หัวข้อ: หนังตัวอย่าง เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22 มกราคม, 2558, 11:13:46 AM ๏ ตั้งต้นความตามนิทานแต่กาลก่อน อตีเต “อุดรปัญจาลนคร” นามมกรลือเลื่องประเทืองไผท ๏ ทั่วเขตขัณฑ์อาณาชนผาสุก นิรทุกข์เนิ่นนานกาลสมัย ดินอุดมน้ำดีมีดอก ใบ- ผลไม้ ธัญญาหารอันสมบูรณ์ ๏ “ท้าวอาทิตยวงค์” องค์กษัตริย์ ครองสมบัติกรุงไกรเลิศไอศูรย์ ทศพิตรราชธรรมเจิดจำรูญ ทรงเกื้อกูลถึงร้อยเอ็ดนัครา ๏ คู่องค์อัครมเหสี “นางจันทราเทวี” ศรีสง่า น้ำพระทัยใฝ่ธรรมล้ำเมตา ปวงประชาเชิดชูคู่ราชัน ๏ กิระกาลนานมาพารานี้ ปาจีนทิศสถิตที่สระสวรรค์ น้ำใสปานไพฑูรย์วิบูลย์วรรณ นับอนันต์สัตตะปทุมมาลย์ ๏ รอบขอบสระสวรรค์มากพันธุ์ไม้ แลวิไลชุ่มชื่นรื่นสถาน ใจกลางสระเป็นประตูสู่บาดาล จึงพบพานจอมนาคาผู้อารี ๏ นาคทรงนามว่า “ท้าวชมพูจิต” มิเรืองฤทธิ์นำหนุนบุญวิถี บำเพ็ญศีลอวยทานด้านความดี จึงเป็นศรีแห่สระประจำเมือง ๏ จำศีลสงบกายใต้หว้าใหญ่ ชนทั่วไปสักการมานานเนื่อง อำนวยพรนครรัชราษฎร์รุ่งเรือง บุญประเทืองด้วยนาคาบารมี ๏ ยามน้ำแล้งพญานาคปากให้น้ำ ชลชื่นฉ่ำทั่วแดนดินทุกถิ่นที่ น้ำมากพลันผันธาราเมืองนาคี ชั่วตาปีมิวิตกอุทกภัย ๏ ประจำปีมีงานการบวงสรวง การทั้งปวงเสริมกุศลดลสุขใส เพิ่มพระเกียรติ์กษัตราลือชาไกล ชาวเวียงชัยวัฒนาสถาวร ๏ คืนหนึ่งพระมเหสีมีนิมิต ชวนให้คิดแปลกมิเคยเลยแต่ก่อน ว่าเทวามาอุ้มองค์เอมอร เหินฟ้าจรสู่ป่าหิมวันต์ ๏ วางพระองค์ให้ทรงคชสารศิลป์ เที่ยวชมถิ่นพิไลกลางไพรสัณฑ์ ผ่านสระใหญ่ช้างถวายบุษบัน อัศจรรย์สุบินสิ้นราตรี ๏ อุษาสางปรึกษาพระฤๅสาย อยากทราบคำทำนายให้ถ้วนถี่ ด้วยครุ่นคิดจิตวุ่นวายร้ายหรือดี จอมธานีสั่งหาโหราจาร ๏ โหราเฝ้าจึงเล่าความตามที่ฝัน ฤกษ์ยามอันทรงสุบินสิ้นโวหาร จึงโหรารับราชโองการ ทูลภูบาลถ้อยความตามตำรา ๏ คำทำนายถวายไท้ในการณ์นี้ พระองค์มีโชคอนันต์อันเลอค่า ดั่งจำนงทรงครรภ์ราชบุตรา จุติตรงลงจากฟ้าสุราลัย ๏ ทรงบุญญาธิการปานโกสินทร์ ครองแผ่นดินสืบสายปลายสมัย พอจบคำทำนายพระภูวนัย ดวงฤทัยแช่มชื่นรื่นสราญ ๏ ทรงถนอมกล่อมขวัญพระครรภ์อ่อน งดเผ็ดร้อนเสวยพระกระยาหาร ทศมาสมาถึงซึ่งวันวาร พระประสูติกาลเอกอานันท์ ๏ พร้อมธนสมบัติพิพัฒน์เลิศ การบังเกิดขุมทองผ่องสีสัน ทั้งสี่มุมปราสาทพิลาสสุพรรณ ดุจเทวัญประทานกาจนา ๏ ยังปิติยินดีที่ล้นพ้น ถึงปวงชนญาติพงศ์ร่วมวงศา องค์ทรงธรรม์รับขวัญพระลูกยา ให้นามว่า “สุธนราชกุมาร” ๏ ศุภลักษณ์วิไลเลิศในภพ ทรงคุณครบบุญฤทธิ์พิสิฐพิศาล เจริญวัยราชัยหาพระอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญวิชามาเป็นครู ๏ สอน “ไตรเทพพงศาวดารศาสตร์” พระสามารถเรียนไวมิใครสู้ ผู้สอนสั่งทั้งมวลล้วนเชิดชู เป็นวิญญูองค์เอกอเนกอนันต์ ๏ ทั่วธานินทร์สิ้นครูผู้ใดสอน ลาบิดามารดรสู่ไพรสัณฑ์ หมายทิศาปาโมกข์โลกอภิวันท์ คือยุคันต์อาจารย์สรรพวิชา ๏ เอกากายใจมุยุรยาตร “ธนูศาสตร์” ล้ำลึกหมายศึกษา แล้วสมหวังดั่งคิดด้วยกฤดา พบมหาโยคีที่เกริกไกร ๏ จึงฝากตัวเป็นศิษย์เรียนศรศิลป์ สมดั่งจินต์มุ่งมั่นแลฝันใฝ่ ทรงศึกษาจริงจังอย่าตั้งใจ สำเร็จได้ดังปองเพียงสองปี ๏ วันกราบลาพระอาจารย์ท่านกล่าวว่า “จะนำพาขึ้นยอดคีรีศรี สู่อาสมศรศักดิ์สิทธิ์เลิศฤทธี นามศรนี้คือ “ศรศิลปชัย” ๏ ผู้เรียนจบการศึกษามาทั้งหลาย ต่างมาดหมายครองศรศรีที่ยิ่งใหญ่ แต่ผันผ่านนานปีมิมีใคร น้าวคันศรนี้ให้โก่งได้เลย ๏ สายศรแกร่งปานเหล็กกล้าหนักกว่าหิน” พระสุธนได้ยินโยคีเอ่ย จึงตั้งจิตพิษฐานกาลก่อนเคย บำเพ็ญบุญหนุนได้เชยชมฤทธา ๏ หยิบคันศรขึ้นจับกระชับมั่น แล้วน้าวคันขึ้นพรหมมาตรดังปรารถนา แผลงศรศิลป์บินไปในเมฆา แผดเสียงก้องท้องวนาผาสะท้าน ๏ แล้วย้อนกลับสู่แหล่งสำแดงฤทธิ์ เป็นนิมิตคู่บุญญามาสมาน องค์โยคีมีพรสุนทรประทาน “แต่นี้ท่านจงน้อมนำประจำกาย ๏ พิชิตมารสานคุณธรรมนำชาวโลก พ้นทุกข์โศกสุขสันต์กันทั้งหลาย” คำพรจบนบสิทธาลาเยื้องกราย ออกสู่สายไพรมุ่งหน้าคืนธานี ๏ มิทันพลบพบพรานไพรแปลกใจนัก มานั่งดักทางไว้ไม่หลีกหนี เมื่อเข้าใกล้พรานจึงได้อัญชลี พระจึงมีพจนาปุจฉาไป ๏ “ท่านมาทำกิจใดที่ในป่า เป็นนักล่ามิเห็นมีเนื้อที่ไหน หรือเพียงหาพวกยาสมุนไพร แล้วเหตุใดที่มานั่งท่ากัน” ๏ “กระหม่อม “พรานบุญฑริก”ขอรับ หากินกับไพรสาณฑ์นานเหลือนั่น วันนี้สัตว์ตื่นหนีทุกชีวัน ด้วยเสียงลั่นเมฆาศรนารายณ์ ๏ ปู่เล่าเรื่องศรศิลปชัยไว้นานมาก ใจจึงอยากอภิวันท์ดังมั่นหมาย กระหม่อมมีธนูผู้เลี้ยงกาย เพียงสืบสายเลือดพรานเนิ่นนานมา ๏ รู้ว่าพระสุธนได้ศรศิลป์ คู่กายินสมศักดิ์อนรรฆค่า ที่กระทำด้วยดำริมุทิตา มิได้คิดริษยาใจอาธรรม์” ๏ พระสุธนยินคำย้ำกล่าวขาน จึงตอบพรานด้วยวาทะสมานฉันท์ “เราทำสัตว์ตื่นก็ขออภัยกัน มิตั้งใจทำเช่นนั้นด้วยฉันทา ๏ อีกเราสองรักธนูทั้งคู่มั่น ควรผูกมิตรสัมพันธ์กันเถิดหนา อาวุโสคือท่านผ่านเวลา ละยศฐาขอเรียกขานพี่พรานบุญ ๏ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในภายหน้า ปรารถนาเอาไว้หมายนำหนุน เดือดร้อนใดให้ช่วยเหลืออยากเจือจุน” มอบการุณย์แล้วเอ่ยลาคืนนาคร ๏ พรานบุญแสนซาบซึ้งตราตรึงจิต ด้วยมิคิดได้รับเกียรติมาแต่ก่อน จึงหมอบราบกราบก้มพนมกร กล่าวสุนทรต่อตอบไปใจตื้นตัน ๏ “ขอนุญาติกลับด้วยกันในวันนี้ ต่อไมตรีมิตรใหม่ให้คงมั่น” พระสุธนมิขัดตัดสัมพันธ์ จึงชวนกันคืนนครอุดรปัญจาล์ ๏ สนทนารายทางมากลางไพร เรื่องอันใดข้องจิตคิดปุจฉา พรานเล่ามีลูกเมียพร้อมหน้าพร้อมตา อยู่ชายป่าฐานะก็พออยู่ดี ๏ แต่กระหม่อมนั้นนิสัยติดไพรสาณฑ์ อยู่เคหาถ้านานใจเต้นถี่ เมื่อเข้าป่าผาสุกทุกข์มิมี ใช้ชีวีจัดเจนตระเวนไพร ๏ ถามถึงองค์ชายาพระสุธน คงมากมายหลายคนด้วยหาได้ ร้อยเอ็ดนักคราธิดาใด แม้นหมายใจย่อมไม่ขัดพระอัชฌา ๏ พระสุธนจึงมีวาทีตอบ มิชื่นชอบหญิงใดในโลกหล้า คงเพราะยังไม่ถึงซึ่งเวลา ลุชายป่าทั้งสองต้องแยกทาง ๏ พระสุธนมิรอรั้งเข้าวังหลวง การทั้งปวงสำเร็จสิ้นทุกอย่าง กราบพระบิดรมารดาลาคืนปรางค์ สุขอยู่กลางเวียงวังทั้งวงศ์วาน ๏ กล่าวถึงอีกเมืองหนึ่งที่มีชื่อพ้อง “ปัญจาละ” ที่สองใหญ่ไพศาล อยู่ทางทิศประจิมชนผจาร พระราชานฤบาลถืออาธรรม์ ๏ เกิดข้าวยากหมากแพงทุกแห่งหน ประชาชนทุกข์ยากมากมหันต์ ต่างนครอุดรปัญจาล์นั้น จึงพากันทยอยโยกย้ายไป ๏ ที่ทุกข์ร้อนหมายผ่อนคลายไปหาเย็น นั้นย่อมเป็นปกติแห่งวิสัย ชาวปัญจาล์ประจิมน้อยเหลือใจ องค์ราชันนั้นสงสัยนัยคดี ๏ ประชุมเหล่าเสนสมหาอำมาตย์ จึงสามารถรู้ความตามวิถี ว่าเหล่ามวลมหาประชาชี ย้ายถิ่นหนีทุกข์ยากจากพารา ๏ สู่ “อุดรปัญจานคร” นั้น ที่พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์กว่า ดินน้ำดีด้วยบารมีจอมนาคา ผู้ขึ้นมาทำหน้าที่บริบาล ๏ ราชาฟังดังนั้นพลันกริ้วเหลือ นาคโอบเอื้อมิทั่วถึงถิ่นสถาน บริภาษจอมนาคาว่าสาธารณ์ กระทำการโดยฉันทาถืออาธรรม์ ๏ จึงระดมพราหมณ์ที่มีพระเวทย์ มากฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ในเขตขัณฑ์ ให้เข้ามารวมกลุ่มประชุมประชัน เพื่อคัดสรรผู้อาสาจับนาคี ๏ เมื่อได้พราหมณ์ตามจิตที่คิดฝัน จึงราชันบัญชามอบหน้าที่ จับเป็นมาก็ได้ตายก็ดี ก็จักมีรางวัลใหญ่ให้ตอบแทน ๏ พราหมณ์ทูลลาคลาไคลมิได้ช้า มุ่งอุดรปัญจาล์ทำตามแผน สืบเสาะหาสระน้ำประจำแดน จนมั่นแม่นโคนหว้าใหญ่รอยไม่จาง ๏ จึงทดลองมนตรากับยาสั่ง พ่นลงยังสระใหญ่ใสกระจ่าง ในฉับพลันน้ำนั้นพลุ่งไอฟุ้งคว้าง จากใจกลางสระงามน้ำขุ่นตม ๏ พราหมณ์ปลื้มใจในวิชายาแรงฤทธิ์ เหมือนดังคิดหวังไว้ใจสุขสม จวนจะค่าทำเพิงค้างกางฝนลม เริงอารมณ์ถึงรางวัลอันโอฬาร ๏ วางแผนไว้สายวันใหม่เข้าในป่า หาว่านยาพิษร้ายปานไฟผลาญ มากพอที่บีฑานาคามลาญ จึงทำการเผด็จศึกดังนึกคิด ๏ ในครานั้นพญานาคราช ต้องมนตราพยาบาทนั่งไม่ติด ร้อนรุ่มดังอัคคีเผาชีวิต ดุจเข็มพิษทะลวงดวงฤทัย ๏ เกิดสังหรณ์ในจิตผู้คิดร้าย มุ่งทำลายด้วยพระเวทย์เดชยิ่งใหญ่ อยากให้การณ์อันระแวงนั้นแจ้งใจ จึงคลาไคลขึ้นเหนือพื้นปฐพี ๏ แล้วจำแลงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม มาดักซุ่มดูลาดเลาเฝ้าพื้นที่ มิพบเห็นผู้ใดอยู่ใกล้นี้ จึงได้ออกจรลีตามร่องรอย ๏ ได้พบพราหมณ์หมองูพักอยู่ยั้ง รู้ผู้ที่มีพลังต้องร้างถอย กำลังพบทุกข์ใหญ่มิใช่น้อย เสโทย้อยย่ำย่างตามทางมา ๏ ดวงชะตาฟ้าเบื้องบนดลบันดาล มาพบพรานบุญพอดีที่กลางป่า จึงทักทายวาทะเจรจา “ท่านเป็นชาวพาราแห่งใดฤๅ” ๏ พรานบุญตอบมอบน้ำใจไม่เย่อหยิ่ง ตามความจริงจากใจอันใสซื่อ “ชาวอุดรปัญจาล์นามระบือ ชนเลื่องลือว่าอุดมสมบูรณ์ดี” ๏ “มีเหตุใดมาดลบันดาลให้ จึงปลอดภัยไร้ทุกข์เป็นสุขศรี” พรานบุญตอบ “เป็นความชอบของนาคี บารมีปกปักรักษ์มานาน” หัวข้อ: Re: หนังตัวอย่าง เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22 มกราคม, 2558, 11:13:59 AM ๏ “แล้วถ้ามีผู้ใดทำร้ายนาค มีฤทธิ์มากเกินที่นาคีต้าน ความคิดเห็นเป็นไฉนในดวงมาน ถ้าเหตุการณ์คับขันกระนั้นแล้” ๏ พรานบุญว่า “หามีใครในเมืองนี้ ความคิดมีอย่างท่านนั้นกล่าวแน่ หรือว่าคนคนนั้นคือท่านแท้ ที่แปลกหน้ามาตั้งแง่ให้งวยงง ๏ ขอพิฆาตเสียด้วยศรเคยส่องสัตว์ แทนคำตอบที่ชัดดังประสงค์” เห็นท่าทีที่รักกันเป็นมั่นคง ดังจำนงนาคจำแลงเลิกแปลงกาย ๏ เป็นนาคีแล้วมีคำพร่ำเฉลย ว่า “ท่านเอ๋ยเราทุกข์สุขสลาย ด้วยมีพราหมณ์มากฤทธิ์ใช้พิษร้าย มากล้ำกรายกายินถึงวิญญา ๏ เขาพักค้างไม่ห่างมากจากจุดนี้ คงเตรียมการณ์ผลาญชีวีเราวันหน้า ขอไหว้วานท่านด้วยช่วยเมตตา เรานาคานี้จะเทิดพระคุณ” ๏ พรานบุญรู้ความจริงมินิ่งอยู่ ขออาสามาเป็นผู้ช่วยเกื้อหนุน จะปกปักษ์รักษ์นาคาที่การุณย์ คอยค้ำจุนปัญจาล์มาเนิ่นนาน ๏ “ท่านจงกลับคืนวังตั้งใจเถิด เหตุร้ายใดจักไม่เกิดขึ้นกับท่าน ข้าจะเฝ้าสระเอาไว้ป้องภัยพาล มีใครมากระทำการอันพิกล ๏ ต้องม้วยมรด้วยศรพรานผลาญชีวิต สมโทษทัณฑ์ที่มันคิดอกุศล” นาคาว่า “อย่าทำร้ายก่อนคลายมนต์ เราจักต้องทุกข์ทนนานนิรันดร์ ๏ ควรบังคับเขาให้คลายมนต์ก่อน ตามขั้นตอนดูน้ำในสระสวรรค์ ไว้ชีวีดีหรือไม่ต่อไปนั้น มิกีดกันท่านตามจิตพินิจความ” ๏ ตกลงกันเป็นมั่นเหมาะวิเคราะห์กิจ พรานบุญคิดถ้วนถี่มิหยาบหยาม เราล้วนศิษย์มีครูมิวู่วาม ต้องทำตามแผนการวางงานไว้ ๏ แต่เชื่อมั่นมันผู้ที่มีจิตต่ำ มายีย่ำคนดียอมมิได้ มิประมาทรู้ว่าพลาดอันตราย จึงซุ่มกายนิ่งในร่มใบบัง ๏ จนถึงเช้าวันใหม่ไม่ทันสาย เห็นพราหมณ์ร้ายเล่ห์กลมากมนต์ขลัง แบกกระบอกออกจากป่าละล้าละลัง แล้วมาตั้งศาลเพียงตาหน้าสระงาม ๏ เริ่มพิธีพลีกรรมทำคุณไสย พ่นลงไปจนจบคำรพสาม น้ำพวยพุ่งฟุ้งไอสมใจพราหมณ์ พ่นซ้ำตามลงเติมเพิ่มพลัง ๏ พรานบุญเห็นประจักษ์จิตมิผิดพลาด ประชิดพลันสันดาปฟาดลงกลางหลัง พอพราหมณ์ฟุบกำปั้นทุบซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ยั้งมิให้ถึงวายชนม์ ๏ ตีนเหยียบบ่ามือคว้าหัวห้ามตัวถอย คมมีดจ่อคอหอยเข้าอีกหน พราหมณ์กลัวเสียชีวินสุดดิ้นรน จึงร้องขอชีวิตตนอยู่พัลวัน ๏ พรานตะคอกบอกอยากมีชีวีต่อ อย่ารีรอคลายมนตราแรงอาถรรพ์ มิอาจเบี่ยงบ่ายได้ในครานั้น รับปากพลันยันกายนั่งภาวนา ๏ พรานจ้องสระน้ำใหญ่ไอพุ่งอยู่ ประเดี๋ยวดูระงับหายปลายคาถา จึงมั่นใจพราหมณ์ได้คลายมนตรา มิรอราดาบสะบัดตัดคอพราหมณ์ ๏ “ประเพณีตีงูให้หลังหัก ปู่แกสั่งไว้นักเป็นข้อห้าม เมื่อท่านเขลาเมามัวทำชั่วทราม รับโทษตามกำหนดกฎแห่งกรรม” ๏ ฝ่ายพญานาคีที่อกร้อน ค่อยค่อยผ่อนกลายเป็นเย็นชื่นฉ่ำ รู้มนตราราคีที่กระทำ ได้คืนคำคลายสิ้นแสนยินดี ๏ แปลงเป็นหนุ่มหน้ามนคนเดิมพลัน จรจรัลขึ้นไปในสระศรี เมื่อได้พบหน้ากันพรานบุญชี้ ให้ดูผีศัตรูผู้คิดร้าย ๏ จอมนาคีดีใจปานได้แก้ว “เป็นพระคุณยิ่งแล้วหนอสหาย ให้เราได้แทนคุณท่านอันมากมาย มิกลับกลายยึดมั่นคำสัญญา ๏ แต่เราสองต้องช่วยกันจัดการศพ อย่างเคารพศัตรูร้ายวายสังขาร์ คิดอภัยไม่ขอต่อเวรา ปล่อยเป็นเหยื่อแร้งกาจะไม่งาม” ๏ ช่วยกันลากศพไปสู่ไพรสัณฑ์ ห่างสระนั้นมิให้ใครหยาบหยาม เมื่อสำเร็จสมประสงค์ตกลงความ นาคเอ่ยนามพรานว่า “มหามิตร ๏ ขอให้เราได้แทนคุณเพื่อนบุญเถิด ท่านน้ำใจประเสริฐแสนซึ้งจิต ที่เมตตาอารีต่อชีวิต ขอเชิญท่านศานต์สถิต ณ บาดาล” ๏ พรานบุญยากบอกปัดหรือขัดข้อง จอมนาคาพาล่องลงสระผ่าน- ถึงวังทองเรืองอร่ามงามตระการ ร่วมปฏิสันถารสานสัมพันธ์ ๏ จอมนาคาพาขึ้นนั่งบัลลังก์เพชร มั่นในเจตนาผูกมิตรมั่น พรานบุญว่า “ท่านนะหรือคือราชัน ข้าต่ำชั้นเพียงพรานไพรไม่บังควร” ๏ “ท่านผู้ที่มีคุณนำหนุนนัก เรื่องยศศักดิ์ฐานะคนละส่วน อย่าให้เสียแรงรักที่ชักชวน เลิกเรรวนสดับรับรางวัล ๏ ให้ท่านครองอาณาห้าปราสาท ดำรงราชเวียงชัยไอศวรรย์ ห้าร้อยนางนาคีวิลาวัลย์ จักคัดสรรเป็นบริจาริกา” ๏ พรานสนองน้ำใจไม่อาจขัด ครองสมบัตินาคีอันมีค่า อยู่ได้เจ็ดราตรีเจ็ดทิวา เฝ้าทูลลาเจ้าบาดาลกลับบ้านเมือง ๏ จอมนาคา “ว่าน้อยสิ่งอันไหน เพิ่มเติมดั่งตั้งใจได้ทุกเรื่อง สิ่งใดผิดมิตรบุญจึงขุ่นเคือง คิดย่างเยื้องคืนหลังดังวาที” ๏ พรานพรรณนา “หามีที่ข้องขัด สารพัดสิ่งอำนวยอวยสุขี แต่วาสนาข้าน้อยอยู่เพียงนี้ น่าจะมีความสุขกลับทุกข์ทน” ๏ ห่วงเมียลูกผูกใจอยู่ไม่หาย อยู่นานช้าจะว่าตายกลางไพรสณฑ์ อีกอย่างข้าลาไพรใจกังวล ด้วยเป็นคนเคยชินถิ่นวนา” ๏ “เพื่อนไปดีก็มิขัดอัชฌาศัย แก้วแหวนใดสมบัติปรารถนา นับโกฏิมอบตอบแทนให้ไปขายค้า เพื่อนำพาบำรุงบำเรอตน” ๏ พรานบุญว่า “ข้าดำรงอยู่พงไพร ทรัพย์สมบัติอันใดไม่มีผล ขอเพียงนิดติดมือไปไม่มากล้น พอคลายจนเมียลูกสุขสบาย” ๏ “จักคิดอ่านฉันใดตามใจท่าน แม้นทัดทานรั้งอยู่ดุเสียหาย การท่านไกลไมตรีมิกลับกลาย ยังจักหมายแทนคุณนำหนุนกัน ๏ หากวันหนึ่งวันใดท่านได้ทุกข์ ขอเป็นคนดลสุขคืนคงมั่น ดั่งจำนงจงมาหน้าสระนั้น กู่ก้องพลันเป็นสัญญาณขึ้นสามลา ๏ ถึงแม้นว่าคราใดเราไม่อยู่ นายประตูจักนำท่านมาหา” ตกลงกันเป็นคำมั่นคำสัญญา นาคนำพาขึ้นบนพื้นปฐพี ๏ กล่าวคำลาพากันคืนพื้นเพเก่า ถิ่นลำเนาเคยอาศัยได้สุขศรี เมื่อรำพึงถึงในใจคนนี้ บ้านคือที่ครองสุขทุกชีวัน ๏ เช่นสัตว์พรากจากดงอยู่กรงทอง มีแต่หมองครองทุกข์สิ้นสุขสันต์ ถิ่นกำเนิดเกิดกายใครเช่นกัน สายใยรักผูกพันมั่นมิเลือน ๏ พรานบุญถึงเคหาภรรยาเห็น สิ้นลำเค็ญดีใจมิใดเหมือน แม้มิได้เนื้อ ยา คืนมาเรือน เล่าเรื่องเยือนแดนนาคาเมืองบาดาล ๏ มอบแก้วแหวนเงินทองมากองให้ น้อยนักหนาแต่ค่าใหญ่ยิ่งไพศาล เมียพรานบุญสุขสบายไปอีกนาน เกินกว่าการล่าเนื้อเพื่อยังชนม์ ๏ แต่พรานบุญวุ่นใจถึงไพรพฤกษ์ นั่งก็นึกนอนเพ้อหามาหลายหน จึงเล่าความเมียลูกผูกกมล ว่าใจตนคะนึงถึงพงไพร ๏ ลูกเมียมีสมบัติพัสฐาร สุขสบายไปอีกนานหายากไม่ ครั้งนี้กาลนานกว่าคราใดใด สู่แดนไกลที่มิเคยเลยก่อนมา ๏ เชิงภูผาหิมาลัยอันลึกลับ เพียงแต่เคยสดับเรื่องนักหนา อยากจะไปให้เห็นเป็นบุญตา แนววนาวิจิตรพิศดาร ๏ เตรียมธนูหน้าไม้ของใช้สอย เผือก มัน กลอยหาได้กลางไพรสาณฑ์ เสบียงกรังทั้งหยูกยาที่อาธาร เมื่อเตรียมการครบครันผันหน้าจร ๏ บ่ายหน้ามุ่งไปสู่อุดรทิศ แดนป่าปิดเดินยากมากสิงขร ด้วยจิตพรานผู้ชาญป่ามิอาทร จึงแรมรอนนอนวนาหลายราตรี ๏ จนลุล่วงห้วงน้ำงามประหลาด รุกขชาติแปลกตากว่าทุกที่ ดุจเทวัญสรรค์บุปผาสุมาลี หลากหลายสีชื่นฉมชวนดมดอม หัวข้อ: Re: หนังตัวอย่าง เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22 มกราคม, 2558, 11:16:34 AM ๏ ในห้วงน้ำงามด้วยกลุ่มปทุมมาส ดารดาษอุบลบานซ่านกลิ่นหอม ดุจแข่งขันกันชูกรอันอ่อนน้อม สะพรั่งพร้อมชมเพลินจำเริญใจ ๏ ใกล้เวลาสายัณห์กระชั้นนัก ต้องรีบหาที่พักค่อยมาใหม่ มองที่เหมาะจำเพาะค้างอยู่กลางไพร ลัดเลาะไปพบอาศรมบรมมุนี ๏ พรานสบายใจนักขอพักค้าง มิต้องขึ้นนอนห้างให้ยากที่ เดินมุ่งหน้าไปหาเจ้ากุฎี วันทาพระฤษีมีเมตตา ๏ พรานบุญถามความเป็นมา “เอกาองค์ อยู่ดำรงภักษาหารใดสรรหา เจ็บป่วยนั้นฉันใดใช้หยูกยา สัตว์ร้ายใดไยไม่มาบีฑากาย ” ๏ พระมุนีชี้แจงแหล่งอาหาร ทุกวันวารขบฉันนั้นเหลือหลาย เลือกเพียงผลที่หล่นพื้นดื่นกระจาย ทั้งวานรมาถวายให้ทุกวัน ๏ ส่วนหยูกยามีนานาสมุนไพร กลาดเกลื่อนไปสารพัดให้คัดสรร สัตว์ร้ายที่จะบีฑาดังว่านั้น สิ่งป้องกันใช่ฤทธิ์เดชแต่เมตตา ๏ โยมเล่าเป็นพรานไพรไฉนหนอ มิหาบห่อเขาหนังพวกมังสา ล่วงเขาวงดงชัฏพลัดหลงมา หรือมีเจตนาว่าอย่างไร” ๏ ฉันเป็นพรานนานมาพนาเวศ ถ้วนทุกเขตท่องมาสิ้นถิ่นไหนไหน เพียงป่านี้ที่เพิ่งมาเพราะว่าไกล เดินทางได้ลำบากยากเอาการ ๏ ห้วงน้ำใหญ่ชายเชิงผาพฤกษาสวย ใครมาช่วยสร้างถวายให้แก่ท่าน” คำโยคีบอก “มีมาแต่ช้านาน อยู่ในเขตหิมพานต์มหาพน” ๏ “เมื่อวานผ่านมาเห็นเป็นบุญนัก พรุ่งนี้จักชมความงามอีกหน ด้วยติดตาตรึงใจคล้ายต้องมนต์ ชะตาดลประสบพบสิ่งดี ๏ องค์โยคีมีคำกล่าวห้ามว่า “พรุ่งนี้หนาคือวันปัณรสี ซึ่งเหล่านางโศภินกินรี ใช้น้ำในสระนี้ชำระองค์ ๏ โยมรอไว้สักวันให้ผันผ่าน พบสาวสวยสะคราญจักลุ่มหลง อกร้อนไฟราคะยากจะปลง เป็นมั่นคงจริงจังจงฟังคำ” ๏ พรานฟังวาจามุนีที่กล่าวขอ เหมือนเติมต่อใจอยากเห็นเต้นตุ้มต่ำ “เพียงแอบแลแต่ไกลไกลพรานไพรย้ำ จะมิทำให้ตกตื่นขอยืนยัน” ๏ องค์โยคียังมีคำย้ำอีกว่า “กินรีมีนาสาพิเศษสรรค์ เหนือลมแลแม้ว่าจะไกลกัน จับกลิ่นอันแปลกไปได้ไวนัก” ๏ พรานตอบต่อ “ข้อนี้นั้นถนัด การส่องสัตว์จมูกดีต้องมีหลัก” ผู้ทรงศีลสิ้นวาทีที่จะทัก จึงหยุดพักวาระสนทนา ๏ รุ่งทิวาคราสุรีส่องสีแสง ขึ้นโด่งแดงเฉิดฉายในเวหา พรานมุ่งตรงลงกุฎีมิรอรา สอบทิศาใต้ลมจนสมจินต์ ๏ พบสุมทุมพุ่มพฤกษ์ดังนึกคิด ที่ปกปิดบังกายได้หมดสิ้น สงบนิ่งจริงดังว่าทำมาชิน มิอาจยินแม้เสียงผายลมหายใจ ๏ มินานเห็นกินนรีที่เวหา ล่องลิ่วฟ้าดิ่งตรงลงมาใกล้ หยุดยังแท่นศิลาหมายตาไว้ มิระแวงระไวพรานไพรมอง ๏ ถอดปีกหาวางเรียงเคียงขอบขัณฑ์ ลงสระพลันเริ่มพี่ใหญ่ไล่องค์สอง สามสี่ห้าหกคือนุชคนสุดท้อง พรานบุญจ้องนิ่งกริบมิพริบตา ๏ พระองค์น้องนั้นงามล้ำมนุษย์ พิไลสุดจักพบได้ในโลกหล้า พี่เรียกขานชื่อน้องนั้น “มโนราห์” โฉมสุดาอัปสรใดไม่เปรียบปาน ๏ คิดถึงคำพระสุธนเมื่อหนก่อน มากธิดาร้อยนาครมิสมาน ถ้วนทั้งในโลกายุพาพาล พระมิมีดวงมานปฏิพัทธ์ ๏ ฤๅชะตาฟ้าเบื้องบนดลมานี้ กินรีคือคู่องค์วงศ์กษัตริย์ เมื่อใคร่ครวญหวนคำนึงจึงแน่ชัด พรานบุญตัดอารมณ์ข่มใจลา ๏ คืนหลังสู่อาศรมพระฤษี เผยวจีเข้าจุดอยากปุจฉา แจ้งให้ท่านรู้ซึ้งถึงเจตา อยากจะจับ “มโนราห์” กินนรี ๏ “การมาดหมายมิใช่ว่าเกิดราคะ กักขฬะมิดูกายตนใช่ที่ รู้ว่าเธอกึ่งเทพเป็นเทวี สูงศักดิ์ศรีควรคู่องค์ภูมินทร์ ๏ นำนางไปถวายพระสุธน เจริญชนม์เอกากายไม่ถวิล สาวมากมายถวายตัวทั่วธรณินทร์ แต่ดวงจินต์พระมิภักดิ์รักนางใด ๏ เชื่อมั่นนักเมื่อพบพักตร์โนราห์น้อง พระองค์ต้องตรึงจิตพิสมัย วิธีการจับนางควรฉันใด ผิพลาดไปโอกาสอาจหลุดลอย ๏ ทำบ่วงบาศไปคล้ององค์น้องนั้น สระกว้างใหญ่ห่างไกลกันอยู่สักหน่อย พุ่งไปจับสับสนแน่มิใช่น้อย อลหม่านพานจะพลอยให้งวยงง ๏ ด้วยทั้งเจ็ดกินรีนี้สระสวย ร่างสำรวยละม้ายทำให้หลง คิดไม่ตกอกใจไม่อาจปลง จึงเผยความจำนงพระสิทธา” ๏ พระสิทธาเผยวาทีที่สงสัย หลังพรานไพรจบคำที่พร่ำว่า “โยมพรานเอ๋ยอย่าคิดเลยป่วยการนา มิใช่เนื้อมิใช่ปลาเมื่อพึงใจ ๏ จะดักจับขับเคี่ยวเอาเดี๋ยวนั้น เขาก็คนเหมือนกันรู้หรือไม่ ทั้งเชื้อชาติเทวัญอันเรืองไกร เขามิใช่นกกาหนาโยมพราน ๏ ที่บินได้ใช้ปีกหางสร้างประดิษฐ์ อิทธิฤทธิ์แห่งมนตราเทวาสมาน กรุงไกรลาสนิวาสริมหิมพานต์ ระโหฐานประเทืองเพียงเมืองแมน ๏ มิอืดอาดปราดเปรียวเฉลียวฉลาด ความสามรถเหินฟ้าไปว่องไวแสน อันมนุษย์ดุจเราไซร้อย่าหมายแม้น ใช่ดูแคลนฝีมือพรานผู้ชาญไพร ๏ มีบ่วงบาศนาคราชนั้นเพียงหนึ่ง ที่ผูกมัดรัดดึงเอาไว้ได้” พรานบุญฟังนั่งยิ้มกระหยิ่มใน ยกมือไหว้ร่ำลาสิทธาพลัน ๏ เดินลัดดงตรงไปใจเบิกบาน สู่ประตูบาดาลสระสวรรค์ เมื่อมาถึงจึงกู่ร้องก้องแดนนั้น สามลาอันเคยสัญญากับนาคี ๏ นายทวารถลันถึงอยู่ซึ่งหน้า นั่งวันทาท่าระยอบขอบสระศรี ยินวาจาเข้าใจในทันที พาพรานจรลีไปทันควัน ๏ เพียงวับหนึ่งถึงยังบัลลังก์เพชร พบทรงเดชนาคราชเหมือนมาดมั่น จอมนาคีดีใจทักทายกัน สายสัมพันธ์มั่นคงเหมือนเคยมา ๏ “เพื่อนมีทุกข์ขุกเข็ญใดให้ช่วยเหลือ หรือเพียงเมื่อระลึกถึงจึงมาหา จงแถลงแจ้งเหตุเจตนา จงถือว่าเพื่อนกันเองอย่าเกรงใจ” ๏ พรานบุญฟังดังนั้นพลันตอบถ้อย “เรื่องมีอยู่มิรู้น้อยหรือว่าใหญ่ ที่ผ่านมาข้าเดินดงสุดพงไพร จนเข้าใกล้ชายป่าหิมพานต์ ๏ ได้พบนางกินรีฉวีวรรณ งามเฉิดฉันท์เลิศพิไลเกินไขขาน ดุจอนงค์ลงมาจากพิมาน ทรงสะคราญเกินใครในโลกา ๏ รำลึกถึงปัญจาละราชบุตร พระสุธนผู้พิศุทธ์แห่งโลกหล้า พระเดียวดายไร้คู่เคียงอุรา แม้ร้อยพันพระธิดามิยินดี ๏ จักจับนางมโนราห์มาถวาย ด้วยมั่นหมายพระครองคู่อยู่สุขี หนทางเดียวเทียวนะท่านในการนี้ พระฤษีเลิศฌานท่านหยั่งรู้ ๏ นาคบาศของท่านเท่านั้นแท้ ฉะนี้แลเหตุที่ว่าลงมาสู่ ด้วยถือว่าพญาจิตชมพู ก็คือผู้เอื้อปัญจาล์มาแต่ไร” ๏ “กล่าวให้ปลื้มจะยืมนาคบาศหรือ สิ่งนั้นคือของคู่องค์คงมิได้ พญาครุฑศัตรูรู้เมื่อใด มาบีฑาข้าก็ไร้ซึ่งสาตรา ๏ ขอสิ่งใดจักมอบให้ได้ทั้งสิ้น ของที่อยู่คู่ชีวินอย่าเลยหนา” พรานบุญย้ำ “คำท่านเคยเอ่ยสัญญา มิได้ว่ามีข้อเว้นเช่นนี้เลย ๏ เสร็จงานปั๊บจักรีบกลับมาคืนท่าน มิครองไว้ให้นานหรอกท่านเอ๋ย” จอมนาคินทร์สิ้นคำจะย้ำเปรย จึงเฉลยวาจาว่า “ตกลง ๏ ท่านตระหนักไว้เถิดหนาว่าสิ่งนี้ คือชีวีแต่ให้ตามความประสงค์ ห่างกายไปไร้เงาเศียรเจียนปลิดปลง ขอดำรงสัญญาสัจจาจริง ๏ พรานบุญรับนาคบาศจากหัตถา พร้อมศึกษาวิธีใช้ได้ทุกสิ่ง เอ่ยคำลาคลาไคลไม่ประวิง นาคพาดิ่งขึ้นสู่พื้นปฐพี ๏ มิหันเหห่วงเคหามุ่งหน้าใหม่ สู่แดนไพรให้ทันวันปัณรสี หมายรอยทางที่เคยเดินไว้อย่างดี ในหนนี้ใช้เวลามิช้านัก ๏ มาถึงทันวันที่หมายไม่คลาดเคลื่อน หาสุมทุมพุ่มเสมือนเรือนตั้งหลัก เตรียมแผนการงานใหญ่ไว้พร้อมพรัก จึงพำนักค้างคืนอย่างชื่นใจ ๏ ฝ่ายเหล่านางกินรีธิดาราช แห่งไกรลาสนคราเมื่อฟ้าใส ขึ้นกราบลาพระมารดรเช่นก่อนไร จะลาไปสรงสนานธารปทุม ๏ พระมารดาครานี้พิไรพร่ำ ทั้งสอนสั่งให้ฟังคำอกร้อนรุ่ม สังหรณ์ใจภัยร้ายหมายเร้ารุม “เจ้ารวมกลุ่มเอาไว้ให้จงดี” ๏ จะหักห้ามทรามวัยมิไปนั้น เหมือนบีบคั้นใจธิดาหาใช่ที่ ด้วยเป็นเรื่องเนื่องมาประเพณี นางเทวีจำซ่อนทุกข์กลางฤทัย ๏ ยังสั่งคำย้ำความไปตามห่วง “เจ้าทั้งปวงคือดวงจิตพิสมัย ขอให้เจ้าไปดีมีโชคชัย” เจ็ดกินรีดีใจรีบไคลคลา ๏ เมื่อใส่ปีกใส่หางเช่นนางหงส์ กินนรีบินตรงขึ้นเวหา ร่อนเล่นลมชมเพลินเนินพนา แล้วดิ่งลงตรงธารารื่นสราญ ๏ ถอดปีกหางวางเรียงลำดับไล่ จากพี่ใหญ่น้องสองสามตามพ้นผ่าน ทยอยลงสระน้ำงามโอฬาร วิธีการเหมือนดังทุกครั้งมา ๏ พรานบุญจ้องมองน้องนุชคนสุดท้าย ยังจำหมายนงรามงามนักหนา มองเขม็งเล็งไว้ไม่ละตา แล้วปล่อยบาศนาคาสั่งตรงไป ๏ บ่วงมนตรานาคาเห็นเป็นนาคี พุ่งเร็วรี่เข้ารัดบาทนางได้ โนราห์น้องร้องหวีดหวาดแทบขาดใจ เหล่าพี่นางน้อยใหญ่ร่ายเข้ามา ๏สายน้ำใสมองไปเห็นเป็นนาคี ต้องเผ่นหนีด้วยกลัวล้นพ้นนักหนา ใส่ปีกหางต่างเหินเดินเมฆา บินร่อนไปร่อนมาสาละวล ๏ มโนราร่ำร้องเรียก “โอ้พี่จ๋า มาช่วยน้องด้วยเถิดหนาอย่าเหินหน น้องกลัวจนเจียนใจมลายพ้น สุดดิ้นรนให้หลุดที่ฉุดดึง ๏ หกกินนรีบินรี่รุดฉุดองค์น้อง มิสมปอบไร้แรงสำแดงถึง พรานบุญเห็นเป็นแน่ชัดการรัดรึง นายพรานจึงออกจากพงตรงไปพลัน ๏ เห็นหกนางต่างยื้อยุดฉุดน้องอยู่ ยกธนูขึ้นตั้งท่าว่าจะลั่น จำปล่อยน้องร้องร่ำเพ้อรำพัน ต่างเสียขวัญเตลิดหนีสุดชีวิน ๏ พรานเก็บปีกเก็บหางวางในย่าม กระทำตามแผนงานการณ์ทั้งสิ้น จึงคลายบ่วงมนตราแห่งนาคินทร์ เรียกยุพินขึ้นคงคามาไวไว ๏ เรียกกี่ครั้งยังกลัวตัวแข็งทื่อ มิคิดดื้อแต่กลัวเกินเดินไม่ไหว เหมือนอุราจะกลวงสิ้นดวงใจ ชลนัยไหลหล่นปนธารา ๏ พรานบุญเห็นมิเป็นผลดั่งตนหมาย ขยับกายมุ่งตรงลงไปหา ยินเสียงร้องของนางมโนราห์ ห้ามไว้อย่ามารั้งฉุดสุดชีวัน ๏ กินรีมิชินกับกลิ่นมนุษย์ ถ้าพี่ชายต้องกายฉุดจักอาสัญ จะขึ้นจากสระนี้ขอพี่นั้น จงผายผันปลีกกายไปให้ไกล” ๏ พรานบุญว่า “อย่ามาไล่จักได้หนี เชื่อวาทีก็โง่นักจักหาไหน” มโนราห์ว่าปีกหางของนางไซร้ เมื่อเก็บไว้จักหนีไปฉันใดนา ๏ พรานบุญฟังดังนั้นพลันถอยห่าง เพื่อให้นางได้แต่งองค์ทรงภูษา เมื่อเสร็จสรรพพรานบุญกลับเดินเข้ามา นางจึงนั่งวันทาว่าคำวอน ๏ “โปรดเมตตาปราณีน้องนี้เถิด เราต่างเกิดร่วมโลกามาแต่ก่อน มีน้องพี่บิดาและมารดร ที่ห่วงหาอาทรอยู่ยิ่งนัก ๏ กินเนื้อหนังมังสาหาได้ไม่ ปล่อยน้องไปเถิดเป็นคุณได้บุญหนัก รู้ว่าพี่มิร้ายคนใจยักษ์ จะมาควักตับไตน้องไปกิน” ๏ พรานบุญฟังดังนั้นพลันตอบถ้อย “อันข้าน้อยมิได้ทำด้วยหยามหมิ่น รู้ศักดิ์ชั้นท่านนั้นสูงค่ากว่าเมฆินทร์ ข้าเพียงดินต้อยต่ำมิลำพอง ๏ ทั้งมิหมายทำร้ายท่านนั้นแน่แท้ จักดูแลต่อไปนี้ไม่ให้หมอง อุส่านำนาคบาศมาคาดคล้อง อย่าขอร้องปล่อยกายให้ป่วยการ ๏ ทำทั้งนี้ตั้งที่หมายไว้เป็นเลิศ จักชูเชิดพระบุญญามหาศาล ท่านครองคู่พระสุธนราชกุมาร สุขสราญในสมบัติขัตติยะวงศ์ ๏ ด้วยพระองค์เอกากายแต่ไรมา สาวอื่นใดในโลกามิประสงค์ เชื่อแน่นักพบพักตร์ท่านเป็นมั่นคง จักลุ่มหลงเสน่หายอดนารี” ๏ “ดุจนกกาค่าด้อยต่ำต้อยศักดิ์ พระองค์รักเมตตาหาใช่ที่ คงจะไล่ให้คืนป่าพนาลี เกรงตัวพี่ถูกพระองค์ลงอาญา” ๏ “เรารู้จักรักกันฉันท์พี่น้อง รู้พระทัยไม่ขุ่นข้องแน่นักหนา อย่าชวนให้ไขว้เขวเจรจา ไปเถิดหนาขอเชิญออกเดินทาง” ๏ มโนราจะข้องขัดอึดอัดอยู่ พรานบุญขู่จะลากกายให้ก้าวย่าง จำดำเนินเดินไปพลางร่ำไปพลาง ด้วยบาทนุชนุ่มบางอย่างสำลี ๏ ต้องย่ำหินดินกรวดแสนปวดร้าว หนามสั้นยาวตำกายแผลหลายที่ เดินร้องร่ำพร่ำหาพระชนนี “โอ้ป่านนี้ต้องโศกาเหลืออาลัย ๏ ครบน้องพี่ที่เย็นเช้าขึ้นเฝ้าหา แต่นี้ไปไม่เห็นหน้าน้องอยู่ไหน กรรมลูกนี้นิราศคลาดคลาไกล ชั่วชีวีนี้คงไม่ได้พบกัน ๏ ไหว้เทพไทที่สถิตทุกทิศสา ฝากวาจาแว่วไว้กลางไพรสัณฑ์ แม้นพระแม่ตามมาช้ามิทัน ว่าชีวันลูกยังมีมิมลาย” ๏ ค่อยถอดเครื่องประดับทับภูษา วางตามแถวแนววนามาเป็นสาย ผ่านสิบห้าราตรีกาลอ่อนแรงกาย มาถึงชายป่าชัฏพิกัดไพร ๏ มโนราขอพักเหนื่อยนักแล้ว “โอ้แม่แก้วคงตามมาหาทันไม่ เมื่อออกพ้นเขตป่าอย่าตามไป มากมีภัยบีฑาสารพัน ๏ ถอดเครื่องทรงชั้นนอกเหมือนบอกเหตุ พาดปางไม้ชายนิเวศสุดเขตขัณฑ์ พรานบุญเร่งอย่ารีรอไปต่อกัน อีกสามวันก็จะถึงซึ่งบุรี ๏ กล่าวย้อนหลังไปยังกรุงไกรลาส หกพี่น้องล่องอากาศถึงกรุงศรี ขึ้นไปหาพระมารดาในทันที เผยวจีว่า “น้องมโนราห์ ๏ โดนพรานไพรใช้บาศนาคราช มายื้อยุดนุชนาฏไว้แน่นหนา แม้พี่พี่นี้ช่วยฉุดสุดปัญญา พรานเงื้อง่าธนูใส่จำใจจร” ๏ พระมารดาครายินความตามที่กล่าว แสนปวดร้าวทุกข์ฤทัยเกินถ่ายถอน พระค่อนทรวงหน่วงหนักอยากม้วนมรณ์ สุดอาวรณ์ซมซบสลบลง ๏ ข้าราชบริพารทำงานวุ่น ชุลมุนหาโอสถน้ำสระสรง ทั้งกราบทูลปทุมราชขัตติยะวงศ์ จึงพระองค์รีบมาพยาบาล ๏ ฟื้นขึ้นมาราชันพลันปลอบโยน ให้อ่อนโอนข่มฤดีมิฟุ้งซ่าน มีวาจาว่าเป็นกรรมบรรพกาล มารอนราญให้ต้องร้างห่างกันไกล ๏ มิสูญสิ้นชีวาอนาคต คงเลี้ยวลดคืนมาถิ่นอาศัย พระมารดาว่า “อย่าห้ามขอตามไป เป็นฉันใดจะได้รู้ซึ่งลู่ทาง” ๏ องค์ราชัยไกรลาสมิอาจยั้ง จึงปล่อยดังฤทัยไม่ขัดขวาง “สุดชายป่าถ้าไม่พบนุชนาง จงลาร้างคืนหลังยังธานี” ๏ พระมารดาคลาไคลใส่ปีกหาง กินรีทั้งหกนางผู้เป็นพี่ พากันออกดำเนินเหินเมฆี มาลงที่สระใหญ่ดังใจจง ๏ ตามรอยทางย่างไปในพนัส เห็นถนัดเครื่องหมายมีที่ประสงค์ เพชรประดับมโนราห์บนผ้าทรง ให้รู้ว่าอนงค์คงชีวัน ๏ ย่างด้วยบาทขวาซ้ายหลายวันผ่าน ทรมานเจียนว่าจะอาสัญ นึกสงสารมโนราห์ยิ่งกว่านั้น ถูกบีบค้นชีวินสิ้นเสรี ๏ พระรันทดสลดทรวงด้วยห่วงหา พรรณนามาในพงไพรศรี พบเสือสิงห์ลิงค่างบ่างชะนี ก็ยังมีพจนามาเว้าวอน ๏ ให้ช่วยลูกผูกใจอย่าไกลจาก ทรงเอ่ยปากฝากเถื่อนแถวแนวสิงขร ร้องรำพันด้นป่าพนาดร สุดอาวรณแทบวางวายหลายวันวาร ๏ ที่สุดท้ายปลายวนาพบผ้าทรง ที่ฝากไว้แทนองค์ยอดสงสาร พระรีบคว้าอิงแอบแนบดวงมาน ปวดวิญญาณเกินห้ามหักรักอาลัย ๏ “โอ้ทูนหัวของแม่นับแต่นี้ โอกาสมีพบหน้ากันต่อวันไหน หรือตราบสิ้นชีวันจากกันไป ก็จักไม่อาจคืนมาชื่นชม ๏ “โอ้อกเอ๋ยพรานไพรใจทมิฬ ก่อราคินใจหยาบบาปสร้างสม พิฆาตสัตว์ตัดชีวีมิปรารมภ์ มาเข่นข่มรัดรึงถึงมนุษย์ ๏ พรากลูกนกลูกกายังว่าร้าย ทรมานใจกายเป็นที่สุด ช่างใจดำทำได้หมายยื้อยุด ที่ประทุษร้ายหมายอะไร ๏สุดคิดอ่านการใดอย่างไรต่อ นึกคำขอของราชาฝากมาให้ สุดแดนป่าถ้ามิพบลูกทรามวัย จงตัดใจคืนหลังยังธานี หัวข้อ: Re: หนังตัวอย่าง เริ่มหัวข้อโดย: วรรณดี ที่ 22 มกราคม, 2558, 12:40:38 PM สุดยอดจริงๆครับคุณลุง
ไม่มีคำบรรยายครับผม วรรณดี หัวข้อ: Re: หนังตัวอย่าง เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 22 มกราคม, 2558, 12:55:28 PM (รอบนี้ร่างครับยังไม่เน้นฉันทลักษ์) 10 เปอร์เซนต์ของท้องเรื่องครับ ธนุ เสนสิงห์ หัวข้อ: Re: หนังตัวอย่าง เริ่มหัวข้อโดย: ธนุ เสนสิงห์ ที่ 25 มกราคม, 2558, 10:48:20 AM ตัวอย่าง บทรักพระสุธน มโนราห์ ๏ พระกุมกรเหมือนก่อนมาทาโอสถ เหลือจะอดหักจิตพิสมัย จึงจุมพิตหัตถาอรทัย เผยความนัยขอความรักมโนราห์ ๏ มโนราห์บ่ายเบี่ยงเลี่ยงองค์หนี จึงอ้อนวอนวจีว่า “พี่จ๋า เห็นน้องเป็นเชลยหรือไรนา ลูกกำพร้าจักลวนลามตามอารมณ์” ๏ คนวนาจากป่าชัฏพลัดบ้านมา ขัดจำนงลงอาญาจึงสาสม” พระว่า “ทำด้วยความรักอยากชื่นชม มิหมายข่มเหงกันทั้งใจกาย ๏ ทรงตระกออดก่ายมิให้ห่าง โนราห์นางอกสั่นพระขวัญหาย ยังวอนว่า “ พระองค์คงเป็นนาย น้องพรานป่ามาถวายเป็นทาสไซร้ ๏ มิควรคู่พระองค์เสื่อมวงศา ชาวพาราจะติฉินหมิ่นเอาได้ ขอพระองค์จงฟังยับยั้งใจ” พระจุมพิตยอดหทัยปลอบไปพลาง ๏ พี่มิเคยรักใครในโลกนี้ ประชาชีเข้าใจในทุกอย่าง พี่สวาทปรารถนาพระน้องนาง มิมีใครขัดขวางอย่ากังวล” ๏ “น้องเหมือนลูกไก่ในกำมือ พี่ปล่อยไปได้ชื่อสร้างกุศล” พระมิฟังวาจานฤมล สวาทล้นอุราแล้วแม่แก้วตา ๏ พระชมชิดพิสมัยไม่เหหัน ทรวงสนิทชิดกันไซ้นาสา พระโอฐแอบแนบขมดมพักตรา หัตถ์เคล้าคลึงปทุมมาเป็นเนานาน ๏ การโลกีย์กำหนดรสสวาท มนุษยชาติทั่วถึงย่อมซึ้งซ่าน สุขกระสันปานท่องแมนแดนพิมาน รสสวาทมาดความหวานนับอนันต์ ๏ สองพระองค์ปลงจิตสนิทมนัส ปฏิพัทธ์เริงรุดสุดสวรรค์ ทรงเปรมปรีดิ์ราตรีกาลทั้งวารวัน พร่ำรำพันแต่คำรักปักฤทัย ธนุ เสนสิงห์ |