หัวข้อ: ความเจริญมองอย่างธรรมชาติธรรม เริ่มหัวข้อโดย: ประทีป วัฒนสิทธิ์ ที่ 09 สิงหาคม, 2556, 03:00:18 PM ความเจริญ มอง อย่างแนว "ธรรมชาติธรรม" http://www.naturedharma.com/data-1431.html การตีค่าความเจริญของบ้านเมืองจากคนส่วนใหญ่ในยุคนี้เขาเอาความเจริญด้านวัตถุเป็นเครื่องชี้วัด นี่เพราะค่านิยมด้านวัตถุฝังหัวอย่างเหนียวแน่น ผมเคยเดินทางร่วมกับคณะเพื่อนร่วมงาน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ขณะผ่านหมู่บ้านที่อยู่แถบชนบทมักจะได้ยินเพื่อน ๆ แสดงความรู้สึกจากความคิดของเขาว่า "ที่นี่ไม่เจริญ" เมื่อผ่านทุ่งน่า ป่าเขา พบสภาพบ้านเรือนเป็นกระต๊อบ เป็นขนำ ก็ให้ความรู้สึกว่า "ที่นี่ไม่เจริญ" เมื่อผ่านตัวเมืองก็จะมักจะมีการเปรียบเทียบว่าเมืองนี้เจริญกว่าเมืองนั้น เมืองนั้นเจริญกว่าเมืองนี้ เช่น เมื่อผ่านเมืองนครศรีธรรมราช ก็บอกว่า "เมืองนครเจริญน้อยกว่าหาดใหญ่"เมื่อผ่านตัวเมืองลำพูน ก็บอกว่า "เมืองเชียงใหม่เจริญกว่าเมืองลำพูน" นี่เพราะเหตุผลที่นำวัตถุส่วนหนึ่งความคับคั่งของผู้คนส่วนหนึ่งมาเป็นตัวชี้วัด มาเปรียบเทียบ ความคิดเช่นนี้คิดว่า คนส่วนใหญ่ไม่ว่าคน ในบ้านเมืองเรา หรือคนต่างชาติคงจะมีแนวคิดอย่างนี้เป็นส่วนใหญ่ นี่เพราะ "ค่านิยมด้านวัตถุฝังหัว" ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (กลอนสอนศิษย์ ) ฝากเป็นแนวคิด สลับ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ โลกจะสั้นวัดกันหลักเศรษฐกิจ พอพ่นพิษเร็วรุดสุดสะสาง แม้ไม่พ่นแต่วิ่งสู่ลู่อับปาง มิละวางเอาชนะสารพัน สร้างโรงงานการกิจผลิตวัตถุ มุทะลุเดือดดาลการแข่งขัน ธรรมชาติถูกทำลายเป็นรายวัน กลุ่มหมอกควันปล้นฆ่าปฐพี ทะเลห้วยหนองบึงถึงจุดจบ ปลาหลีกหลบมิวายกลายเป็นผี สัตว์จะพึ่งต้นไม้ก็ไม่มี ต่างพลีชีพด้วยฆ่าตัวตาย สารเคมีวิ่งพล่านทุกการกิจ โทรมชีวิตก่อนโลกล่มสลาย นี้ใช่เพ้อควรคิดอย่างแยบคาย ความหลากหลายขายคิดจงติดใจ การมองความเจริญตามแนว "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ตรงข้าม หรือผิดแผกไปบ้าง กับการมองความเจริญที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งนี้เพราะไม่ได้ยึดเอาความเจริญด้านวัตถุมาเป็นตัววัด หรือตัวเปรียบเทียบ แต่จะยึดเอาความเป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติมาวัด คือนำหลักสัจจะธรรมเป็นเครื่องมือชี้วัด ที่กล่าวว่านำหลักสัจจะธรรมเป็นเครื่องชี้วัด เพราะถือว่าความเจริญทางด้านวัตถุเป็นเรื่องของความจอมปลอม ผู้คนที่อยู่ในสภาพสังคมเช่นนี้มีแต่เรื่องรุ่มร้อน ดิ้นรน แสวงหาอย่างไม่จบสิ้น คดีต่าง ๆ เกิดเพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยยิ่งมีมากขึ้น (น่าจะกล่าวว่าช่องว่างระหว่างนายจ้าง กับทาสแรงงาน) สังคมมีแต่ความวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่ละชีวิตเหน็ดเหนื่อยดิ้นรนกันถึงแก่เฒ่า หากอยู่ร่วมกันโดยยึดความเป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติ อย่างแนวทางของ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" การอยู่ร่วมของมนุษย์ย่อมมีความสันติสุข และยั่งยืน มีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ใช่ความสุขจอมปลอมจึงถือว่าได้ยึดหลักสัจจะธรรมในการอยู่ร่วม ขอนำบทเพลงเพื่อสังคม จาก "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" สนับสนุน ความพอดี เนื้อร้อง ประทีป วัฒนสิทธิ์ ทำนอง ประทีป วัฒนสิทธิ์ อยู่กันอย่างผิดผิด ชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย อยู่กินอย่างไม่สบาย จนเฒ่าแก่ตาย อยู่อย่างวุ่นวายเรื่อยมา (ซ้ำ) อยู่กันเกินพอดี หนี้สินมากมีล้นฟ้า วุ่นวายกับวัตถุเงินตรา เสียดายเวลา ที่ปล่อยให้ฆ่าจิตใจ (ซ้ำ) อยู่กันอย่างพอดี พอมีพอกินพอใช้ กักตุนกันไปทำไม หยุดโลภหลงงมงาย สุขกายสบายใจแน่นอน (ซ้ำ) อยู่กันอย่างพอเพียง โรคร้ายหนี้ไกลจากจร ความทุกข์เร้าร้อนไม่มี (ซ้ำ) อยู่กันอย่างธรรมชาติ จิตใจสะอาดสดสี ไม่เปรอะเปื้อนราคี งดงามสง่าราศี อยู่ด้วยดีเพราะคุณธรรม (ซ้ำ) ถามว่า "ผิดหรือไม่ การที่เอาวัตถุมาวัดความเจริญ" ถ้าตอบตามแนวของ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ถือว่าผิด และผิดอย่างมหันต์ เพราะโลกที่วุ่นวายอย่างรุนแรง และเพิ่มทวีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆด้าน ก็สืบเนื่องมาจากการนิยมวัตถุนั่นเอง การแข่งขันด้านธุรกิจจนไม่ลืมหูลืมตาต่างมุ่งเอาตัวรอด มุ่งเอาความได้เปรียบ เพียงเพื่อการมีอำนาจทางด้านสินทรัพย์ และเงินทอง ทำให้ปัญหาตามหลังมามากมาย การที่ต่างคน ต่างกลุ่ม มุ่งหวังเพื่อได้มาซึ่งสินทรัพย์ เงินทอง ต่างก็หาหนทางเชิงได้เปรียบในการครอบครอง ในการแย่งชิงเป็นของตัว ของกลุ่ม แข่งขันกันทุกระดับ จนถึงระดับประเทศและยังป่าวประกาศก้องไปถึงระดับภูมิภาค ผีธุรกิจเข้าสิงสู่จนลืมหลักสัจจะธรรม ในการอยู่ร่วมของมนุษย์อย่างมีความสันติสุขที่แท้จริง และยั่งยืน การชิงไหวพริบในการได้เปรียบในทุกเรื่อง ทุกอย่างย่อมทำให้มนุษย์ขาดคุณธรรม ยากที่จะมองเห็นสัจจะธรรมได้ในทุก ๆ แง่มุม ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (คำกลอนสอนศิษย์) เสริมข้อคิด และเปลี่ยนบรรยากาศ ดำรงชีพเหนือธรรมชาติขาดสติ อุตริผิดผิดจิตถลำ เพราะวัตถุนิยมเกิดกงกรรม ถูกกระหน่ำภัยธรรมชาติมิขาดวัน คนพึ่งพาธรรมชาติดังทาสหลัก แต่ไร้รักษ์มุ่งประโยชน์โฉดมหันต์ มีแต่ทำลายล้างอย่างเมามัน ถูกลงทัณฑ์ย้อนหลังยังน้อยไป การแข่งขันด้านธุรกิจนับวันแต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น และรุนแรง บางคน บางกลุ่มประสบความสำเร็จ บางคน บางกลุ่มไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ประสบความสำเร็จอย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่น่ายกย่อง ความสำเร็จในบางครั้ง บางเวลา บางโอกาสไม่ใช่เรื่องดีมีคุณธรรมเสมอไป ขณะที่ตนเอง กลุ่มของตนได้รับผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะส่งผลกระทบ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนก็ได้ความสำเร็จในเชิงการได้เปรียบ ด้วยไหวพริบคือการเอาเปรียบสังคม เอาเปรียบเพื่อมนุษย์ด้วยกันอาจจะสร้างปัญหาตามมา เช่น สร้างโรงงานในกิจการใดกิจการหนึ่ง ปฏิกูลที่เกิดจากโรงงาน ไหนโรงงานพ่นควันพิษ ไหนโรงงานถ่ายเทน้ำเสีย ไหนโรงงานปล่อยสาตะกั่วฯลฯ ผู้ที่อยู่ในรัศมีอันใกล้ หรือไกลก็ตาม อาจจะได้รับพิษภัยจากมลภาวะเหล่านี้ การดำรงชีพของพวกเขาเหล่านั้นจึงประสบแต่การเสี่ยงภัย และรับพิษภัยตลอดเวลา ผู้กระทำ ผู้เสวยสุขควรได้รับการยกย่องว่าประสบความสำเร็จได้แล้วหรือ ความสำเร็จอย่างที่กล่าวอาจจะมีผลกระทบต่อบุคคล ชุมชน หรือ อาจจะกระทบต่อสภาพแวดล้อม กระทบต่อระบบนิเวศ หรือการทำลายล้างธรรมชาติ และ ยิ่งนานวันยิ่งขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบไปทุก ๆ ด้าน ทั้งนี้เพราะความแวดล้อมในโลกทั้งมวลมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (คำกลอนสอนศิษย์) เสริมข้อคิด และเปลี่ยนบรรยากาศ โรงงานเร่งเครื่องแรงเพื่อแข่งขัน ผลิตภัณฑ์ออกใหม่ให้งามหรู ก๊าซคาร์บอนร่อนฟ้ากันน่าดู พวกสารหนูตะกั่วรั่วลงทะเล อากาศเน่าน้ำบูดสูตรโลกล่ม เร่งวันจมสารพันพลันจบเห่ มนุษย์โง่โง่มนุษย์สุดคะเน เล่นลิเกทั่วโลกาไม่ช้าตาย สำหรับบุคคล หรือกลุ่มที่ไม่ประสบความสำเร็จ ย่อมมีความเดือดร้อน มีพันธะผูกพันต่าง ๆ เกิดขึ้น ต้องดิ้นรน นำความเดือนร้อนสู่ครอบครัว บุตรหลาน และอาจจะตกทอดเป็นเวลานาน ที่ต้องรับกรรม บางครั้งถึงกับล้มละลาย ใครคือผู้ถูกผู้ผิดไม่ต้องหาต้นตอ แต่ที่สำคัญเขาเกิดมาร่วมโลกกับเราทุก ๆ คน เขาก็อยากอยู่อย่างมีความสุขเช่นเดียวดั่งความปรารถนาของทุกคนที่เหมือน ๆ กัน ทำไมเมื่อเกิดมาแล้วถึงต้องถูกลงโทษอย่างหนักกับชีวิตเช่นนี้ อย่างไรก็ดีทั้งผู้สำเร็จ และผู้ไม่สำเร็จต่างก็เหน็ดเหนื่อย ในช่วงชีวิติที่ตนดำรงชีพอยู่อย่างไม่มีวันจบสิ้น จนบางครั้ง บางคน แทบหาความสุขไม่ได้เลย ไม่มีวันได้พักผ่อน เพราะยุ่งกับพันธะต่าง ๆ ที่ตนไปผูกเอาไว้ ความเจริญด้านวัตถุจึงไม่เป็นคุณเลยในการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข อย่างสันติสุข และยั่งยืน และที่สำคัญอีกประการหนึ่งการแข่งขันด้านธุรกิจเพิ่มขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำลายฐานที่อยู่กิน ฐานที่ดำรงชีวิตไปเรื่อย ๆ ไหนธรรมชาติหดเหี้ยนไป ไหนสารเคมีเพิ่มขึ้น ไหนเพิ่มภาวะโลกร้อนไหนทำให้ระบบนิเวศเสียหาย ฯลฯ และที่จะกล่าวถึงไม่ได้คือเรื่องสุขภาพจิต ในภาวะที่ต้องแย่งชิง ภาวะที่ชิงความได้เปรียบ ภาวะที่ต้องสูญเสีย ภาวะที่ไม่มีความมั่นคง แน่นอน ย่อมทำให้เกิดแต่ทางลบของสภาพจิตไม่มีวันจบสิ้น แล้วเราจะรับความเจริญด้วยวัตถุนั้นได้อย่างภาคภูมิใจเช่นนั้นหรือ การแข่งขันด้านวัตถุ ด้านธุรกิจมากเท่าไรสังคมก็ก็มีรอยร้าวเพิ่มขึ้น แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสีกันมากขึ้น ทำให้เกิดความไม่สงบสุขของกลุ่มชน สังคมเดียวกันเมื่อเกิดการแบ่งแยกอาจส่งผลไปถึงการบริหารประเทศ คือเข้าไปถึงระบบสภา การแตกแยกในทางความคิดเกี่ยวกับหลักการบริหาร ว่ามีประสิทธิภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ นั้นพอที่ประชาชนรับได้ แต่หากความแตกแยกเกิดจากกลุ่มผล ประโยชน์เป็นเรื่องที่น่ากลัว และถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะถ้าคนกลุ่มนี้เข้าไปมีอำนาจในการบริหารประเทศ จะเกิดอะไรขึ้น หากขึ้นชื่อว่ากลุ่มผลประโยชน์เข้าครอบครอง เข้าครอบงำ ก็ย่อมเกิดการเอารัดเอาเปรียบ เพียงเพื่อประโยชน์ของตนของกลุ่มให้สูงสุด จึงไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของคนในชาติ (ยกเว้นหากพวกเขาเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม) สาเหตุที่เกิดกลุ่มผลประโยชน์ขึ้นนั้นก็เนื่องจากการแข่งขันนั้นเอง กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพิงนักการเมือง และในที่สุดกลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ลงเล่นการเมือง หรือถ้าไม่ลงเล่นการเมืองต่างก็ถ้อยที่ถ้อยอาศัยกับนักการเมือง เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน หากพวกเหล่านี้เข้าไปอยู่ในรัฐบาล อยู่ในฝ่ายบริหารประเทศแล้ว แน่นอนที่สุดการมุ่งเน้นงานเพื่อประชาชนจริง ๆ จะลดน้อยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ยกเว้นพวกเขาเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม) นี่คือผลพวงของความเจริญด้านวัตถุ หรือระบบค้าขายอย่างเสรี (สังคมเสรีทางการค้า) พวกเหล่านี้จะยึดเอาการค้า การแข่งขันทางธุรกิจเป็นหลัก ยิ่งถูกประเทศมหาอำนาจใช้นโยบายที่แยบยลเพื่อการค้าเพื่อการได้เปรียบ พวกเหล่านี้ก็ยิ่งถูกปั่นหัวจากกลุ่มผลประโยชน์ที่เหนือกว่าอีกชั้น หรือไม่ก็คิดว่าได้ผ]ประโยชน์ร่วมกัน เขาจะไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ หวังอย่างเดียวคือการได้เปรียบ ในที่สุดประชาชนชั้นล่างเป็นผู้รับกรรมคือผู้ที่ควรเรียกว่า "ทาสแรงงานของกลุ่มนายทุน" ความเดือนร้อนจึงตกอยู่ที่ผู้ใช้แรงงานโดยไม่รู้ตัว คนที่เสี่ยงภัยในโรงงาน คนที่ทำงานหนักแต่ค่าตอบแทนไม่ค่อยจะคุ้มค่าคือชนชั้นล่างนั้นเอง เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ ทุกฝ่ายก็ควรจะคิดหาแนวทางถอยหลังมาเข้าสู่ระบบ"ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"เราควรจะถอยได้แล้วยัง เรามาอยู่อย่างธรรมดา อย่างธรรมชาติ โดยยึดหลักสัจจะธรรมเป็นสำคัญ เราถอยหลังกลับหันมาดำเนินชีวิตอย่างแบบพอกิน พอใช้ กลุ่มชนที่อยู่ร่วมกับเรามีพอกินอย่างพอเพียงในแต่ละวัน นำผักสด ปลาสด ผลไม้สดจากแหล่งผลิตที่ปลอดสารพิษ ซึ่งไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็นให้สิ้นเปลืองพลังงาน และยังไม่ให้เสียรสชาติ เรามาดื่ม มาทานด้วยกัน (จะพูดเรื่องการกินอยู่อย่างละเอียดเฉพาะเรื่องอีกครั้ง) เราถอยหลังกลับมาใช้สิ่งของที่จำเป็น เสื้อผ้าที่ด้วยมือ (ทอหูก) ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโรงงานเรามีเวลาเพราะเราไม่ใช้เวลาในการแข่งขัน เรานำสีจากธรรมชาติ เช่นขมิ้น เปลือกไม้ หรืออื่น ๆ ดังที่ภูมิปัญญาชาวบ้านเคยสืบทอดมาใช้ ไม่ต้องใช้สีแบบสารเคมีจากโรงงาน เราทำได้อย่างที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติมา เมื่อเราทำได้โรงงานทอผ้าก็ไม่จำเป็น สารพิษจากสารเคมีก็ไม่มาแปดเปื้อน น้ำเสียจากโรงงานก็ไม่มีให้ไหล สารตะกั่วก็ไม่ลงทะเลให้แปดเปื้อนปลา ปลาที่นำมารับประทานก็บริสุทธิ์ หมอกควันจากโรงงานก็ไม่พ่นพิษ โลกก็เย็นสบาย (ไม่มีภาวะโลกร้อน) สิ่งของเครื่องใช้อื่น ๆ ล่ะหากเราวางแผนเช่นเดียวกับเรื่องของเสื้อผ้า ลองนึกวาดภาพดู มีสิ่งดี ๆ อะไรบ้างที่ติดตามมา ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (กลอนสอนศิษย์) เป็นข้อคิด และเปลี่ยนบรรยากาศ ยกเรื่องสารเคมีเป็นที่ตั้ง เพื่อสอนสั่งคู่สิ่งอื่นมีดื่นถม ทาสวัตถุปัญหาเหลือปรารมภ์ ค่านิยมเพิ่มปัญหาสารพัน สารเคมีมีไว้จำหน่ายคล่อง รัฐคุ้มครองเพียงนิดผิดมหันต์ สารเคมีเร่งใช้เป็นรายวัน อันตรายมลายแล้วเมืองไทยเรา ทั่วท้องทุ่งคุ้งคลองหนองนาไร่ เขาก็ใช้กันวุ่นถึงขุนเขา ป่าคอนกรีตนึกว่าน่าบางเบา ไม่สร่างเซาเพิ่มมหันต์อันตราย อาจจะมีผู้ถามว่า นี่จะถอยหลังเข้าคลองหรืออย่างไร วิทยาการสมัยใหม่มีไว้ทำไม ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์จะเอาไปไว้ที่ไหน จะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร นี่มันยุคคอมพิวเตอร์ใช่ไม่ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ขอตอบและขยายความอย่างสังเขปดังนี้ การที่นำความเจริญความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือในการแข่งขันถือเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงนี่คือการหยิบยื่นมหันตภัยให้มวมนุษยชาติการสร้างโรงงานเพื่อผลิตสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่ากับปล่อยโรคร้ายมาฆ่าผู้คนโดยตรงยิ่งมีโรงงานผุดกันเกลื่อนรอบมุมเมืองโรคร้ายก็ยิ่งเพิ่มนายทุนต่างชาตินำโรงงานมาฝากไว้ในบ้านเมืองเราท่านภูมิใจได้ไหม พูดได้เต็มปากหรือไม่ว่าเรามีความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมในเรื่องนั้น เรื่องนี้ ประเทศไทยเราเป็นฐานผลิตที่ใหญ่ที่สุด อะไรทำนองนี้ ผู้ที่พูดได้อย่างเต็มปาก และชื่นชม คือพวกกลุ่มทุนผลิตเท่านั้น ที่เขาหวังความร่ำรวย หวังทรัพย์สิน มุ่งหวังเงินทอง จนคลั่งค่านิยมวัตถุอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่สำหรับผู้เข้าใจ หรือผู้มองหาสัจจะธรรมในการดำรงชีพที่ควรจะเป็น คงไม่ใยดีกับโรงงานประเภทนี้เลย ทำไมปัจจุบันรถมากมายเต็มถนนจนเกิดปัญหารถติดในเมืองใหญ่ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุเรื่องนี้ มาจากหลายด้าน เมื่อมีสินค้าจากโรงงานก็ต้องใช้รถในการขนส่ง ขนส่งระดับภูมิภาค ขนส่งระหว่างประเทศ (ขนส่งทางน้ำ ทางอากาศ ก็เพิ่มทวี) วุ่นวายตามกันไป ผู้คนในสังคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าก็วุ่นวายกับการขนส่งรายเล็ก แม้ไม่ขนส่งก็ยังใช่รถเป็นพาหนะในการติดต่อ ชาวบ้านร้านตลาดส่งลูกเข้าเรียนในตัวเมือง ในต่างจังหวัดก็วุ่นวายกับการไปเยี่ยมเยียนติดต่อก็ต้องใช้รถ ล้วนแต่จำเป็นเพื่อความสะดวก เพื่อการบริหารจัดการที่ดี นี่สืบเนื่องจากสาเหตุการแข่งขันด้านธุรกิจทั้งนั้น แม้แต่เรื่องการเรียนก็มีเรื่องธุรกิจแอบแฝงอยู่ คือเป็นธุรกิจในอนาคต พ่อแม่ต่างมุ่งหวังให้บุตรหลานได้ประกอบอาชีพที่ต้องการ ต่างดิ้นรนหาที่เรียน บางครั้งถึงกับส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเมืองนา(ให้อ่านเรื่อง ปริญเอ๋ยปริญญา ในหัวข้อ "ข้อคิดข้อเขียน") ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์นำมาใช้ผลิตอาวุธสงความถูกต้องแล้วหรือ ทำไมต้องมีสงครามทำไมต้องมีกองทัพ มีอะไรแอบแฝงอยู่ในเรื่องความมั่นคง หากเราพิจารณาด้วยสติปัญญากันบ้างความสว่างแห่งจิตย่อมผุดขึ้นมาบ้าง และพอถึงวันเด็กคงไม่นำเด็กไปดูอาวุธยุทโธปกรณ์ แล้วบรรยายให้เยาวชนฟัง ด้วยความภาคภูมิใจต่าง ๆ นานา ในเรื่องอานุภาพอันร้ายแรงของอาวุธ หรือในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสงคราม ขอถามสั้น ๆ ว่า "นี่หรือคือความเจริญ" "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ขอนำความเจริญวิทยาศาสตร์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันที่เห็นเด่นชัดในเรื่องการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือนำความรู้ด้านวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ในทางที่สร้างสรรค์ก็มาก เช่น ด้านสาธรณสุข ด้านการเกษตร โครงการนาซ่า หรือด้านการวิจัยอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีพของมนุษย์ เหล่านี้ ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก ส่งเสริม และมุ่งมั่นเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างจริงจัง (ขอกล่าวโดยละเอียดเฉพาะเรื่องอีกครั้ง) การวิทยาการสมันใหม่มาใช้อย่างถูกวิธี คือ "ความเจริญที่แท้จริง" ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเหตุเป็นผลที่เห็นประจักษ์กันทั่วไป เพื่อค้นหา "ความเจริญ" ขอได้นำข้อคิดข้อเสนอเหล่านี้มาพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะได้ช่วยกันหาแนวทางที่ดีที่ควรเพื่อการอยู่ร่วมของมวลมนุษยชาติที่จะส่งผลให้เกิดความสันติสุขอย่างแท้จริง และยั่งยืน http://www.naturedharma.com/data-1431.html ประทีป วัฒนสิทธิ์ ธรรมชาติธรรม 9 สิงหาคม 2556 |