้นในกมล .. ค่อยหล่นไหล
ชั่วมือแกร่งจูงจับ, เหมือนจับใจ-
รูปอ่อนเยาว์อ่อนวัย .. สั่นไหว .. ระรัว !


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:52:54 PM
.. 5

O เรื่อแก้มอิ่มละม่อมหน้า..แววตานั้น
คล้ายคอยสั่นไหวระลอก .. เฝ้าหยอกยั่ว-
ให้อารมณ์วกวน .. กลางหม่นมัว
อกจึงรัวลั่นอยู่ไม่รู้ยาม


(http://upic.me/i/08/on6d5.jpg) (http://upic.me/show/46307927)


O วัฏฏะวง .. สงสารเมื่อผ่านรอบ
ใจย่อมนอบน้อมทราบ .. รสวาบหวาม
ที่รายล้อมโลมรุกเข้าคุกคาม
คอยฉุดล่ามความคิด .. เหนี่ยวจิตใจ

O เรื่อแก้มอิ่มละม่อมหน้า .. แววตานั้น
ฤๅ-เพื่อยั่วใจหวั่น .. พาสั่นไหว
อกคนเบื้องหน้านี้ .. จะมีใด-
เอากีดกั้นหลบได้ .. จากนัยน์ตา

O ดูเหมือนจะสายเกิน .. การเมินหลบ
รูปเพรงภพหยัดหยั่ง .. เหมือนสั่งว่า-
จักเผื่อแผ่อ่อนหวาน .. ให้ผ่านมา-
ก่อระลอกเสน่หาอีกคราครั้ง

O วับวามแวว-เนตรนั้น .. เมื่อสั่นไหว
ราวจะผ่านความนัย .. ออกไหลหลั่ง
เข้าล้อมให้แววตาละล้าละลัง
ด้วยสุดยั้งระลอกคลื่นใต้ผืนทรวง

O ระลอกความอาลัย .. ดวงใจหนึ่ง
ที่ตราตรึงรูปแก้ว .. ไม่แล้วล่วง
ราวหัตถ์พรหมเหนี่ยวนำ .. เพราะคำบวง-
นั้นเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ

O ดูเถิด .. รูปแก้มอิ่ม .. เนตรพริ้มหลบ
แต่บรรจบรูปรอย .. ก็คอยผลาญ-
อกใจผู้ปรารมภ์ .. ให้ซมซาน
ทรมาน .. ทรมาด้วยอาวรณ์

O จะรับรู้บ้างไหม..ว่าใจหนึ่ง-
จมคำนึงเวียนว่ายเกินถ่ายถอน
ความอ่อนโยนอ่อนหวาน..เหมือนผ่านวอน-
เข้าออดอ้อน .. เร้ารัวทั้งตัวตน

O ดูเถิดรูปเอวองค์ .. ที่ตรงหน้า
สบแววตาปลาบปลั่ง .. เพียงครั้ง .. หน-
เหมือนอ่อนล้าไร้สิ้น .. แรงดิ้นรน
ด้วยยอมตนยอมตัว .. สิ้น-หัวใจ

O จำหลักรูปลงทรวงให้ห่วงหา
ปรารถนาก็บีบคั้น .. พาหวั่นไหว
รับรู้การพังทลาย .. จากภายใน
พร้อมศัพท์เสียงอาลัย .. แว่วให้ฟัง

O สุดรอคอยค่อยเห็นว่าเป็นเจ้า
กี่ภพกาลผ่านเล่าที่เฝ้าหวัง
เหมือนรูปรอยแรงถวิล .. เคยภินท์พัง-
มาฉุดรั้งรูปน้อย .. ขึ้นคอยรอ

O ก่อนแต่สองภพชาติบำราศร้าง
มีคำอ้างเอ่ยพ่วง .. บำบวงขอ
เมื่อวัฏฏะเวียนผ่าน .. จนนานพอ-
ให้ช่วยต่อเติมสวาดิ .. ลงพาดพัน

O รอคอยจะพบกันในวันหน้า
ที่คุณค่าสืบสร้าง .. เกินขวางกั้น
ถ้อยบำบวงจักนำ .. สู่สัมพันธ์
เพื่อรวมขวัญสองดวงเป็นดวงเดียว !

O ลมร่ำผ่าน, จันทร์จ้าบนฟ้าสูง
มือจับจูง, ใจมอบ, ตาลอบเหลียว
พร้อมรูปนาม, อารมณ์ที่กลมเกลียว-
คือแขนแกร่งถูกเหนี่ยว .. ฝ่าเที่ยวทาง

O ย่ำเหยียบแต่ละย่าง .. ผ่านทางเที่ยว
พาเปล่าเปลี่ยวหล่นกลิ้ง .. ลงทิ้งขว้าง
ความอาดูรสะทกสะท้อน .. ก็ว่อนวาง-
ลงให้ย่างก้าวข้าม .. ฝ่ายามคืน

O ย่ำเหยียบลงบนโลก .. เหยียบโชคชะตา
ที่รอใจแกร่งกล้า .. เข้าฝ่าฝืน
ย่ำเหยียบความเจ็บช้ำ .. ยอมกล้ำกลืน-
เพื่อหยัดยืนเคียงข้าง .. ไม่ห่างกัน

O ครั้ง-ประจงจับของ .. ประคองถวาย
ครั้งนั้น-คล้ายแววตา .. วุ่นว้า .. หวั่น
ครั้งนี้ .. แม้แสงช่วงของดวงจันทร์-
ฤๅ-เทียบขวัญ .. ลามช่วงทั้งดวงใจ ?

O จนอ่อนล้าเรี่ยวแรง .. เจ้าแพงน้อย
แววตาปรอยชม้อยสู่ .. จนรู้ได้-
ว่าเส้นทางย่างก้าวอีกยาวไกล
ยังรอให้สืบก้าวอีกยาวนาน

O จับจูงผ่านเงาตะคุ่มของพุ่มพรรณ
ตราบสบช่วงเถาวัลย์ .. เลื้อยพันผ่าน
เห็นเหมาะสม - มือต้องประคองคราญ-
แอบเนื้ออกชายชาญ – พิง .. ผ่านคืน

O แล้ว-อกแขน .. ก็เอื้อมมาโอบร่าง
อุ่นเนื้อกลางนิทรา .. จวบตาตื่น
แล้ว-อกผู้เพ็ญโฉมกลับโครมครืน-
กับเต็มตื้นแรงชู้ .. ที่อยู่รอ

O คล้อย-คำนึงผ่านวอน .. ถึงพร-พรหม
ตรึงอารมณ์ร่วมกรรม .. เฝ้าพร่ำขอ-
อกแขนโอบรูปเยาว์พะเน้าพะนอ
พึงจดจ่อแต่งาม .. เกินห้ามใจ

O ใช่ไหมว่า .. อ้อมอกที่ปกป้อง
เพื่อ-รับรองอาวรณ์ .. ผู้อ่อนไหว-
ให้ทอดร่างแนบทรวง .. รับห่วงใย
กุมกอดไว้ให้สนิทในนิทรา

O จน-ทอดตัวสองแขน .. หนุนแทนหมอน-
เพื่อรูปอรเอนแอบ .. เข้าแนบหา
หน้าผาก, เนื้อนวลปราง, คิ้ว, คาง, ตา-
จักฝืนฝ่าอาลัย .. เยี่ยงไรพ้น ?

O เพื่อ-รูปเยาว์โสมนัส .. ในรัตติกาล-
ทรมานทั้งปวง พึงร่วงป่น
แรงอาวรณ์อาลัย พึงไหววน-
อยู่กับใจดิ้นรน .. เกินด้นดึง

O ครรลองโลกหมองหม่น .. พึงป่น .. ปลิด-
ด้วยศักดิ์, สิทธิ์ .. มั่นหมายของชายหนึ่ง
ความแหนหวง .. ปฏิพัทธ์จงรัดรึง-
หอม, หวานซึ้ง ตรึงจิต .. เกินคิดคลาย

O ทั้งสิ้นและ .. ทั้งปวงความห่วงหา
พึงแทรกฝ่าใจคนให้ขวนขวาย
อำนวยจิตพ้องสวาดิด้วยชาติชาย
จนสุดคลายเคลื่อนพราก .. ลบจากใจ

O พร้อมลำลมเรื่อยรี้ .. ค่อย-วี .. วาด
รอบโอภาสก็ระยับแรงขับไข
ถ้วนหวานหอม .. สุมาลี ณ ที่ใด
จะเช่นใครยามนี้ ..ไม่มีเลย

O หอมนั้นหอมจากหวาน .. เจ้าผ่านหา
จนคุณค่าในอก .. ค่อยผกเผย
ผ่านรูปรอยนิรมิต .. เข้าชิดเชย
หยอก .. ยั่วเย้ยปรารถนาแรงอาลัย

O ละม่อมพักตร์อิริยาและท่าที-
เมื่อเข้าชี้นำการณ์ .. ฤๅ-ต้านไหว ?
รอบอาวรณ์อบอุ่นละมุนละไม
คล้าย-รอให้คล้องเกี่ยวด้วยเรียวมือ

O เมื่อ-อก, แขน, ใจ-โลภ .. จะโอบเจ้า
เนื้อรูปเยาว์ .. จะรอดได้อย่างไรหรือ
ทั้งปวงเท่าที่เห็น .. จะเป็น .. คือ-
เรียวแขนยื้อยุดไว้ .. โดยไม่คลาย !


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:55:20 PM
.. 6
๑๔
O อึงเอิกเกริก .. พ-ละ-อ-รินทร์
ประ-ลุ-ถิ่นก็ทำลาย
ศักดิ์ศรีและชี .. วิ-ตะ-ส-ลาย-
ร-ณะ-พ่ายก็ถูกผลาญ


(http://upic.me/i/27/19yo6.jpg) (http://upic.me/show/46307976)


O เพียงอึก(ะ)ทึก .. ศั-ก-ยะ-อา-
วุ-ธะ-กล้าก็กรมการณ์
ร่ำขอชะลอ ร-ณะ-สะ-ท้าน
กระ-แสะ-ซ่านกระเส่าเสียง

O เสี้ยนศึกผนึก .. ร-หั-สะ-กรรม
ระ-บุ-นำกะสำเนียง
สับพลระคน .. มุ-สะ-ประ-เดียง
พ-ละ-เกรียงก็กร่อนหาย

O เกินการณ์จะทาน .. วิ-บั-ติ-หา-
ย-นะ-วาระวอดวาย
ศักดิ์ชาติพินาศ .. (ะ)-ละ-ส-ลาย
ทุ-ขะ-สายก็บรรสาร

O เร้ารุมประชุม .. อั-ค-นิ-เชื้อ
ระ-อุ-เหลือจะทนทาน
ช่วงทัณฑ์กระชั้น .. หั-ตะ-ป-หาร
ชิ-วะ-ลาญและบรรลัย

O ชีพชนมะป่น .. เพราะ-ดั-ส-กร
ระ-ดะ-นอน ณ กลางไฟ
พลม่าน ก็ ผ่าน .. อุ-ระ-ไผท
ข-ณะ-ไห้ บ ห่างเห็น

O เคลื่อนผ่านประหาร .. ประ-ทุ-ษะ-ทา-
รุ-ณะ-คร่า ลุ ลำเค็ญ
แก่เฒ่า ฤ เยาว์ .. นิ-ระ-ละ-เว้น-
พ-ละ-เข่นและโบยตี

O เพลิงป่นพระมณ .. ฑิ-ระ-ท-ลาย
เพราะ-พระ-พายนะพัดวี
โหมไหม้ฤทัย .. ทุ-ขะ-ท-วี
นั-ย-น์นีระนองเนือง

O ทอดร่างระหว่าง .. กิ-ติ-วิ-บัติ
เพราะ-ส-มรรถะหมดเมือง
สิ้นบุญและสุน .. ทริ-ยะ-จะ-เรื้อง
และ-กระ-เบื้องก็ฟูลอย

O เขตคามสยาม .. สิ-ริ-พิ-สุทธิ์
ก็-ประ-ดุจะสุดรอย
ธรรมอรรถพระรัต .. (ะ)-นะ-ผละ-ถอย
ก็-ละ-ห้อยระโหยเห็น

O นัยน์ตาก็พร่า .. ช-ละ-ส-ลด
ต-ละ-หยดสิเยียบเย็น
ห้วงอกวิตก .. อ-ดุ-ระ-เข็ญ
ฤ-จะ-เว้นประหวั่นไหว


O โอ้..ปราสาทราชวัง .. เผาพังยับ
ที่ประทับเพลิงเยี่ยม .. ก็เกรียมไหม้
ศิลปหัตถกรรม .. ล้วนอำไพ
ต้องเปลวไฟล่มลบ..กลางศพคน

...กรุงประเทศราชธานี
จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล
จะสาละวนทั่วโลกหญิงชาย

...จะร้อนอกสมณาประชาราษฎร์
จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย
ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ

...ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบก
เวียงวังจะรกเป็นป่าเสือ
แต่สิงห์สาราสัตว์เนื้อเบื้อ
นั้นจะหลงเหลือในแผ่นดิน

...ทั้งผู้คนสารพัดสัตว์ทั้งหลาย
จะสาปสูญล้มตายเสียหมดสิ้น
ด้วยพระกาฬจะมาผลาญแผ่นดิน
จะสูญสิ้นการณรงค์สงคราม...

O วันนี้แตกกระเซ็นไม่เป็นทิศ
ย่อมครุ่นคิดย้อนเกร็ดให้เข็ดขาม
จักทวงคืนนคเรศและเขตคาม
คืนเหยียดหยามหมิ่นแคลน..ทดแทนไป

๑๔
O นั่น ! ล้วนขบวน .. บุ-พะ-ประภพ
อ-พ-ยพลุแดนไกล
แว่วครวญจะหวน .. ปุ-ระ-ไผท
สุ-ตะ-ไห้คระโหยหา

O โอ ! โสตอุโฆษ .. สรร-พะ-สำ-เนียง
ระ-บุ-เพียงจะพึ่งพา
แว่ววอนจะย้อน .. อ-ยุ-ธ-ยา
บ่-จะ-ว่าจะสิ้นหวัง

O โอ ! ศัพท์สดับ .. น-ยะ-วะ-แว่ว
ปุ-ระ-แก้วและบัลลังก์
สิ้นแล้วเพราะแผ่ว .. พ-ละ-พ-ลัง
ฤ-จะ-ยั้งนะยับเยิน

O เผาแผดเพราะแพศ .. ะ-ยะ-อ-ธรรม
ทุ-ระ-กรรมะก้ำเกิน
สิ้นชาติและวาส .. ะ-นะ-เผชิญ
ส-ร-เสริญก็สิ้นตาม

...กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จะสิ้นนามศักราชห้าพัน

...กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญ เอย


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 04:57:07 PM
.. 7

O จนแสงวันแรกสาง .. ทอพร่างพร้อย
งามรูปแพงอ่อนน้อย .. จึงค่อยเผย
ยิ่งกว่าความรื่นล้ำ .. ลมรำเพย
คืองามนั้นล้ำเลย .. ที่เคยรู้ !


(http://upic.me/i/46/kkx97.jpg) (http://upic.me/show/46308017)


O ด้วยมือเอื้อมจับจูงผ่านสูงต่ำ
พาเท้าย่ำเหยียบทางเพื่อย่างสู่-
จุดปลาย, ก้อยกอดเกี่ยวเมื่อเหลียวดู-
ยังเกี่ยวอยู่คู่ข้างไม่ห่างเลย..

O มองรูปหน้า .. จนเขิน-ต้องเมินหลบ
แล้วเวียนสบเวียนชม้อยจนค่อยเผย-
ความอ่อนหวานในจริตให้ชิดเชย
หอมก็เย้ยหยามยั่วทั้งหัวใจ

O แผ่วพลิ้วสายลมร่ำเสียงคร่ำครวญ-
ฝ่าม่านหมอกอบอวลทั้งมวลให้-
ค่อยค่อยเจือจางขุ่น-ด้วยอุ่นไอ-
ของแสงวันขับไขโลมไล้กาล

O มือรูปเรียวเกาะแน่น, อีกแขนหนึ่ง-
ค่อยจับจูงเหนี่ยวดึง, ความซึ้งหวาน-
ก็เผยออกแอบ-ออกลีบช่อมาลย์
เมื่อลมผ่านพลิ้วหอมเข้าล้อมทรวง

O ก้าวผ่านพื้นลาดเท, ลมเพพัด
ไม้ระบัดรูปเต้นอยู่เป็นช่วง
แววอ่อนโยนเหลือบชม้อยก็คอยทวง-
รอบความห่วงใยล้น-อีกคนนั้น

O มือเรียววางบนแขนเกาะแน่นอยู่
เหลือบตาดูครั้งไหน, ที่ไหวสั่น-
คือหัวใจเร้นแฝง-ลอบแบ่งปัน-
ความผูกพันทุกช่วงของดวงใจ

O ละก้าวย่างเหยียดช่วง-พาล่วงสู่-
ความรับรู้เร้นซ่อนแสนอ่อนไหว
หลังหมอกหม่นลับล่วง, ความห่วงใย-
คล้ายขับไขออกแล้วทั่วแววตา

O จนสบเพื่อน, แม่, พ่อ .. ที่รออยู่
ความรับรู้แวดล้อมก็พร้อมหน้า
เอ็นดูด้วยอ่อนน้อย .. อ่อนช้อยคา-
รวะ - ด้วยอิริยา .. งามท่าที

O งามรูปลักษณ์ศักดิ์สกุลดรุณแก้ว
เช่นพร่างแพร้วรังสิมาเปล่งราศี
บริบททั้งสิ้นย่อมยินดี-
กับงามที่อยู่ล้อมให้ยอมใจ

O พ่อแม่ทั้งเพื่อนผอง .. เห็นพ้องอยู่
ว่างามผู้ล้ำงาม .. เนตรวามไหว
รูปเรียวร่างงามสง่าเกินหน้าใคร
สมกับร่างแกร่งไกร .. ของชายชาญ

O ผู้เป็นแม่เอื้อมกุมมือนุ่มนั้น
ว่าโศกศัลย์ทุกข์ทนจักพ้นผ่าน
รับรองผู้ชาติหงส์ร่วมวงศ์วาน
ปลุกปลอบคราญเร่งรัดให้หยัดยืน

O ข่าว-ทัพพระยาวชิรปราการ
ทะลุทะลวงทัพม่านออกด้านอื่น
หมู่แกล้วกล้าย่างย่ำ .. ฝ่าค่ำคืน
ร่วมกำลังแข็งขืนแต่คืนนั้น

O อัมพวาไกลห่างจากทางศึก
ห้วงจิตใจส่วนลึก .. ก็นึกหวั่น
ห่วง-พ่อ, แม่, รูปงาม .. ทั้งสาม, พลัน-
พาเลี่ยงอันตรายปวงด้วยห่วงใย

O ให้-พ่อ, แม่, รูปคราญอยู่บ้านย่า
คอยเถิดว่าเมื่อกลับ .. คือขับไล่-
ข้าศึกเสียจนสิ้นจากถิ่นไทย
ด้วยหัวใจหวงแหนในแผ่นดิน

O จนพ่อแม่ .. ผองเพื่อนขึ้นเรือนแล้ว
เหลือรูปหน้าผ่องแผ้วไม่แล้วสิ้น
พร้อมลมอ่อยเอื่อยโชย .. เริ่มโรยริน
คือรอบวิญญาณชู้ .. ตั้งอยู่พร้อม !

O ใต้พุ่มพฤกษ์ม้านั่ง .. นั้นตั้งอยู่
อารมณ์ชู้ก็พร้อมสรรพ .. รอขับกล่อม
เมื่ออาวรณ์แห่งชายเข้ารายล้อม
งามก็น้อมแนบหวานแต่กาลนั้น !

O ผ่านมา .. ให้อบอุ่นและคุณค่า
แทรกลงพาอารมณ์ .. ถึง-ซมสั่น
ผ่านมา .. ให้งดงามคอยล่ามพัน-
รัดรึงขวัญ .. ยั่วล้อให้ทรมา

O ยิ้มรับความสดใสแห่งวัยเยาว์
เช่นยามเช้าสุมาลย์ช้อยช่อคอยท่า-
ภุมรินผึ้งภู่ .. ย่อมรู้มา-
ตฤปรสผาณิตหอม .. อย่างยอมตน

O ยิ้มรับความอ่อนไหว .. ของใครนั้น
กับแวววามไหวสั่นนับพันหน
เอ็นดูความขัดเขินหยอกเอินคน-
ผู้เอ่อล้นหวานแล้ว .. ทั่วแววตา !

O เหมือนว่างามลามรุกไปทุกบท
ชี้, กำหนด .. รูปรอยให้คอยหา
และเหมือนงามลามรุกไปทุกครา-
กับท่วงท่าเหลือบค้อน .. ตาซ่อนยิ้ม

O หวังเช่นหวังกุสุมาลย์ .. โน้มก้านค้อม-
ให้เสพหอมรื่นอยู่ .. ไม่รู้อิ่ม
ดูเถิดรูปรมยา .. เปลือกตาพริ้ม-
ดั่งรอพิมพ์พักตร์ละม่อม .. รายล้อมใจ

O เหมือนว่าเนตรเหลือบค้อน, อย่างซ่อนเร้น-
คอยตอบเต้นเวียนวก .. พาอกไหว-
ด้วยอบอุ่นวาบหวาม .. กับความนัย-
ที่เผยให้แรงถวิล .. พลอยดิ้นรน

O คืนนี้ - จันทร์แสงวามดูงามเด่น
พร้อมลมเย็นกล่อมเห่ห้วงเวหน
แรงอาวรณ์โผนผกในอกคน
เมื่อ-งามวนวกช่วง .. ล้อมห้วงใจ

O ริ้วคลื่นหนาวลามแผ่..กระแสลม
หนาวทั้งเนื้อ, อารมณ์ .. ฤๅ-ข่มไหว ?
ถวิลเนียนเนื้อกรุ่น .. พร้อมอุ่นไอ-
ล้อมห่มให้หนาวร้ายได้คลายตัว

O จึงในตาไหววาบ .. เป็นภาพพิมพ์
หน้าผากเนียนแก้มอิ่ม .. รอยยิ้มยั่ว
เผยผ่านเป็นรูปหน้า .. กลางพร่ามัว
ความสั่นรัว .. ก็วาบไหวทั้งใจกาย

O ความอบอุ่น..อ่อนไหว..แห่งวัยสาว
จึงพาหนาวคล้อยเคลื่อนจนเลือนหาย
เมื่อเนื้ออ่อนเนียนละมุน .. พร้อมอุ่นอาย-
โอบห่มหมายทอนหนาวอีกคราวครั้ง

O หน้าผากเนียน .. แก้มอิ่มเนตรพริ้มหลบ
รับบรรจบปากชาย .. ที่คล้ายดั่ง-
เฝ้ารอคอยจนถวิล .. แว่ว-ยินดัง
รอจบฝังฝากรสให้จดจำ

O แนบนิ่งอยู่ .. ตราบระทดระทวยร่าง
หล่นลิ่วกลางเย้ายวน .. เสียงครวญคร่ำ
ครั้งแล้วและครั้งเล่า .. รสเจ้ากรรม-
ก็ซาบซ้ำหวานซึ้ง .. ติดตรึงทรวง

O อ่อนหวานด้วยหวานอุ่นของกรุ่นเนื้อ
ที่โชนเชื้อขับหนาว .. จนหนาวล่วง
หอมนวลสาวเร้ารุม .. นวลพุ่มพวง-
ก็พาร้อนโชนช่วง .. โหมห้วงใจ

O โผยแผ่วผิวพรรณสาว .. อะคร้าวรูป
ต้องจบจูบแผ่วพลัน .. พลิ้ว-สั่นไหว
อย่างแผ่วเบาผ่านอุ่น .. ละมุนละไม
ก็แว่วครวญโหยไห้ .. อยู่ในยาม

O ตื่นตอบรอบอารมณ์เกินข่มขับ
พ้องลำดับมนต์สาป .. รสวาบหวาม
เนื้อเสียดเนื้อ, เนตรใคร-หนอ .. ไหววาม ?
จนเกินห้ามรุมร้อนแห่งฟอนไฟ

O อ้อยอิ่งเบียดเสียดซุกไปทุกส่วน
ที่นิ่มเนื้อเนียนนวล .. แต่ล้วน .. ไหว
ครั้งแล้วและครั้งเล่า .. อย่างเข้าใจ-
กับเสียงไห้หวนพร้อม .. ใต้อ้อมทรวง

O ครั้งแล้วและครั้งเล่า .. ใช่เท่านั้น
ที่โหยสั่น .. ยินแว่วไม่แล้วล่วง
ก่อนหวิวหวีดกรีดประดัง .. ใจทั้งดวง
เพื่อผ่านช่วงแนบกระชับ .. แล้วกลับย้อน

O แทรกระลอกลมแผ่ว – เสียงแว่วหวีด-
ดังก้องกรีดรัวสั่น .. แล้วผัน .. ผ่อน
กระซิบความรุมเร้าแสนเว้าวอน-
นั้นออดอ้อน .. อยู่พร้อมอย่างยอมใจ !


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:02:31 PM
.. 8
๑๑
O แล้วเลือดที่เดือดชุ่ม
เริ่มร้อนรุมดั่งสุมไฟ
ดาบกำก้าวย่ำไป
วาบคมใส่ร่างไพรินทร์


(http://upic.me/i/zt/m5s98.jpg) (http://upic.me/show/46308048)


O คมแทรกชำแรกเนื้อ
พร้อมเลือดเรื่อที่หลั่งริน
ร่างซบลงกลบดิน
และชีวินก็สิ้นลม

O ย่ำเหยียบเข้าเปรียบมือ
ดาบวาดหวือบันลือคม
ชีพยับลงทับถม
ให้รู้ขมให้รู้เค็ม

O ว่ามือเมื่อถือดาบ
เลือดจักซาบและอาบเต็ม-
หน้าคนให้ทนเล็ม
ว่าแดงเข้มนั้นเค็มขม   

O ย่ำเหยียบเข้าเหยียบชีพ
ให้จมลีบใต้ดาบคม
เหยียบหน้าให้สาสม
กับขื่นขมอันยาวนาน

O กู-มากับอารมณ์
หมายขับข่มเข้าล่มลาญ
ใจคอเฝ้ารอผลาญ-
มึง-พวกม่าน .. นับนานคอย

O กู-มาพร้อมคมดาบ
เพื่อกำราบให้สิ้นรอย
ดาบเถือก็เพื่อสอย-
ชีพลิ่วลอยลงกลบดิน

O เลือดคาวมึงคาวเหลือ
ดาบกูเถือก็หลั่งริน
ร่วงรายดุจลายศิลป์
รับชีวินที่ร่วงตาม

O อัดแน่นด้วยแค้นเคือง
หวังรอเปลื้องรอปลิดทราม
ให้ดาบที่วาบวาม
ได้วาบข้ามเข้าบั่นคอ ! 

O ดาลเดือดเข้าเชือดเนื้อ
เลือดแดงเรื่อก็หยาดรอ-
ใจผู้ไม่รู้พอ
ดาบบั่นคอไม่รอใคร

O วันนี้เลือดผีนอง-
เนือง .. ทั่วท้องแผ่นดินไทย
ดาบวาดป้องชาติไว้
ด้วยหัวใจที่เจ็บจำ

O แผ่นน้ำทั้งสามสาย
ที่รอบรายจะร่ายรำ
บวง-เทพให้เสพ, สัม-
ผัส .. ชีพต่ำผู้วางตน

O ผืนน้ำทั้งสามสาย
จักรำบายความตายบน-
ศักดิ์ศรีเสรีชน
ให้งามล้นให้งามล้ำ

O เจ็บจำเอาเป็นโจทก์ 
คืนทัณฑ์โทษที่เคยทำ
ทุกบทเป็นกฎบำ-
รุงชอกช้ำให้ยำเกรง


O เมื่อรุ่งสางพร่างลออ .. วันทอแสง
ดาบก็แกว่งเข้าล่ม .. ผู้ข่มเหง
ครั้งนั้นคาวเลือดชั่ว .. เปรอะตัวเอง
สองมือเกร็งกำดาบ .. กำราบอรินทร์
.
O เพียงแค่เจ็ดเดือนผ่าน .. เข้ากาลใหม่
พลิกฟื้นใจกำสรดเสียหมดสิ้น
มีฮึกเหิมหวงแหน .. ในแผ่นดิน
ทั้งถวิลในเสรี .. เคยมีมา

O สุกี้พะนายกอง .. ชีพล่องลับ
คือผลลัพท์ทุรยศ .. กำหนดค่า
กรุงศรีฯ .. เหลือเพียงซากจนยากยา-
จึงสร้างฟ้าผืนใหม่ .. รวมใจคน

O ครั้งนั้นชายชาติ .. ผู้อาจหาญ
ร่วมยุทธการณ์เข้มแข็งทุกแห่งหน
ช่วยเจ้าตาก .. รบทัพ .. ไม่อับจน
ทั้งผองเพื่อนถ้วนคน .. ร่วมพลไกร

O ครั้งนั้นสามทหารเสือ .. แกร่งเหลือนัก
ร่วมเข่นหักชีพอรินทร์จนสิ้นได้
ทุกหมู่เหล่าป้อมค่าย .. ต้องพ่ายภัย
มาร่วมใจปรารมภ์ .. ใต้ร่มเดียว

O ให้เหล่าไทยถ้วนหมู่ .. มาอยู่ด้วย
ร่วมใจช่วยเผื่อแผ่ .. ร่วมแลเหลียว
ร่วมสุขโศกอภิรมย์ .. ร่วมกลมเกลียว
ร่วมข้องเกี่ยวแน่นแฟ้น .. ร่วมแผ่นดิน



หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:05:28 PM
.. 9

O แล้วรูปคราญแห่งบ้านอัมพวา
พร้อมธิดาบุตรชายก็ย้ายถิ่น
เพื่อเคียงแกล้วผู้กล้า .. แห่งธานินทร์-
ให้ผู้คนทั้งสิ้นได้ยินดี


(http://upic.me/i/vv/wid79.jpg) (http://upic.me/show/46308142)


O งามเอยรูปคราญ .. แห่งวานวัน
เป็นมิ่งขวัญคู่ทุกข์ในทุกที่
รูปงามเชิดชูหน้า .. แก่สามี
คุณสมบัติกุลสตรี .. เจ้ามีพร้อม

O ช่วยส่งเสริมหน้าที่ .. สามีเจ้า
จนเสียงเล่าลือผ่านทุกย่าน .. หย่อม
เติบเต็มด้วยสุขล้ำให้ด่ำดอม
จนหล่อหลอมสองใจ .. อยู่ใกล้ชิด

O เมื่อคุณพระ .. ก้าวหน้าในหน้าที่
ก็ด้วยศรีแหนหวงทั้งดวงจิต
งดงามคุณความดี .. ทั้งชีวิต
ศักดิ์และสิทธิ์คุณหญิง .. ก็ทอดรอ

O สุขสงบดวงขวัญ .. ในวันผ่าน
ด้วยอ่อนหวาน .. พูนเพิ่มช่วยเติมต่อ
ความเข้าใจคู่เคียง .. ก็เพียงพอ-
จนเกิดก่อ .. ความหวัง .. กำลังใจ

O เมื่อมีลูกปลูกฝังแต่ยังเยาว์
นั่นคือเบ้าหลอมคิด .. อวยจิตให้-
ผ่านสุขโศก .. มั่นคงจำนงนัย
พาเข้าไขชักนำ .. เข้าทำการณ์

O เช้าหนึ่งเมื่อ .. แถวพระค่อยละที่
หมู่แกล้วก็จรลี .. ถึงที่บ้าน
หมวก .. ดาบ .. เปื้อนเลือดคน .. อยู่บนพาน
แจ้งข่าวผู้วายปราณ .. ชีพลาญลบ

O มีโองการปรากฎ .. อวยยศศักดิ์
เมื่อน้าตารินหนัก..เกินกักกลบ
ใจงามราวจะขาดซึ่งชาติภพ
ร่างก็กองทรุดซบ .. ลงจบพื้น

O ทั้งพ่อแม่ .. รู้ข่าวก็ราวว่า-
ชีพชีวาจะลับล่มด้วยขมขื่น
ความอาดูรเจ็บช้ำ .. ที่กล้ำกลืน
ย่อมสุดฝืนถอดถอน .. ให้ผ่อนคลาย

O ราวโลกจะแหลกลงที่ตรงหน้า
ทรมาท่วมอยู่ไม่รู้หาย
อกแม่ลูกจะเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
จนตราบวายชีวาตม์ .. แห่งชาตินี้

O ศักดิ์ศรี, เลือด ชายไทย .. ก็ได้หลั่ง
และกายฝังฝากดิน ..ในถิ่นที่-
ได้ปกป้องด้วยชาติ .. เป็นราชพลี
เพื่อแผ่นพื้นปฐพี .. อยู่จีรัง

O เลือดไทย .. พร้อมศักดิ์ศรีอย่างที่เห็น-
ย่อมแฝงเร้นเค้าเรื่องอยู่เบื้องหลัง
เพียงเพื่อชีพไพรินทร์ .. จักภินท์พัง
แม้นดินฝังกลบหน้า .. ฤๅอาลัย

๑๑
O เศร้าเสียงพญาโศก
ยามกล่อมโลกย่อมบีบใจ
เรื่องหลังก็หลั่งไหล
ละภาพไหวภาพใคร-จำ

O หมื่นพันจำนรรจ์เปรียบ
ฤๅอาจเทียบที่เคยทำ
หยอกหัวเย้ายั่วคำ
จักย้อนย้ำซ้ำซ้ำหน

O โดยภาพทุกภาพนั้น
ย่อมบีบคั้นหัวใจคน
ละภาพละภาพพ้น
ย่อมมืดมนในหนทาง

O แท้เทียวคือทอดทิ้ง
ทำใจหญิงแทบวายวาง
แท้เทียวคือทิ้งขว้าง
ให้อ้างว้างอยู่เอกา

O กลางเสียงพญาโศก
ย่อมชุ่มโชกด้วยน้ำตา
เสียงโศกย่อมโศกสา-
หัสะว่าจะพร่าเผา

O นกร้องคนพร้องพร่ำ
ด้วยชอกช้ำกระหน่ำเอา
ลมลูบเหมือนรูปเงา
คอยหยอกเย้ารุมเร้าทรวง

O เมื่อรักไยมารุก
ด้วยทัณฑ์ทุกข์ที่ทาบทวง
เมื่อห่างไยต้องหวง
จิตเหนี่ยวหน่วงด้วยห่วงใย

O กี่ภพจึงหลบพ้น
กี่ชีพป่นวัฏฏ์วนไป
กี่วงรอบหลงใหล
จึงหยุดไหวหยุดรอบวง

O มีคู่ย่อมรู้ค่า
รู้ปรารนารู้จำนง
กี่คู่เล่าอยู่คง
ตราบชีพปลงชาติวายปราณ

O สิ้นเสียงสำนึกสั่ง
ก็ภินท์พังกำลังพาล
มากมายความทรมาน
ก็บรรสารให้เสพสม

O ทึกทึกสะท้อนจิต
กระอุฤทธิอารมณ์
ราวชีพจะลีบจม
ด้วยสุดข่มความอาดูร

O ชาติหน้าหรือชาติไหน
ขอรักได้แจ่มจำรูญ
สืบสายอย่าสิ้นสูญ
คอยเกื้อกูลอยู่ด้วยกัน

O สิ้นถ้อยอธิษฐาน
ก็ถึงกาละชีวัน
วูบดับลงฉับพลัน
ให้โศกศัลย์คร่ำครวญเสียง

O ย่าหลานเข้าช่วยอุ้ม
แม่ผู้ทุมนัสเพียง-
วิญญาณจะลาญเคียง
มโนภาพต่อคราบมรณ์

O อกใจนั้นไหวแผ่ว
แทบขาดแล้วอยู่รอนรอน
อาลัยทั้งอาวรณ์
นั้นสุดถอนให้ขาดหาย

O อวยสุขโอนทุกข์ยาก
ยอมลำบากทั้งใจกาย
เพื่อเมียไม่เสียดาย
ยอมกรากกรำอยู่ซ้ำหน

O สิ้นแล้วดวงแก้วน้อง
ให้ร่ำร้องทุรนทน
สิ้นชาติอำนาจคน
ผู้จำนนต่อเวรกรรม

O สิ้นร่มจะบังร้อน
เพื่อทาน-ทอนแรงแดด-ทำ
สิ้นบุญจะหนุนนำ
พาชอกช้ำระกำ-สูญ

O ตรมตรอมพรั่งพร้อมหน้า
เพื่อเหว่ว้าทั้งอาดูร
โถมถั่งเข้าดั่งกูณฑ์
คอยเพิ่มพูนฤทธิ์เผาผลาญ

O โอ่หนอ..คณาอา-
วุธะกล้าคงนับนาน-
เปื้อนฝุ่นอยู่บนพาน.
รอรอบกาล-ลบด้านคม


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:06:49 PM
.. 10

O ที่ใจเมือง .. ผู้คน .. สับสนย่าง-
ไปท่ามกลางสำเนียง .. ศัพท์เสียง – ขรม
รูปหน้างาม .. สายตา .. พร้อมอารมณ์-
สบ, ผูกปมผูกเงื่อนเกินเคลื่อน .. คลาย


(http://upic.me/i/b7/86410.jpg) (http://upic.me/show/46308211)


O สบแล้วก็เมินหลบ .. แล้วสบอีก
จะเลื่อนหลีกเลี่ยงไปก็ใจหาย
จะพ้นผ่านไปเสีย .. ก็เสียดาย-
กับชม้ายชายตอบ .. คอยลอบมอง

O งามรูปหน้า .. ผมสลวย-แววขวยเขิน-
คล้ายรอเพ่งพิศเพลิน .. จนเกินป้อง
เนียนแก้มหน้า .. ตาระยับแววจับจอง-
เมื่อผ่านพ้อง .. ครั้นจะพราก-ย่อมยากนัก

O ดูเถิด-รูปเอวองค์ที่ตรงหน้า
คล้ายรอให้สายตาลองฝ่า .. หัก
เจ้าเอยชม้ายสู่ .. เหมือนรู้ชัก-
ชวนมาตักตวงงาม .. ผูกล่ามใจ

O และทุกครั้งเมื่อยิ้ม .. แก้มอิ่มนั่น-
ก็บีบคั้นเอ็นดู .. จนรู้ได้-
ด้วยจุมพิตหอมหวานส่งผ่านไป
ฝากลำลมอ่อนไหวโลมไล้แทน

O แก้มอิ่มนวลเนื้อสาว .. ก็ราวว่า-
สัมผัสค่าอ่อนหวานที่ผ่านแล่น
จากหัวใจ .. แววตา .. ล่องฝ่าแดน-
เข้าห้อมแหนเนียนเนื้อ-แก้มเรื่อนั้น

O กาแฟหอมกรุ่นกลิ่น .. ครั้นสิ้นรส-
ก็เมื่อบทบาทใหม่เริ่มไหวสั่น
เป็นบทบาทอ่อนหวาน .. แปลก-ปานกัน-
กับหอมปันแปลกรสให้ทดลอง

O สืบความหมายผ่านล่วง .. ของช่วงห่าง-
ในแห่งที่หนทาง .. ระหว่างสอง
เฝ้าตอบแทนคืนกลับ .. คอยรับรอง
เพื่อตรึกตรองแปลความ .. เอาตามใจ

O ดูเถิด .. แก้มฝาดเรื่อ .. เนียนเนื้อนิ่ม-
คล้ายผ่านความเอิบอิ่ม .. ลอบยิ้มให้
จะยินหรือโผนผกห้วงอกใคร-
ที่ระทึกสั่นไหวอยู่ .. ในตน !

O รื่นรมย์ กับรูปองค์ .. ที่ตรงหน้า-
ที่เหลือบตาล้อมขวัญเป็นพันหน
สบเมียงเมิน บังพราง .. ของบางคน
หวานหอมก็ล้อมลนให้ .. อลเวง !

O ยั่วเย้ยแล่นระลอกราวบอกว่า-
จะอยู่ล้อทรมา .. ต่อตา-เพ่ง-
เลือดบนแก้มเรื่ออยู่...ควรรู้เอง-
มัวแกลนเกรงอยู่ไย...นะใจชาย

O อันมณีน้ำวาม .. เนื้องามแสน
ฤๅอาจแทนด้วยแก้ว .. แม้นแววฉาย-
จากเหลี่ยมมุมแสงต่ำ .. ตกรำบาย
จะแค่คล้ายน้ำปลั่ง .. ชั่วครั้งคราว

O จึงมณีน้ำปลั่ง .. ที่ตั้งอยู่-
แค่เพียงดู .. ไม่คืบ เข้าสืบสาว-
เอาแต่งเรือนแหวนประดับ .. ให้วับวาว
หรือ - คืบก้าวเข้าไป .. เพื่อได้รู้ ?

O ยิ้มรับความงดงาม .. ในท่ามกลาง-
การเร้นพรางอารมณ์ .. เฝ้าข่มอยู่
แววตาที่สบตอบ .. คอยลอบดู-
เหมือนคอยเร้าแรงชู้ .. ไม่รู้วาง !

O รอคอยจะพบกันในวันหน้า
เมื่อคุณค่าพ้องกัน .. เกินกั้นขวาง
รสประณีตความร้อย .. ในรอยทาง
ก็มอบวางชักนำ .. เหยียบย่ำรอย

O แต่สิ้นชาติวาสนาชะตาคู่
เพียงรับรู้เปลี่ยวเปล่า .. และเศร้าสร้อย
แสงชีวันทอดทอ .. เพียงรอคอย
บรรจบด้วยขวัญน้อย .. ทุกรอยใจ

O แม้นเพรงกรรมเชี่ยวกราก .. จำพรากภพ
จักเกลื่อนกลบแรงถวิล .. ฤๅสิ้นได้
สัญญาตรึงลงทรวง .. ถ้วนปวงนัย-
ร่างมอดไหม้กี่ครั้ง .. ก็ยังคง

O เที่ยวท่องล่องฟากฝั่ง .. วัฏฏ์สังสาร
ล้วนหอมหวานเร้ารุม .. ให้ลุ่มหลง
กี่รอบร่าง, ดวงจิต-ถึงปลิดปลง
จึงเสริมส่งหลุดพ้น .. ด้วยตนเอง

O จากอุบัติ .. ตั้งอยู่ .. จนรู้รส
ตราบเบิกบทเร้ารุมเข้ากุมเหง
จำเริญการหยอกยั่ว .. ไม่กลัวเกรง
การรุดเร่งอารมณ์ .. อันสมยอม

O กำซาบรสรมย์แสนย์ .. อันแหนหวง-
ทอดทับทรวงสั่นสะท้านด้วยหวานหอม
โอนอบอุ่นซาบซ้ำ .. ให้ด่ำดอม
ด้วยอารมณ์รอบล้อม .. อยู่พร้อมแล้ว

O มาเถิดเจ้า .. อกอ้อมรอน้อมอิง
จงผ่อนพิงหัวใจอันไหว .. แผ่ว
รั้งรอฤๅเนตรปลาบ .. จงวาบแวว
ให้รู้แนวสืบสม .. อารมณ์นั้น

O พบเจอแล้วจำพราก .. ซ้ำซากนัก
ยังคงถูกกุมกัก .. เกินหักบั่น
คล้ายหัวใจตอบรับข้ามกัปกัลป์
เย้ยโทษทัณฑ์ทรมา .. ด้วย-อาลัย

O กี่วงเวียนสงสารผันผ่านล่วง
ยังคล้องบ่วงรัดรึง .. มาถึงได้
กี่ช่วงภพชาติดับ .. เลือนลับไป
ยังอยู่ในสัญญาไม่ล้าเลือน

O มีคนพร้อมหัวใจ .. แม้นไหวหวั่น-
หากดวงขวัญ .. ยิ่งใหญ่ยากใครเหมือน
มีมาดมั่นในจิต .. เกินบิดเบือน
เพื่อแล่นเลื่อนเสน่หา .. สัญญาใจ

O เพื่อคอยเตือนดวงจิต..สัมฤทธิ์รู้
ว่าเพียงผู้เดียวนั้นที่ฝันใฝ่
บรรจบรูปแล้วยากเกินพรากไป
ตราบบรรลัยชีพม้วยลงด้วยกรรม

O เหมือนรอบบุญแรงบาปได้สาปส่ง
ตรึงจำนงคงอยู่ให้รู้สัม-
ผัส .. อ่อนหวานน้อมแนบ .. ที่แอบอำ-
ลงตอกย้ำอาลัยด้วยใครนั้น

O คล้ายติดตามมาทวง .. บำบวงพากย์
ก่อนพลัดพรากเลือนลับ .. แตกดับขันธ์
จึงเผยรูปรอยโจทก์ .. ชี้โทษทัณฑ์
ผูกรัดพันชีพเชื้อด้วยเยื่อใย

O ถวิลรูป..ฤๅเว้น-อยากเห็นหน้า
ละห้อยหาอาวรณ์ .. เกินผ่อนไหว
หรือบาปกรรมเคยสร้างแต่ปางใด
รุมเร้าใจตรึงมั่น .. แต่สัญญา

O แม้นรอบกรรมวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก
จะเจือโศกเคล้าคลุกไปทุกหน้า
คงยอมรับชะตากรรม .. ให้นำพา
ล่องลอยฝ่าอาวรณ์ .. อย่าผ่อนเลย

O หวังสบโทษทัณฑ์มี .. เท่าที่สร้าง
พากย์เอ่ยอ้างเคยมี .. จักคลี่เผย
เพื่อความอ่อนหวานละมุนอันคุ้นเคย-
จะรอให้ชิดเชยอย่างเคยมี

O ฤๅรับบุญร่วมบาตรแต่ชาติก่อน
จึงสุดผ่อนเพลาค่ารูปราศี
แรกบรรจบหัวใจจึงไหววี
พ้องความวาบหวามที่เคยมีมา

O คงตักบาตรร่วมขันแต่วันก่อน
ดาลถ้วนคำบวงอ้อนกลับย้อนหา
จำหลักความมุ่งมั่นลงสัญญา
เพื่อตรึงตราแต่ในน้ำใจเดียว

O จักรอคอยละห้อยเห็นอยู่เช่นนี้
รอ-ท่าทีแววตา .. ละล้าเหลียว
รอ-ดวงใจปลิดปลิวด้วยนิ้วเรียว
เมื่อเจ้าเหนี่ยวเด็ดวางลง-กลางใจ

O รอคอยตราบ .. พบกันในวันนี้
ก็วันที่รูปฝัน .. พร้อมฝันใฝ่-
บรรจบหวานผ่านเจือ .. สู่เนื้อใจ
ร่วมอาลัยผูกพันตามสัญญา

O รอคอยตราบ .. พบกันในวันนี้
ในวันที่หวานละมุนและคุณค่า-
ได้เติบตนผ่องผาย .. สบสายตา
เจ้าเอย .. รู้ไหมว่า .. ใครอาวรณ์ ?


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:08:13 PM
.. 11

O คะนึงนึก-ความวอนแสนอ่อนหวาน ..
.. ปางพี่มาดหมายสมานสุมาลย์สมร
ดังหมายดวงหมายเดือนดารากร
อันลอยพึ้นอัมพรโพยมพราย ..


(http://upic.me/i/xg/vq411.jpg) (http://upic.me/show/46308254)


.. แม้นพี่เหิรเดินได้ในเวหาส
ถึงจะมาดก็ไม่เสียซึ่งแรงหมาย
มิได้ชมก็พอได้ดำเนิรชาย
เมียงหมายรัศมีพิมานมอง ..

.. นี่สุดหมายที่จะมาดสุมาลย์สมาน
สุดหาญที่จะเหิรเวหาสห้อง
สุดคิดที่จะเข้าเคียงประคอง
สุดสนองใจสนิทเสน่ห์กัน ..

.. โอ้แต่นี้นับทวีแต่เทวศ
จะต้องนองชลเนตรกันแสงศัลย์
จะแลลับเหมือนหนึ่งดับเดือนตะวัน
เมื่อเลี้ยวเหลี่ยมสัตภัณฑ์ยุคนธร ..

.. ยิ่งคะนึงยิ่งนานจะเห็นพักตร์
ฉวยฉุดรักแล้วจะทอดฤทัยถอน
ไม่เห็นกรรมว่าจะนำให้ไกลกร
ไม่เห็นรักว่าจะรอนให้แรมโรย ..

.. อกเอ๋ยเมื่อได้เคยประโลมเล่น
ครั้นห่างเห็นแล้วก็ได้แต่เตือนโหย
ยามดำเนิรเดินดินอาดูรโดย
ก่นแต่โกยกอบทุกข์มาทับกาย ..

.. จะผ่อนผันฉันใดก็ใช่ที่
อันนับปีแต่จะเริดจะร้างหาย
จะอาดูรแต่ผู้เดียวอยู่เปลี่ยวกาย
มิได้วายความถวิลที่จินตนา ..

.. แม้นกุศลเราสองเคยร่วมสร้าง
ขอร่วมห้องอย่าได้ห่างเสน่หา
เสียงผลที่ได้เพิ่มบำเพ็ญมา
ขอร่วมชีวาร่วมวางชีวาวาย ..

.. เกิดไหนขอให้ได้ถนอมพักตร์
ความรักอย่าได้ร้างอารมณ์สลาย
รักนุชอย่าได้สุดเสน่ห์คลาย
ขอสมหมายที่ข้ามาดสมาทาน ..

O สร้อยสุมาลย์บานช่อ .. ร่ำรอพร้อม-
แฝงฝากกลิ่นรายล้อม .. รสหอมหวาน
อกเอยแต่โลมลูบด้วยรูปคราญ
ก็เอ่อซ่านรอบซึ้งอยู่อึงอล

O เมื่อโคมฟ้าลอยดวง .. โชนช่วงแสง
งามก็แฝงฝากช่วงทั้งห้วงหน
พร้อมผึ้งภู่ .. ภุมรินเริ่มบินวน
สีสันโกสุมบน .. ก็เบ่งบาน

O ปีกวิหคแผ่กาง .. ลอยร่าง-ร่อน
สูงต่ำตอนเสาะหาภักษาหาร
ท่ามกลางเสียงนกแว่ว .. ลมแผ่วพาน
หนึ่งรูปคราญก็ลอยล่อให้รอชม

O แต่พบกัน .. อาวรณ์ก็ร่อนคว้าง
อยู่ท่ามกลางแดดทอ .. มาลย์ช่อ-ฉม
เสริมกำลังปรารถนา .. แห่งอารมณ์-
เข้าสั่งสมแนบทรวง .. เกินล่วงล้าง

O หรือพบกัน .. จากกรรมชี้นำทิศ
จึงเมื่อพิศยามแรก .. สุดแยกห่าง
หรือรอบบุญแรงกรรมนั้นนำทาง-
ยกก้าวย่างผ่านเงา .. สบเว้าวอน

O โอ นั่น น้ำเนตรพรับ .. แวววับไหว
สื่อส่งให้พร่ำพลอด .. ความออดอ้อน
แล้วค่อยถ่ายคะนึงหา .. รอบอาวรณ์-
ลงสุมซ้อนความรัก .. ให้ตักตวง

O ราวหวานหอมทั้งหล้า .. น้อมมาให้-
อยู่ชิดใกล้, อ้อมแขน-ผู้แสนหวง-
ก็อยู่รอก่อกรรมเช่นคำบวง-
ล้อมร่างดวงสวาดิน้อยผู้กลอยใจ

O ครั้งนั้น..คำ, ความผอง .. ท่านกรองร้อย
กอปรโศกสร้อยรันทม .. เกินข่มไหว
ด้วยความรัก .. แหนหวง .. ด้วยห่วงใย-
ก่อนบรรลัยชีพดับ .. เลือนลับกัน

O ครั้งนี้ .. ความอาวรณ์เจ้าอ่อนน้อย
ใช่เพียงถ้อยความพร้อมรอกล่อมขวัญ
หากมีความอ่อนไหว .. เหมือนไฟควัน-
เต้นเปลวสั่น-เร้ารุมลงสุมทรวง

O รุ่มร้อนเอย .. ครันครบอยากพบหน้า
ด้วยคำนึงปรารถนา .. ไม่ล้าล่วง
เมื่องดงามผ่านคาบลงทาบทวง
ใจทั้งดวง .. ก็เหนี่ยวงาม .. ผูกล่ามใจ

O เฝ้าแต่คอยละห้อยเห็นไม่เว้นช่วง
ด้วยความหวงแหนอยู่ .. จนรู้ได้-
ว่าแม้นชีพดับดิ้นจนสิ้นไป-
ยังอาลัยอาวรณ์ .. ยากผ่อนเพลา

O โอ อกใครหนอระส่ำ .. คล้ายคร่ำครวญ
ล่มกำสรวลโศกสร้อย .. ทุกรอยเหงา
แต่เมื่องามสดใส .. แห่งวัยเยาว์-
อยู่รุมเร้า .. โลมรุกไปทุกตอน

O โกสุมเชิดเรณูเหมือนรู้เชิง-
ให้ภู่เหลิงห้อมเห่ .. หยาดเกสร
เช่นอกคนครวญคร่ำ .. ถ้อยคำวอน
ด้วยหลงเหลิงออดอ้อน .. สะท้อนสะท้าน

O งามรูปองค์ชาติเชื้อ .. ก็เหลือรู้-
จะอาจกู้ตัวตน .. ให้พ้นผ่าน
คงเกินใจมุ่งมั่น .. อาจบันดาล
เข้าต่อต้านปรารถนา .. แรงอาลัย

O โอ งามคงจะตามลงล่ามพัน-
ผูกดวงขวัญเว้าวอนผู้อ่อนไหว
โอ คาบยามอบอุ่นละมุนละไม
เหมือนคอยไล้โลมยั่ว..เย้ยตัวตน

O กลีบพะยอมนิ่มเนื้อ .. นั้นเหลือนุ่ม
ลมผ่าวรุมไหวระรัว .. ก็กลัวหล่น
ค่อยโน้มแนบด่ำดอม .. กรุ่นหอมปรน-
เปรอใจวนว่ายหอม .. ไม่ยอมร้าง

O งดงามเอย .. มาลย์สรวงเมื่อร่วงหล่น
พร้อมใจคนหลงชู้ไม่รู้สร่าง
ร่อนโล้สายลมหวน .. เสียงครวญคราง
พาความอ้างว้างซบลงกลบดิน

O ฟังเถิด .. ความอาวรณ์ .. เจ้าอ่อนน้อย
จักเฝ้าร้อยความสู่ .. ไม่รู้สิ้น
จะเช่นลมหายใจอันไหลริน-
คอยหล่อเลี้ยงชีวิน .. จนสิ้นใจ

O นบองค์พระปฏิมา .. รูปราศี
ความลูกมีพร่ำพ้อ .. เพียงขอให้-
คำสัตย์เมื่อมอบสู่ .. ถึงผู้ใด-
ย่อมมีนัยสัตย์นั้น .. จวบวันวาย

O น้อมจิตนอบ .. องค์พระ .. นมัสการ
มีรูปคราญบริสุทธิ์เป็นจุดหมาย
วางอาวรณ์อาลัยจากใจชาย-
มอบต่อสายสวาดิชู้ .. เพียงผู้เดียว

O งดงามเอย .. แววระยับยามพรับพริ้ม
จักเผยยิ้มย้อนตอบ .. หรือลอบเหลียว ?
ฟ้าหม่นมัว .. ลมพลิ้ว, เหมือนนิ้วเรียว-
เอื้อมมาเหนี่ยวเด็ดใจ .. เอาไปครอง !

O ลับรูปแล้ว .. รูปหน้า, แววตานั้น-
คล้ายยังสั่นไหวรับ .. การจับจ้อง
ทิ้งรูปนามทอดทับ .. การรับรอง-
ของหัวใจพร่ำพร้อง .. หมายปอง .. เงา

O เผยรูปขึ้นต่อตา .. ค้ำคาขวัญ
เพรียกร่องรอยผูกพันแห่งวันเก่า
แต่เมื่อแววซ่อนยิ้ม .. แสนพริ้มเพรา-
คล้ายคอยเย้ายั่วงาม .. เข้าล่ามพัน

O เลือนรางด้วยรูปพรรณ .. ในสัญญา-
ที่เหมือนว่าค่อยกระจ่างขึ้นกลางขวัญ
ตั้งแต่ตาสบรูป .. ที่วูบพลัน-
คือใจวูบวาบสั่น .. ขึ้นทันใด

O ชายฟ้าเลื่อน, ดวงวันค่อยผันผ่าน-
สู่คาบกาลเมฆแซม .. ฟ้าแจ่มใส
แดดยามสายเห็นระยิบอยู่ลิบไกล
รูปอำไพก็แทรกแดด .. ขึ้นแวดล้อม

O คะนึงนึก .. เรียวรูปไหววูบนั้น-
ภาษรำพันก็พร้อมสรรพ .. รอขับกล่อม-
ให้รองรับแรงถวิล .. ด้วยยินยอม-
กุมกักด้วยหวานหอม .. จนยอมใจ


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:09:44 PM
.. 12

O จน .. ร่วมบุญตักบาตร .. อาวาสเหนือ
เพ่งจิตเพื่อแรงบุญจักหนุนให้-
กำลังแห่งเสน่หาแรงอาลัย-
ท่วมอกใจพาถวิล .. พลอยดิ้นรน


(http://upic.me/i/co/0ux12.jpg) (http://upic.me/show/46308275)


O ลงสองเข่ากรประนม..คอก้มต่ำ
บำบวงธรรมตรึกตรองครรลองผล
แว่วคำพระกล่าวกล่อม..เข้าล้อมลน
ก็แช่มชื่นเหลือล้นอยู่บนใจ

O เรียวนิ้วงามจับของประคองถวาย
แล้วหมอบกายหน้าก้ม, น้ำพรมใส่
เป็นน้ำมนต์บริกรรมพากย์ธรรมนัย
ป้องอาลัยอาวรณ์ให้ทอนแรง

O ราวหอมรื่นพัสตร์ห่ม..บังบ่มผิว
ร่ำลมริ้วผ่าวแนบ..เข้าแอบแฝง
นาสิกใกล้หอมอยู่..ฤๅรู้แปลง-
เปลี่ยนจากแหล่งพักตร์ละม่อม..กรุ่นหอมนั้น

O กลิ่นธูปและควันเทียน..ไหวเวียนอยู่
เมื่อตารู้..งามพิไลเริ่มไหวสั่น
ประกายวับวามอยู่เกินรู้-กัน
จนกราบพระคล้อยหัน..ก็พลันพบ

O งดงามนักเจ้าเอย..เมื่อเผยสู่
สบเนตรนิ่งงันอยู่เกินรู้หลบ
เกศินีนวลปรางสะอางครบ
จะเลือนลบจากใจอย่างไรพ้น

O แว่วพระสวดธรรมบท..ปรากฎเสียง
ความเรื่อยเรียงให้สดับ..อยู่สับสน
วงพักตร์หวาน, ธรรมนัย-แว่วไหววน
พร้อมอกหนึ่งอึงอล..อยู่บนยาม

O มาไหว้พระทำบุญ..เพื่อหนุนชาติ
หวังบำราศทุกข์โศกแห่งโลกสาม
ให้นัยธรรมหลอมเหลว..ส่วนเลวทราม
พาข่มข้ามขวากขวางที่วางรอ

O ด้วยศักดิ์ศรีชายผู้..ไม่คู้ต่ำ
ไม่อาจย่ำทางสู่..ท่านผู้ขอ
ตรองข้อธรรมร้อยเรียงย่อมเพียงพอ
เอาเติมต่อวิชชาเป็นอาภรณ์

O มาทำบุญถวายพระ..สังฆทาน
ให้พระผ่านนัยธรรมขึ้นย้ำสอน
แจ่มกระจ่างโศกสุขไปทุกตอน
แล้วรับพรรื่นล้ำ..พร้อมน้ำมนต์

O หอมกรุ่นรูปพัสตรา..เบื้องหน้านั้น
ก่อนค่อยผันพักตร์เหลียว..มาเกี่ยวผล-
จากรูปเผยสบต้อง..ตาของคน
ลุกลามอลวนไหวที่ในทรวง

O โพธิ์ยังคงระบัดใบ..เมื่อใจล่อง-
สู่พักตร์ผ่องเนตรวามที่ลามล่วง-
มาจับจองนัยคำ..ถ้อยบำบวง-
ให้โชนช่วงรอบกรรม..มุ่งบำเพ็ญ

O ศักดิ์สิทธิ์เสียจริงหนอ..คำขอนี้
จึงมือที่ผู้ใดมองไม่เห็น
คล้ายจับจูงชาติภพ..บรรจบ-เป็น-
นัยแฝงเร้นจดจ่อ...เฝ้ารอคอย

O อารามวัดเรือนไม้ที่ริมน้ำ
อีกครั้งที่รอบกรรมและคำถ้อย
พาบรรจบรูปแพงผู้แฝงรอย
ให้คนพลอยถวิลเห็นไม่เว้นวาย

O ใกล้เจดีย์โบสถ์เก่า..อันเก่าคร่ำ
คือคลื่นน้ำลมพลิ้วเป็นริ้วสาย
บนเรือนไม้นัยธรรม..แว่วรำบาย
ความมุ่งหมายพิสมัยแห่งใจคน

O รูปอดีตเจ้าหลวงนั้นตั้งเด่น
ที่บวงเซ่นเถ้าปวง..เริ่มร่วงหล่น
คือวัดโกษาวาส..ที่ชาติชน
เคยสืบผลธรรมพุทธโดยดุษณี

O ก้มกราบรูปองค์พระ..รูปพระพุทธ
เหลื่อมทองผุดผ่องตา..เรื้องราศี
พักตร์สงบงันอยู่..ช่วยชูชี-
วาตม์คนที่รุมร้อน..ได้ผ่อนลง

O ใกล้ใกล้ที่นั่งสงฆ์...ใกล้องค์พระ
แว่ววาทะกล่อมจิตให้คิดบ่ง-
เอาเสี้ยนแหลมแซมจิต..พาปลิดปลง
แล้วเสริมส่งรอบกรรมในสัมมา

O กราบองค์พระลมรื่นใจตื่นพร้อม
เมื่อคล้ายกรุ่นกลิ่นหอม...ละม่อมหน้า-
จะวาบไหวบริบทออกจดตา
ใจเอยแต่ละล้าเหลียวหาเงา

O เกษินีนวลปราง..หันข้างอยู่
คล้ายรอกู้ส่วนเสี้ยว..ความเปลี่ยวเหงา-
แห่งอาวรณ์รูปนั้นให้บรรเทา
ดูเถิด..คำพระเจ้า-ยืดยาวจริง

O แล้วก้มกราบรูปสงฆ์..บรรจงน้อม
ผมหล่นล้อมวงหน้า..จบหน้านิ่ง
เพียงชั่วยามรูปพิไล..หยุดไหวติง
กลับนานยิ่งในคะนึงของหนึ่งคน

O มาด้วยเพื่อนอีกสอง..ผู้ปองธรรม
เพื่อขัดค้ำครอบจิตจากพิษฉล
งามรูปลักษณ์กิริยาก็น่ายล
คล้าย-งามล้นล้ำล่วงถึงดวงใจ

O เงยหน้าเจ้า..หันหน้าเข้าหาเพื่อน
เนตรคล้อยเบือนสบกัน..ก็พลันไหว-
วาบหวามละลามล่วงสู่ทรวงใน
โอ้อกใครระทึกก้องดั่งกลองตี

O สบแล้วเมินเมียงหลบ..แล้วสบอีก
ด้วยสุดตาจะอาจปลีก...หลบหลีกหนี
ชั่วเงียบงันหัวใจ..กลับไหววี
ราวมือที่แฝงเร้น..บีบเค้นลง

O ช่างอ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง..เสียยิ่งแล้ว
เนตรผ่องแผ้ว..แก้มคางเรียวร่างหงส์
ราวแทรกรูปดิ่งด่ำ..ให้ดำรง
แนบจำนงพาใจพลอยไขว่คว้า

O จนเสียงพระการุณ..บอกบุญ-แว่ว
เมื่อฝนหลั่งลงแล้ว..แน่แน่ว..ว่า-
งานสมโภชองค์พระ..สืบชะตา-
ยกช่อฟ้า..ขึ้นตั้งจะยังมี

O เชิญ..มาร่วมตักบาตรหนุนชาติภพ
คล้อยบรรจบคุณค่าและราศี
เสริมส่งวาสนาและบารมี
คล้ายวาทีตอบกลับ..จะรับคำ

O อีกเพียงสองสัปดาห์จะมาถึง
ให้รูปหนึ่งตักบาตรร่วมยาตรย่ำ-
พาจิตใจก้าวย่างสู่ทางธรรม
เพื่อโน้มนำสัมมา..จิตนารี

O มองหน้าแววอุทธัจก็ชัดแจ้ง
บรรโลมแต่งแก้มเนื้อจนเรื่อสี
ลมล่องน้ำหลากไหล..เงื่อนไมตรี-
ราวจะคลี่คลายบ่วง..คล้องดวงใจ

.... มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด
ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่
ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย
จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง....

....มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ
หวังลดละ..ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง
แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง
ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง....

O ราวว่าจินตภาพฟ้องให้มองเห็น
งามเกินเว้นตาพรับเมื่อจับจ้อง
กระโปรงผ้าสีพื้น, แพรผืนทอง-
คล้ายเหลื่อมสองภาพซ้อน..แต่ตอนนั้น

O เช้านี้ลมพลิ้วไหว..โลมไม้ดอก
คล้ายยั่วหยอกโยกให้..พุ่มไหวสั่น
ภุมรินเร่งรุดล้อมบุษบัน
เมื่อแรกวันเริ่มช่วงด้วย..ดวงไฟ

O อ้อยอิ่งกลาง-หมอกเช้าอันขาวขุ่น
คืออกอุ่นอาวรณ์-ผู้อ่อนไหว
ริ้วลมร่ำแผ่วผ่าน-ดอกมาลย์ไกว
เช่น-อาลัยถวิลอยู่..ไม่รู้วาง

O ร่อนเร่เสาะสุมาลย์อันหวานหอม
ผึ้งบินล้อมเรณู..แต่ตรู่สาง
ละม่อมรูปอิริยาและท่าทาง
ก็ล้อมขวางกักกันคอยบัญชา

O เฝ้าคอยมานับนานแต่กาลไหน
จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยหา
ห้วงคำนึงทั้งผอง, ในสองตา-
จึงเหมือนว่าประทับอยู่แต่ผู้เดียว

O หรือพิมพ์ลงสัญญาแต่คราที่-
ร่วมวาทีพร่ำพร้อง..รอข้องเกี่ยว
จะกี่ภพกี่ชาติ, สวาดิเกลียว-
จงรัดเหนี่ยวผูกกันนิรันดร

O อ่อนหวานศัพท์สำเนียงความเอียงอาย
เหมือนผุดพรายออกเผยจากเคยซ่อน
เติมแต่งรูปบัญชาให้อาวรณ์-
จำเริญตอนงดงามขึ้นล่ามดึง


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:10:50 PM
.. 13
O อุษากาลผ่านคล้อย..สูรย์ลอยเด่น
ค่อยแฝงเร้นความนัยส่งไปถึง
หวังอีกทรวงห่วงหา..จักตราตรึง
กับหวานซึ้งอาวรณ์..ที่ย้อนคืน


(http://upic.me/i/qh/ife13.jpg) (http://upic.me/show/46308298)


O รอเถิดรูปนิรมิตโศภิตผู้-
รอบแรงชู้โอบกระหวัด..อย่าขัดขืน
นัยหนึ่งเมื่อหยัดหยั่ง..จักยั่งยืน
อย่าคิดฝืนฝ่าหักแม้สักครา

O จะยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม
ภายใต้อ้อมแขนหวง..ผู้ห่วงหา-
ย่อมมีเพียงหอมหวานแห่งมารยา
รอเจ้าถาโถมลง..อย่างปลงใจ

O หมอกขุ่นขาวลับล่มกับลมร่ำ
เมื่ออกคร่ำครวญนั้น..คงสั่นไหว-
อยู่กับความปรารถนา..แรงอาลัย
ด้วยรูปพักตร์ผู้พิไล..ตรึงนัยน์ตา

O อ้อยอิ่งกลางแดดสาย..อบอายอุ่น
กับงามหนึ่งละเมียดละมุนด้วยคุณค่า
ลมโรยแผ่วพลิ้วสายปัดป่ายมา
คล้ายรอท่ารอทีผู้มีใจ

O หวังยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม
คือ-หลงอ้อมแขนชู้..เกินกู้ไหว
หวังอาวรณ์เร้ารุม..เช่นขุมไฟ-
โหมเข้าใส่อกนั้น..ค่ำยันเช้า

O อย่าได้มีหมองหมาง..เป็นอย่างอื่น
ทุกตาตื่นหัวใจแต่ใฝ่เฝ้า
ถวิลหาอ้อมแขนห้อมแหนเงา
คอยโอบร่างรูปเยาว์..ค่ำเช้าเย็น

O รอคอยมานับนานแต่กาลไหน
จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยเห็น
ห้วงคำนึงทั้งผอง, ล้วนผ่องเพ็ญ-
ของรูปพักตร์งามเด่น .. ไม่เว้นวาย

.. จะผ่อนผันฉันใดก็ใช่ที่
อันนับปีแต่จะเริดจะร้างหาย
จะอาดูรแต่ผู้เดียวอยู่เปลี่ยวกาย
มิได้วายความถวิลที่จินตนา ..

.. แสนเทวศสุดทวีครั้งนี้เอ๋ย
ไม่เห็นเลยว่าจะน้อยวาสนา
แต่ปางไกลแสนอาลัยทุกเวลา
ครั้นคิดมาไม่เห็นหน้าแล้วอาวรณ์ ..

.. แสนรักจะร่วมเรือนเหมือนบุหรง
ที่พิศวงภานุมาศประภัสสร
เมื่อเลี้ยวลับศีขรินลงรอนรอน
สุดอาวรณ์ที่นกยูงจะหมายปอง ..

.. แสนวิตกเหมือนกระต่ายที่ใฝ่ฝัน
แสงพระจันทร์งามจรเวหาสห้อง
พระจันทร์อยู่สำราญวิมานทอง
ฤาจะปองใจหมายกระต่ายดง ..

.. สงสารอก กระต่ายป่าพฤกษาชาติ
จะวายชีวาตม์ดับจิตด้วยพิศวง
แสนคะนึงถึงเสน่ห์ที่จำนง
ก็เหมือนอกกระต่ายดงที่หลงเดือน ..

O น้ำค้างหยดพร่างพร้อย .. ดั่งพลอยเพชร
ว่อนวางเม็ดพราวพร่างอยู่กลางเถื่อน
ต่างฤๅความวับไหว .. เมื่อใครเบือน-
สายตาวับไหวสะเทื้อน .. จนเกลื่อนรอย

O หวัง-อย่าเช่น .. น้ำค้างใสเกาะใบพฤกษ์
ที่ยามดึกหยาดปวง .. ค่อยร่วงผล็อย
จนต้องแสงยามสาง .. ก็จางรอย
แววปริบปรอยชม้อยสู่ .. อย่า-รู้ร้าง

O น้ำใจหลั่งลงขวางตรู่สางนั้น
หมายล่ามขวัญ .. ฝากชู้อย่ารู้ห่าง-
เช่นแดดทอ .. ค่ำมืดย่อมจืดจาง
อีกน้ำค้างทุกรอยก็พลอยเลือน

O ใช่เพียงแค่คืนค่ำ .. ที่ฉ่ำชื่น
หากใจรื่นรมย์อยู่ก็ดูเหมือน-
ว่าแววตาชายชม้อยยามคล้อยเบือน-
คอย-แล่นเลื่อนเสน่หาล้อมอารมณ์

O หยาดน้ำค้างต้องแสง .. อาจแห้งหาย
หาก-รูปหมายปองอยู่เป็นคู่สม-
นั้น-เหมือนคอยรุมเร้า .. ให้เฝ้าชม
ฤๅ-ขับข่มล้างไหว .. กับใยดี ?

O น้ำใจ..ใช่น้ำค้างเมื่อสางตรู่
แสงวันทอทอดสู่..ไม่รู้หนี
เมื่อแปรเป็นเยื่อใยและไมตรี
ย่อมสุดที่สุดทาง..จักร้างลา

O ย่อมมิใช่ดวงพิลาสของหยาดแก้ว
เหือดแห้งแล้วจากแหล่งเมื่อแสงจ้า
ย่อมจะไม่รวนเรด้วยเวลา
ย่อม..ต้องตราตรึงอยู่..ไม่รู้วัน

O ร้อนพันแสงจากสรวงแม้นล่วงสู่
หมายหยัดสู้รังสีไม่มีหวั่น
หวังหยาดให้รองรับ..ชั่วกัปกัลป์
ประโลมขวัญ..รื่นอยู่อย่ารู้แล้ง

O หวัง - สังคีตพรรณนา..แว่วคราค่ำ
คืนส่วนรำพันพากย์..ลอบฝาก-แฝง
เช่นน้ำค้างหยาดประดับ..ก่อนปรับแปลง-
เป็นน้ำใจเติมแอ่ง...กลางแหล่งทรวง


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:12:55 PM
.. 14
O ภาพเลือนรางเยียบเย็น .. ของเพ็ญค่ำ
มีร่างใครกลางน้ำ .. พายจ้ำจ้วง
พร้อมอาวรณ์อาลัยอยู่ในดวง-
ตาคู่ช่วงแววพรับ ให้รับรู้ ..


(http://upic.me/i/02/4l114.jpg) (http://upic.me/show/46308323)


O ค่ำนั้นลมเย็นเยียบ .. คนเงียบเหงา
คำนึงเงาภาพฝัน .. นิ่งงันอยู่
แสนวุ่นวายอ่อนไหวหัวใจตรู
จึงย่างสู่ห้องพระ .. ชำระใจ

O กรอบประตูก้าวข้าม .. ทำตามสอน
ทรุดกราบที่ตั่งหมอน .. ด้วยอ่อนไหว
ขอคุณพระคุ้มครองต้านผองภัย
ป้องลูกไว้ให้พ้น .. ม่านมนตรา

O ผู้เป็นแม่ .. มองอยู่ไม่รู้เหตุ
เกิดอาเพศใดเล่าจึงเข้าหา-
ความรำงับ .. ให้ธรรมได้ย้ำยา
ไตร่ตรองอาการเห็น .. ด้วยเอ็นดู

O เติบโตเต็มวัยสาว .. อะคร้าวลักษณ์
รูปขนง-วงพักตร์ .. ประจักษ์อยู่
ดั่งบุปผาช้อยช่อ .. ขึ้นรอชู
ให้โลกรู้รสประทิ่นด้วยยินดี

O งามเกินใครจะหาญฝ่า .. เข้ามาเทียบ
หมายปองเปรียบวาสนา .. รูปราศี
บุคคลิกอิริยา .. ท่วงท่าที
ก็สุดที่สุดทาง .. จักพรางไว้

O ทุกนิทราหลับฝัน .. แสนบรรเจิด
จนก่อเกิดผูกพัน .. ความฝันใฝ่
ด้วยรูปภาพเลือนราง .. รอยร่างใคร ?
ที่สร้างความหวั่นไหวแก่ใจนี้

O เก็บเงียบแต่ลำพัง .. ไม่พลั้งเผย
จะเอื้อนเอ่ยบอกไปก็ใช่ที่
จึงตั้งใจซ่อนเร้นความเป็น-มี
สืบท่วงทีต่อเนื่อง .. ภาพเบื้องไกล

O รูปพระพุทธ .. งามสงบ-มองสบนิ่ง
ช่วยอกหญิงผ่อนคลายวุ่นวายได้
ทองเหลืองเหลื่อมแสงรอง .. ดั่งห้องใจ-
เรื่อรองความแจ่มใส .. ผ่านนัยน์ตา

O วางวงหน้าหมอบซ่อนซบท่อนแขน
ให้ทิพแหนห้อมเห่ .. สู่เวหา
เพื่อปรุงปรนเชื่อมสุบิน-ห้วงจินตนา
หมายเหนี่ยวรอบมรคาบรรจบวง

O ล่องลอยเอย ..ผ่านทิพสู่ลิบไกล
เผยห้องใจทุกหลืบ .. ร่วมสืบส่ง
เพื่อหล่อเลี้ยงภาพภวังค์ .. ให้ยังคง
ร่วมดำรงคำมั่น .. คำสัญญา

O ในฝันเห็นจะจะ .. รูปพระ-เจ้า
ที่คอยเฝ้ากราบไหว้, รูปใบหน้า-
งามสงบเหลื่อมแสง .. ย้อนแยงตา-
เผยมรรคาทอดเชื่อม .. ด้วยเหลื่อมเงา

O พิมพ์เดียวกับรูปทองในห้องพระ
เพื่อวาระ .. ปลิดปลดกำสรดเศร้า
ได้กราบกรานกล่อมขวัญให้บรรเทา-
ความร้อนเร่าเผาผลาญ .. ด้วยมารยา

O กรอบประตูเตียงตั่ง .. ที่ตั้งอยู่
ทั้งโต๊ะหมู่เรียงรายก็คล้ายว่า-
จะเป็นชุดเดียวกันสืบกันมา
ในสกุลวงศาบรรดามี

O ในนิทราหลับฝัน .. ผูกพันอยู่
กับภาพผู้ .. ใบหน้ากอปรราศี
ค่อยพ้นผ่านเลือนราง .. ในบางที
ให้หน้า-ที่คมคาย .. สู่สายตา

O ท่วงทีท่า .. เช่นแกล้วในแถวทัพ
แต่จะทับทอดรอยให้คอยหา
ขวัญเอยเมื่อแผ่วผ่านด้วยมารยา
ปรารถนาลอบเร้นก็เค้นทรวง

O แต่เติบกายเต็มสาว .. ก็คราวนี้
ดวงฤดีรูปเยาว์ .. เหมือนเฝ้าห่วง-
ว่ายามฝันรอยภาพจะทาบทวง
คอยเหนี่ยวหน่วงล่วงล้ำอยู่ค่ำเช้า

O หวาดหวั่นเวียนวิตก .. ก็-อกหญิง
ราวปลดทิ้งส่วนเสี้ยวความเปลี่ยวเปล่า-
จนทอนแรงแฝงเร้นไม่เห็นเงา
หากรุมเร้าคอยคะนึง .. ใครหนึ่งนั้น !

O ภาพเรือน้อยลอยลำ .. พายจ้ำจ้วง
ริ้วโคมสรวงน้ำส่าย .. ก็พรายสั่น
เมื่อรูปเนื้อผุดผ่อง .. มือ-ต้องกัน-
ก็ล่ามพันชาติภพ .. ยากลบเลือน

O สัญญาเก่าวาบผุดไม่สุดสิ้น
แทรกสู่จินตนาการ .. พาผ่านเคลื่อน
ดวงใจเอย .. สุดคิดสุดบิดเบือน
บ่วงกรรมเหมือนรอวาง .. ให้ย่างเท้า

O อีกค่ำคืนหลับลึกกลางดึกดื่น
ท่ามกลางเสียงโอดอื้น .. ในคืนเก่า
คืนนั้นจันทร์หลบเร้นไม่เห็นเงา
และเปลี่ยวเปล่าเคล้าคลอให้ทรมา

O โอ้ .. ธิดามนตรีผู้มีศักดิ์
เมื่อร้างรักเฝ้าแต่คอยละห้อยหา
คะนึงคิดแนบขวัญ .. ถ้อยบรรดา-
ที่พรรณนาโอบกล่อมกลาง .. อ้อมใจ

O บุหลันโรจน์อำไพที่ในฟ้า
คะนึงนึกถึงหน้าเคยปราศรัย
ค่ำคืนจะนิทราเคียงหน้าใคร
ที่จะใสผ่องล่วงถึงดวงมน

O แต่ละภาพทาบทอด .. สุดถอดถอน
แรงอาวรณ์ย้อนย้ำ .. ซ้ำซ้ำหน
คะนึงถึงเงาร่างของบางคน
ใจเอยทนทรมานนับนานมา

O เหนี่ยวร่างน้อยทอดทับอยู่กับอ้อม-
อกผู้พร้อมเพียบรัก .. อยู่หนักหนา
อธิษฐาน .. ร้อยถวิลสองวิญญาณ์
ร่วมดินฟ้า .. เกิด-ดับทุก .. กัปกัลป์


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:14:08 PM
.. 15
O ภาพใครนั้น .. พร่ำพลอดการออดอ้อน
ค่อยแทรกซ้อนโหมใส่ .. ห้วงใจฝัน
เรือนริมน้ำ .. วารี .. รังสีจันทร์
ก็วาบขึ้นครบครัน .. ในสัญญา


(http://upic.me/i/im/ie015.jpg) (http://upic.me/show/46308347)


O แต่พบเจอเผลอจิตเฝ้าคิดถึง
เริ่มซาบซึ้งรอคอยละห้อยหา
จนอ่อนหวานวาบไหวที่นัยน์ตา
ก็เหมือนว่าเกินซ่อน...อาวรณ์นั้น

O ค่อยค่อยเพิ่มผูกพัน..ความหวั่นไหว
ห้วงดวงใจหวังอ้อมอกกล่อมขวัญ
ใจที่เคยหม่นแกม..ดั่งแรมจันทร์
ก็ค่อยผันรูปเช่น..เดือนเพ็ญดวง

O ค่อยเอ่อหวาน..ซ่านสู่ให้รู้สึก
จนล้ำลึกเกินขับให้ลับล่วง
จะรู้ไหมที่ทาบทับอยู่กับทรวง
เป็นหนึ่งผู้สร้างบ่วง..กลางห้วงใจ

O งดงามเอยภาพฝัน..ในวันนี้
กับปลาบปลื้ม-ดวงฤดี..แอบมีให้
ที่แอบแฝงเร้นอยู่..จิตผู้ใด
หมายมอบให้เก็บรับ..แนบกับทรวง

O ถวิลถึงแต่วิตกสะทกสะท้อน
จนอาวรณ์โลดแล่น, ความแหนหวง-
ก็ค่อยค่อยโหมประดังใจทั้งดวง
ค่อยค่อยหน่วงเหนี่ยวจิตให้ติดตรึง

O เหมือน..สุดที่จะเอื้อนจะเอ่ยออก
สุดเผยบอกห้วงใจ..ว่าใฝ่ถึง
หากอบอุ่นลึกล้ำช่วงคำนึง
คอยเหนี่ยวดึงอารมณ์ให้สมยอม

O สุดที่ใจจะหลบจะลี้หาย
สุดจะบ่ายเบี่ยงต้านความหวานหอม
สุดคิดจะสอดแทรกความแปลกปลอม
เมื่อใจนั้นพรั่งพร้อม..หล่อหลอมใจ

O แม้นตัวห่างใจเอย..ฤๅเคยคิด
เมื่อแรงฤทธิ์เสน่หาเริ่มบ่าไหล
มีถวิล..ปรารถนา..มีอาลัย-
นั้นวุ่นวายสั่นไหวอยู่ในตน

O รอคอยละห้อยเห็น..ฤๅเว้นว่าง
ครั้นเหินห่างเลือนลับก็สับสน
เยื่อใยทอดม้วนปลาย, ใจว่ายวน
คือใจคนวนว่าย..พันสายใย

O จะรู้ฤๅ..ว่าใจของใครคิด
รุมอยู่ด้วยแรงฤทธิ์รอบพิสมัย
จะรู้ฤๅ..รูปนิมิตกลางจิตใคร
ย่อมมีไว้มอบคะนึงเพียงหนึ่งเดียว

O จะรู้ฤๅ..ว่าจิตที่คิดอยู่
หวังรับรู้..เผื่อแผ่การแลเหลียว
จะรู้ฤๅ..ปรารมภ์..รอกลมเกลียว
เต็มส่วนเสี้ยวใจนี้..เกินลี้ลา

O จากพบเจอ..เหม่อลอยละห้อยเห็น
จนลอบเร้นเฝ้าคอยละห้อยหา
บัดนี้หวานวาบแล้วที่แววตา
เผยทีท่าออกรู้..คือ..ผู้ใด

O แล้วงานยกช่อฟ้า .. ก็มาถึง
พาแรงซึ้ง, อาวรณ์ .. ผู้อ่อนไหว-
เฝ้าวนเวียนชะเง้อหา .. รูปหน้าใคร-
ผู้อกใจกังวล .. ทุรนรอ !

O ผ่านเช้า .. เข้าสายจนสายล่วง
พร้อมหัวใจหนึ่งดวง .. เฝ้าบวงขอ-
ให้เพรงบุญเคยทำช่วยย้ำ .. ยอ-
ยกชาติต่อชาติงาม .. ทุกยามไป

O ผ่านเช้า .. เข้าสายจนสายล่วง
คล้ายคำบวงขีดบท, ความสดใส-
ก็เผยรูปผ่านมา .. ให้ - ตา .. ใจ-
พลอยวูบไหวเร้ารัวอยู่ทั่วตน !

O ยิ้มรับความสดใส .. แห่งวัยเยาว์-
รูปพริ้มเพราเปล่งปลั่งอีกครั้งหน
ชั่วยามนั้น .. ใจชายแต่ว่าย .. วน-
หวานก็ล้นเอ่อแล้ว .. ทั่วแววตา

O งามรูปหน้านงคราญ .. ครั้นผ่านช่วง
ราวตอบรับคำบวง .. ความห่วงหา-
ในอกทรวงร่ำรอ .. เฝ้าทรมา-
ก็เหมือนว่าล่มลับ .. ลำดับนั้น

O เอ็นดูความผ่องแผ้ว .. เมื่อแววตา-
ที่คอยลอบเหลือบมา .. คล้าย-พร่าสั่น-
ด้วยขัดเขิน .. เมิน-สบ .. เลี่ยงหลบ, พลัน-
ที่อกใจวูบหวั่น .. ไหวสั่นระทึก !

O นั่งต่อหน้าหลวงพ่อ .. โน้มคอ, พร้อม-
กรุ่นกลิ่นหอมล้อมอยู่ .. จนรู้สึก
แววในตาวับวาวดั่งดาวพฤกษ์-
ครองค่ำดึกยอช่วงบนสรวงฟ้า

O นั่งต่อหน้าหลวงพ่อ .. ร่ำรอหอม-
อวลผ่านล้อมลนขวัญ .. ให้ฟันฝ่า-
ด้วยหัวใจมุ่งมั่นคอยบัญชา-
เร่งรอบวงเสน่หา .. สู่อารมณ์

O ในแววตาหลวงพ่อเหมือนพอรู้-
ว่าหญิงชายทุกผู้ .. สุดรู้ข่ม
ตาสบรูป .. ปรารถนาคือปรารมภ์-
เป็นคู่สร้างคู่สม .. ด้วยสมยอม

O กราบพระ-บำบวง..ผ่านปวงภาษ
ลดามาศก็อวลกลิ่นให้ถิ่นหอม
ผ่านความหมายลึกล้ำ...ให้ด่ำดอม
จนหล่อหลอมปริศนาอยู่คาใจ

O กราบพระ-บำบวง..ผ่านท่วงที
ของจิตที่จบรูปจนวูบไหว
ผ่านเปลวเทียนควันธูป .. ผ่านรูปใคร
โปรดช่วยให้สืบถวิล...ด้วยยินดี

O ในสายตาหลวงพ่อ ก็พอเห็น-
แววลอบเร้น.ในตา ทำหน้าที่-
แทนอารมณ์ปรารถนา .. แทนท่าที-
ของผู้ที่สมยอมอยู่พร้อมกัน

O แล้วสายตาเข้าใจ .. เรื่องในโลก
ก็เห็นภาพสุขโศก .. ค่อยโยกสั่น-
สองใจที่พ่วงวาสน์มาพาดพัน
ให้รอบฉันทาภพ .. ตระหลบล้อม !

O แล้วตาผู้รู้-ทราบ .. สภาพธรรม
ก็เห็นกรรมหมุนรับ .. การขับกล่อม-
ดวงวิญญาณ, เจตจินต์ .. ให้ยินยอม-
รวมใจน้อมแนบลง .. หน้าองค์ธรรม

O มืออบอุ่นกุมเหนี่ยว .. มือเรียวเกาะ
เดินลัดเลาะบนทาง .. ร่วมย่างย่ำ
สาธุการเพรงบุญช่วยหนุนนำ
ช่วยยัน-ค้ำ .. เสน่หาแรงอาวรณ์

O สิ้นช่วงการรอคอยละห้อยหา
ข่มยิ้มอยู่ในหน้า .. แววตาซ่อน-
ร่องรอยความปรารถนา .. แสนอาทร
เมื่อนึกย้อนรูปคราญ .. วาบผ่านตา

O เมื่อครั้งสบโฉมตรู .. เอ็นดูนัก
เมื่อเผยพักตร์รูปเรียว .. เมื่อเหลียวหา
เมื่อนิลเนตรเมียงชม้าย .. เจ้าชายมา-
ก็สิ้นท่า .. สั่นทั่ว-ทั้งหัวใจ

O งามเอยดวงนิลเนตร .. กับเลศซ่อน-
ที่จะวาบความวอน .. ด้วยอ่อนไหว
เมื่อผ่านแววโชนเชื้อ .. จะเหลือใด-
ป้องอกใจ .. ล่วงพ้นจากพันธนา ?


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 03 สิงหาคม, 2556, 05:17:43 PM
.. 16
O กระโปรงดำเสื้อขาว .. ค่อยก้าวย่าง
แก้มคิ้วคางเนตรคม .. งามสมหน้า
มีจิตใจมุ่งมั่นคอยบัญชา
เร่งศึกษาเรียนรู้ .. ไม่ดูดาย


(http://upic.me/i/dl/w4d16.jpg) (http://upic.me/show/46308384)


O ใจเลื่อนลอยล่องไปสู่ใครหนึ่ง-
ที่คำนึงซึ้งอยู่ไม่รู้หาย
แต่จากกันห่างเห็น .. เหมือนเร้นกาย
หรือสิ้นสายเยื่อใย .. ร้างไมตรี ?

O บ่อยครั้งที่ใจหญิง .. ทั้งนิ่งเงียบ
หวังปรุงเปรียบความหมายออกคลายคลี่-
เพื่อหล่อเลี้ยงเจตจินต์ .. ให้ยินดี-
ต่อครั้งที่โน้มเหนี่ยวก้อยเกี่ยวกัน

O นั่งเหม่อลอยปล่อยฝัน .. สู่วันเก่า
ด้วยเงียบเหงาหัวใจ .. ด้วยไหวหวั่น
ด้วยเหว่ว้า .. เกินคำจักรำพัน
ใจเอยหัวใจขวัญ .. เจ้าสั่นคลอน

O หนังสือวางตรงหน้า .. ใบหน้าก้ม
หากสุดข่มใจจดกับบทสอน
บางความหมายรุมเร้า .. แสนเว้าวอน-
พาความอ่อนหวานพร้อม .. เข้าล้อมใจ

O จนอีกปลายม้านั่ง .. คล้ายดั่งเคลื่อน
คล้ายใครนั่งแล้วเขยื้อน .. ขยับใกล้
จนวงหน้ารูปเรียว .. เบือนเหลียวไป
แล้ว-ดวงใจดวงนั้น .. ก็สั่นสะท้าน !

O นิ่งขึงตะลึงงัน..เมื่อพลันพบ
คล้อยบรรจบรูปฝัน..เมื่อวันผ่าน
ที่..ระทึกเต้นรับอยู่นับนาน
คือใจคราญหวานล้ำ..เข้ากล้ำกราย

O เถิด-แววเนตร..ฝืนอาย..รำบายบอก
ให้ระลอก..อ่อนโยน..นั้นโชนฉาย-
แรงอาวรณ์..ซาบซึ้ง..ต่อหนึ่งชาย
สืบความหมาย..สัมพันธ์..นิรันดร

O เมื่อมือรวบ..มือนุ่ม..เข้ากุมกอด
จิตฤๅคลายพร่ำพลอด..กับออดอ้อน
เมื่อเนตรคราญผ่านเงา..แทนเว้าวอน
จิตก็อ่อนโยนเหลือ..ด้วยเยื่อใย

O ยิ้มให้ด้วยหัวใจ..ที่ใฝ่ถึง
ด้วยซาบซึ้งต่อกัน..ด้วยหวั่นไหว
ด้วยถวิล..ปรารถนา..ด้วยอาลัย
ด้วยเยื่อใย..สายสวาดิ..พันพาดทรวง

O มือตระกองรูปหน้า...สบตาจ้อง
ใจสี่ห้อง..ผ่องแผ้วไม่แล้วล่วง
พระเอย..ฤๅนัยคำ..ที่บำบวง
จะเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ


(http://upic.me/i/iz/64p17.jpg) (http://upic.me/show/46308393)


O เคลื่อนคล้อยเกี่ยวก้อยกุม..ลับมุมตึก
ร่มเงาพฤกษ์บดบัง..คล้ายดั่งม่าน-
ก็รวบร่างจบจูบ..จน-รูปคราญ-
ใจหวิวหวั่นสั่นสะท้าน..ระทวยองค์

O อ่อนไหวด้วยอ่อนหวาน..ใครผ่านสู่
เมื่อรับรู้เร้ารุม..ก็ลุ่มหลง
ท่ามระลอกชื่นชู้..ฤๅรู้ปลง
เหลือแต่ร่วมจำนง..ร่วมวงกรรม

O มือเกาะแขน-เนตรรื่น..ใจตื่นรับ
ร่วมลำดับอภิรมย์โบยบ่มร่ำ
ขณะสูรย์พร่างแพร้ว..ลมแผ่ว-พรำ
กระซิบคำ-คำหนึ่งก็ตรึงทรวง

O จับจูงมือก้าวย่างในทางเที่ยว
ความเปล่าเปลี่ยวใจแก้วก็แล้วล่วง
เหลือหวานหอมหลอมหลั่ง..ใจทั้งดวง
ทั้งแหนหวงห่วงหาทั้งอาวรณ์

O รอเถิดรอบ..รมยารูปราศี
แม้นกุมเก็บใจนี้..หลบลี้-ซ่อน
จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร
ตราบม้วยมรณ์วง-วัฏฏ์เป็นภัสม์-ธุลี


จบ


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: พิณจันทร์ ที่ 04 สิงหาคม, 2556, 11:28:03 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/17733_516807378389760_546638926_n.jpg)

เรียนอาจารย์สดายุค่ะ..

ต่าย..พิณจันทร์ขอเป็นตัวแทนสมาชิกเว็บอารมณ์กลอนและผู้เยี่ยมชมทุกท่าน
 ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง คือมากมายจนหาที่เปรียบมิได้
 จากผลงานที่อาจารย์ได้วางมาให้ น้องๆได้อ่าน
และโดยเฉพาะ พิณจันทร์เองที่ยังมีข้อบกพร่องมากมาย
ได้นำไปเป็นแบบอย่างแนวทางเขียนกลอนต่อไปค่ะ

คงไม่ใช่แค่การกดเยี่ยมชมแล้วผ่านไป
แต่งานอาจารย์นั้นงดงามมากคุณค่า จนไม่รู้จะเขียนตอบรับอย่างไรค่ะ

ก็ขอขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

ด้วยความเคารพค่ะ

พิณจันทร์


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 04 สิงหาคม, 2556, 04:28:21 PM
มาคารวะด้วยคนครับ

 :32:  :32:  :32:


หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 05 สิงหาคม, 2556, 09:07:20 PM
สวัสดีครับคุณพิณจันทร์ ..

อย่าได้ยกย่องมากเกินไปเลยขอรับ .. ผมแค่คนเขียนกลอนคนหนึ่งที่ชอบเขียน
ไม่ใช่ กวี อะไรทั้งสิ้น

และยินดีมากที่กระดานนี้ออกแบบมาดี ใส่รูป ใส่อะไรง่าย
นี่ถ้าหากใส่เพลงได้จะดีมากเลย

ที่จริงเรื่องนี้ยังไม่ยาวเท่าไร ..
แต่เรื่องยาวมากกว่านี้ คงเอามาลงไม่ไหว
เกรงใจเจ้าของเวปบอร์ด 55

ผมเขียนตามแต่ใจครับ ไม่ชอบเขียนตามหัวข้อที่กำหนดอะไรพวกนั้น

ยินดีครับที่ชอบอ่านกัน








หัวข้อ: Re: O ชั่วฟ้าดินสลาย .. ! O
เริ่มหัวข้อโดย: สดายุ ที่ 05 สิงหาคม, 2556, 09:30:22 PM
สวัสดีขอรับท่านศรีเปรื่อง
ผมรอมาอ่านกระทู้ฉันท์ใหม่ๆของ ท่านศรีอยู่นะขอรับ
ลอง ภุชงปยาตฉันท์ ๑๒ ดูบ้างสิครับ .. ลีลางูสะบัดหาง งามนักอีกฉันท์หนึ่ง


ประสบรูปะวูบนั้น .. ประโลมฉันทะแนบใจ
ชม้ายเนตรสิเลศนัย .. จะสื่อไว้จะให้หวัง
เสมือนงาม ณ ยามนี้ .. จะดลลีละกำลัง
กระหวัดจินตะภินท์พัง .. และเหนี่ยวรั้งละห้อยเห็น