หัวข้อ: เรื่องสั้น มัธยมหกเทอมสอง เดือนสุดท้าย และพยาบาล สนอง เสาทอง เริ่มหัวข้อโดย: สนอง เสาทอง ที่ 16 สิงหาคม, 2556, 05:02:45 PM เรื่องสั้น
สนอง เสาทอง มัธยมหกเทอมสอง เดือนสุดท้าย และพยาบาล ๑. “มึงแต่งตัวจังซี่ ซิออกไปติว หรือซิไปขายหอย หือ...อีไหม” “เจ้าอย่าเว้าหลาย ข้อยเบื่อ เถิ่งจ่มเถิ่งป้อยอยู่คู้มื้อ ไส...เงินอยู่ไส” “มึงกะหยิบไปวังหนึ่งบ่แม่นตี๊ อีลูกเทวดา” “ฮื้ย...สองร้อยเอง มันบ่พอดอก...ต้องเติมเงินมือถือน๊ำ ขออีกสามร้อย” “เว้าป่านแม่นกูเสกเงินได้เองเหนาะ...มือถือเติมไห่สองมื๊อก่อนห้าร้อย คือเหมิดไวแท้ หือ...อีคุณนายหงอน...” “...” “กูว่า...แนมๆ ไปทรงมึงกะซิคือแม่มึง...” “...” เสียงทะเลาะต่อปากต่อคำแบบไม่มีใครยอมลงให้ใครที่ชาวบ้านละแวกนั้นคุ้นชินจนเป็นกลายเป็นเสียงสามัญประจำห้องแถวของร้านต้มแซ่บกลางซอยแห่งนี้มานานแล้ว ความที่คุณพ่อยังหนุ่มและตกพุ่มหม้ายมาหลายปีแล้ว นานพอๆ กับอายุของลูกสาววัยกำลังแตกเนื้อสาว ฮอร์โมนความเป็นหญิงของเธอสูบฉีดเต็มที่ เริ่มมีหน้าอกหน้าใจ ตะโพกเริ่มบานผายออก ใบหน้าและผิวพรรณที่สมบูรณ์ด้วยเลือดฝาดของวัยแรกสาวเต็มกำดัด กับอารมณ์ที่ปรวนแปรขึ้นลง ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห โลกส่วนตัวสูงและเอาแต่ใจตัวเองตามแบบฉบับของวัยรุ่นยุคไอทีดิจิตอลที่สะกดคำว่าอดทนรอไม่เป็น ด้วยสภาพแวดล้อมที่ห่อหุ้มหล่อหลอมจิตใจของเธอนั้นล้วนต้องการความเร็วแบบฟาสต์ฟู้ด ตั้นเจ้าของร้านต้มแซ่บผู้พ่อ อุปนิสัยส่วนตัวแล้วเขาเป็นคนค่อนข้างมัธยัสถ์ อดออม รูจักทำรู้จักใช้ และรู้จักเก็บ กับประสบการณ์ชีวิตที่เขาเข้ามาอิ่มและอดในเมืองหลวงตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี เคี่ยวกรำเขาให้รู้จักคุณค่าของเงินทุกบาทสตางค์ที่ได้มาและใช้ไป แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ประจำตัวของเขาที่นอกจากหน้าตาค่อนข้างดีแล้วก็คือ อัธยาศัยแบบพ่อค้า ยิ้มง่าย ปากหวานและปากไวในการทักทายลูกค้าเพื่อสร้างความรู้สึกว่าลูกค้าทุกคนเป็นคนสำคัญเสมอ การรู้จักกาละเทศะในการพูดจาเยินยอ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ร้านต้มแซ่บของเขาจึงขายดีมีลูกค้าเทียวมาอุดหนุนอยู่ค่อนข้างสม่ำเสมอทั้งขาประจำและขาจร แต่เขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่มประเภทอ่อนนุ่มนิ่ม เพราะต้องขายทั้งเหล้าเบียร์ช่วงหัวค่ำไปถึงหลังเที่ยงคืนด้วย การแสดงให้ใครๆ เห็นถึงความเป็นคนใจถึง ออกลูกนักเลงบ้างในบางโอกาสจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขามีดีพอ ทั้งเพื่อปรามลูกค้าที่มีอยู่หลายประเภท ร้อยพ่อพันแม่ว่าอย่าหวังว่าจะมากินแล้วชักดาบได้ง่ายๆ ที่สำคัญก็คือเป็นการปรามทั้งไอ้เฒ่าหัวงู หนุ่มโสดและไม่โสด รวมถึงวัยรุ่นขาโจ๋ที่พยายามเข้ามาเกาะแกะติดพันลูกสาววัยรุ่นของเขา ซิ่นไหมลูกสาวของตั้น เธอผู้เกิดมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมชุมชนคนจนเมืองที่ย้ายถิ่นมาขายแรงงานในหลากหลายอาชีพ ทั้งขับตุ๊กๆ แท็กซี่ แม่บ้านในห้างและคอนโดมิเนียม รถเข็นเร่ขายอาหารอีสาน ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ผลไม้ สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่โอบล้อมรอบกายเธอล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลในการบ่มหลอมพฤติกรรม อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และสภาวะแห่งจิตใจแบบคนจนเมืองในพื้นที่ที่มีสองวัฒนธรรมมาปะทะประสานกัน หนึ่งนั้นเป็นวัฒนธรรมแบบคนจนเมืองที่มีชาวบ้านพื้นเพเดิมเกิดและเติบโตใช้ชีวิตในย่านถิ่นแห่งนี้มาหลายชั่วคนแล้ว และอีกวิถีวัฒนธรรมหนึ่งก็คือวัฒนธรรมแบบคนจนจากชนบทที่อพยพเข้ามาแสวงโชคในเมืองใหญ่ เพื่อแสวงหาและสร้างโอกาสที่ดีกว่าในการเลือกอาชีพที่หลากหลายทำมาเลี้ยงชีพของตนเองและครอบครัว เธอจึงเติบโตมาบนพื้นที่สองวิถีวัฒนธรรมทั้งแบบคนจนเมืองและคนจนชนบทจากต่างจังหวัดพลัดถิ่น เธอจึงซึมซับเอาทั้งสองวิถีวัฒนธรรมนี้มาเท่ากับอายุของเธอ อยู่กับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันในซอยและที่โรงเรียนเธอพูดไทยสำเนียงกรุงเทพฯ ขณะเมื่ออยู่กับพ่อและเพื่อนบ้านที่มาจากอีสานด้วยกันเธอก็พูดสำเนียงไทยอีสาน ชีวิตของซิ่นไหมที่เกิดและเติบโตมาในซอยแห่งนี้จึงค่อนข้างแตกต่างจากคนอีสานรุ่นพ่อ น้า ป้า ลุง เธอดูกลมกลืนไม่แปลกแยกกับคนพื้นเพเดิมในซอยมากนัก แม้จะเป็นลูกสาวโทนที่ขาดแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นเด็กที่มีปัญหาแบบเด็กบ้านแตก เพราะเธอมีเพื่อนๆ ที่รู้จักเติบโต เล่น และไปเรียนด้วยกันที่อาศัยอยู่ในซอยแห่งนี้จำนวนมาก เธอจึงดูกลืนกลายเป็นเด็กชุมชนเมืองมากกว่าเด็กต่างจังหวัด โดยเฉพาะสำเนียงพูดไทยกรุงเทพฯ ที่ไม่มีเค้าเพี้ยนปนสำเนียงไทยอีสานเลย ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนของซอยนี้ รู้จักผู้คนมากมายตั้งแต่หัวซอยท้ายซอยช่วยชดเชยความขาดแคลนในความรู้สึกของเด็กที่ขาดความอบอุ่นแบบครอบครัวพ่อแม่ลูกได้ ความที่ซิ่นไหมเกิดและเติบโตในย่านชุมชนคนจนเมือง มีเพื่อนๆ ร่วมรุ่นที่เติบโตและวิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งแต่ละคนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ต่างจากเธอเท่าใดนัก เพราะต่างก็เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวคนจนเมืองเช่นกัน เด็กๆ หลายคนที่เธอรู้จักล้วนมีชีวิตที่ไม่ต่างจากเธอ บางคนขาดแม่ บางคนขาดพ่อ และที่ร้ายไปกว่านั้น บางคนขาดทั้งแม่และพ่อในคราวเดียวกันต้องอาศัยอยู่กับปู่ ตา ย่าหรือยาย และด้วยความขยันอดออมของตั้นผู้เป็นพ่อทำให้เธอได้รับการเลี้ยงดูไม่ถึงกับอัตคัดขัดสนมากนัก เธอจึงค่อนข้างมีพร้อมเกือบทุกอย่างเมื่อเทียบกับเด็กวัยรุ่นในซอยแห่งนี้ ที่สำคัญเธอเป็นหนึ่งในเด็กเพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เรียนถึงมัธยมปลาย ในขณะที่เด็กๆ ร่วมซอยหลายคนมีโอกาสเรียนแค่ประถมหก หรืออย่างดีก็จบแค่มัธยมต้น หลายๆ คนต้องเลิกเรียนกลางคัน ทั้งปัญหาความยากจนของครอบครัว ความเกกมะเหรกเกเร หรือกระทั่งต้องกลายเป็นคุณแม่วัยใสก็มีมากมาย เธอจึงแทบไม่มีปมด้อยและเขื่องใดๆ เร้นซุกอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ การปะทะคารมแบบระเบิดแตกราวพลุตะไลระหว่างพ่อลูกคู่นี้ แม้จะใช้คำพูดที่ออกจะรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหยาบคายนักเมื่อเทียบกับมาตรฐานของ “ฝีปาก” ผู้คนในละแวกซอยแห่งนี้ ชนวนเหตุของปัญหานี้ก็คือ ความที่ตั้นมีลูกสาวคนเดียว กำลังอยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ด้วยความที่ซิ่นไหมมีพร้อมทั้งหน้าตาที่สะสวยในระดับที่เป็นดาวของซอยและที่โรงเรียน ทำให้เขาทั้งห่วงและหวงลูกสาวคนนี้มาก ยิ่งเมื่อเธอเริ่มเข้าเรียนมัธยมปลาย ฮอร์โมนความเป็นวัยรุ่นเริ่มสูบฉีด ทำให้อุปนิสัยหลายๆ อย่างเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการแต่งเนื้อแต่งตัวที่ค่อนข้างไม่หวงเนื้อหวงตัว เสื้อเล็กคับติ้วอวดโนมเนื้อ กางเกงขาสั้นเสมอหู ทรงผมของเธอแอบซอยเล็กๆ สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้ตั้นผู้เป็นพ่อต้องออกปากเตือนดังๆ แบบให้ได้ยินตั้งแต่ปากซอยถึงก้นซอย ซิ่นไหมเองก็เถียงพ่อแบบไม่มีลดราวาศอกเช่นกัน และการปะทะคารมมักจบลงแบบไม่มีใครยอมลงให้ใคร บ้างก็ลูกสาวยอมเลิกราเงียบปากสงบคำก่อน และหลายๆ ครั้งผู้พ่อก็เลิกก่อนหันไปทำกับข้าวให้กับลูกค้าและบ่นพึมพำคนเดียวในขณะปรุงอาหาร ตั้นรู้สึกอึดอัดและอารมณ์เสียทุกครั้งที่เห็นลูกสาวแต่งตัวที่ออกจะล่อแหลมและดูเปรี้ยวจี๊ดเกินวัยไปหน่อย ซึ่งเขาจะค่อนข้างสบายใจและโล่งอกทุกครั้งเมื่อเห็นลูกสาวสวมใส่ชุดนักเรียน เพราะเป็นชุดเดียวที่ทำให้ลูกสาวดูน่ารักสมวัย ดูแล้วไม่ขัดตาขัดใจ นอกจากเรื่องแต่งตัวแล้ว อีกเรื่องที่มักเป็นชนวนเหตุให้เขากับลูกสาวต้องทะเลาะกัน นั่นคือการที่ซิ่นไหมติดมือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโน้ตบุ๊กอย่างหนัก เธอใช้หูฟังกับอุปกรณ์ไอทีทั้งสองชิ้นนี้ และอยู่กับมันได้ทุกเวลาทุกวินาที นิ้วมือป้ายปาดหน้าจอมือถืออย่างนั้นอยู่ทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นนอน ไปโรงเรียน และหลังเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน โดยเฉพาะตอนกลางคืนวันธรรมดาเธอจ้องอยู่หน้าโน้ตบุ๊กพร้อมเสียบหูฟังตาจ้องจอเขม็งแบบดึกดื่นเที่ยงคืน กระทั่งเขาต้องขึ้นไปเคาะห้องให้เธอหยุดเล่นและดับไฟนอนเสียจะได้ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตย์หากเธอไม่ได้ไปเรียนพิเศษกวดวิชาก็จะปิดประตูห้องนอนขลุกอยู่กับมือถือ คอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊กทั้งวันแม้กระทั่งขณะกำลังกินข้าว อีกสาเหตุหนึ่งที่กลายเป็นชนวนทะเลาะขึ้นเสียงของสองพ่อลูกทั้งเช้าและเย็น นั่นคือการที่ลูกสาวไม่ยอมให้เขาขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่โรงเรียนประจำและที่โรงเรียนกวดวิชาด้วย เธออ้างและย้ำเหตุผลอยู่เสมอๆ ทุกครั้งว่าเธอโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ และที่สำคัญคือเธอสงสารพ่อไม่อยากให้ลำบากไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะไหนพ่อต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าไปตลาดสดเพื่อจ่ายตลาดมาตุนไว้สำหรับร้าน แม้ร้านจะเปิดขายประมาณช่วงหลัง 4 โมงเย็นก็ตาม และในตอนเย็นซึ่งเป็นช่วงที่ขายดีเพราะมีลูกค้าเลิกงานมาซื้อกับข้าวกลับบ้าน และหลายๆ คนก็มานั่งดื่มกินหลังเลิกงาน เธอบอกไม่อยากให้พ่อเสียรายได้ในช่วงเวลาที่มีลูกค้ามาอุดหนุนร้านจำนวนมาก แม้ว่าตั้นผู้เป็นพ่อจะบอกว่าไม่เป็นไร ไม่หนักเหนื่อยอะไรเลย เขาต้องการไปส่งและรับเช่นเดิม แต่ลูกสาวของเขาก็ไม่ยอม สิ่งนี้ยิ่งทำให้ตั้นต้องทั้งทุกข์ร้อน หวาดหวั่น และระคนกังวลใจมาก โดยเฉพาะในช่วงเย็นๆ ขณะที่เขาทำกับข้าวให้ลูกค้า เขาแทบไม่มีสมาธิ ใจจดจ่อตาเฝ้าชำเลืองมองไปยังปากซอยอยู่ตลอดเวลา จนกว่าลูกสาววัยรุ่นจะหิ้วกระเป๋าเดินเข้าซอยมาเขาจึงจะคลายเครียดและวิตกกังวล กับซิ่นไหมที่ยิ่งโตก็ยิ่งสวย และยังชอบแต่งตัวแบบโชว์โนมเนื้อโดยไม่แคร์หรือสนใจสายตาของใครๆ ที่ชอบจ้องมองเธอ ตั้นยิ่งวิตกจริตหนักขึ้น ทำให้เขายิ่งเป็นพ่อที่เจ้าอารมณ์และปากคอเราะร้ายกว่าเดิม ขณะเดียวกันซิ่นไหมก็ยิ่งเอาแต่ใจตัวเองหนักขึ้นเช่นกัน และเธอเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดระคนรำคาญใส่ผู้เป็นพ่ออยู่เกือบตลอดเวลา เธอจะหงุดหงิดและโมโหฉุนเฉียวทุกครั้งที่เขาพยายามซักไซ้ หรือถามไถ่เรื่องการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ที่เธอทำในแต่ละวัน ตามประสาพ่อที่รักและเป็นห่วงลูก แต่เธอกลับมองว่าพ่อหาเรื่องจับผิด และไม่เข้าใจ ยิ่งกับพฤติกรรมที่ลูกสาวมักจะล็อกประตูห้องคลุกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนดึกดื่นค่อนคืนกระทั่งเขาต้องเคาะประตูร้องเตือนให้เลิกเล่นและปิดไฟนอนเสีย ซึ่งลูกสาวจะหงุดหงิดและหัวเสียมาก มีอยู่หลายๆ ครั้งที่เธอเปิดประตูพร้อมทั้งตะเบ็งเสียงลั่นใส่หน้าเขาว่า ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลยที่เดี๋ยวนี้นักเรียนทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์ เพราะต้องเข้าเว็บไซต์เพื่อค้นคว้าข้อมูลตามหัวเรื่องต่างๆ ในการทำการบ้าน และส่งการบ้านให้อาจารย์ทางอีเมลเท่านั้น ตั้นไม่ใช่พ่อประเภทแก่จนหลงยุคตามสมัยไม่ทัน นับตั้งแต่ลูกโตเป็นสาวเต็มตัว เขาจึงเข้าห้องลูกไม่ได้ แต่ก็พอจะรู้เรื่องราวต่างๆ อันเป็นพฤติกรรมร่วมของวัยรุ่นในยุคสมัยนี้ ทั้งดูจากทีวี และฟังจากนินทาสโมสรของเพื่อนบ้านร่วมซอยเดียวกันว่าเดี๋ยวนี้บรรดาวัยรุ่นมักใช้เวลาเกือบทั้งหมดในแต่ละวันหมกมุ่นอยู่กับการแชทพูดคุยผ่านทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และกระทั่ง line ต้องคอยอัพเดทไล่กดไลค์ให้กับบรรดาข้อความที่แสดงความเห็นผ่านทางช่องทางสื่อสังคมในโลกออนไลน์อยู่เสมอๆ ยิ่งได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ เต็มหูอยู่ทุกวันจากบรรดาลูกค้าทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานที่เข้ามานั่งแช่ดื่มเหล้าเบียร์ พร้อมทั้งชอบคุยโม้โอ้อวดรวมทั้งคุยข่มกันเรื่องการแชทหาหญิงสาวและนัดกันไปเที่ยว พร้อมทั้งลงเอยด้วยการคุยทับกันว่าใครเก่งกว่าในการพาหญิงสาวไปนอนด้วยได้มากกว่า เร็วกว่า หรือหน้าตาสวยกว่า เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ตั้นวิตกกังวลมากกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะครั้งหนึ่งเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว เขา... (มีต่อ) หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น มัธยมหกเทอมสอง เดือนสุดท้าย และพยาบาล สนอง เสาทอง เริ่มหัวข้อโดย: สนอง เสาทอง ที่ 16 สิงหาคม, 2556, 05:03:54 PM ๒.
“ตั้นซิเอาจังได๋...ข้อยตัดสินใจแล้ว” “...” “เฮาต้องไปจากบ้านให้ไวที่สุด...อยู่บ่ได้แล้ว” “...” “ไทบ้านเริ่มเว้ากันหลายแล้ว...อีกบ่จักเดือน...” “ซิไปอยู่ไสหือนภา” “กรุงเทพฯ...ไปอยู่กับพ่อใหญ่สีพี่ซายพ่อ เพิ่นขับตุ๊กๆ อยู่แถวอินทามระ เฮาเคยลงไปยามเพิ่นกับพ่อหลายเทื่อแล้ว...จำทางได้อยู่” ตั้นนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ติดกันหลายๆ ครั้งเมื่อประหวัดย้อนรำลึกความหลังของเขาและนิภาผู้เป็นเมียและแม่ของซิ่นไหมขณะที่ทั้งเขาและเธอกำลังเรียนอยู่ชั้นมอหกเทอมสอง เหลือแค่อีกไม่ถึงเดือนพวกเขาทั้งคู่ก็จะจบมัธยมปลายกันแล้ว ถ้าเขาและเธอจะไม่ประสบกับเหตุการณ์บางอย่างในคืนวันลอยกระทงที่อำเภออันเป็นจุดพลิกผันชีวิตทั้งคู่ให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเกิดแต่ความไม่เดียงสาต่อโลกของทั้งเขาและเธอ นภาจัดเป็นนักเรียนที่หน้าตาสวยมากๆ เมื่อเทียบกับเด็กสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน มีมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ ด้วยความที่เป็นคนยิ้มง่าย และยิ้มเก่ง ความประพฤตินั้นอยู่ในเกณฑ์เด็กเรียบร้อย แต่ไม่ถึงกับหงิมๆ มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แถมยังเรียนเก่ง แม้ไม่ถึงกับสอบได้ที่หนึ่งของห้อง แต่เกรดเฉลี่ยก็ไม่เคยได้อันดับที่ต่ำกว่าห้าอันดับแรกของห้อง เธอจึงเป็นดาวของโรงเรียน ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของร้านชำใหญ่ในหมู่บ้าน เธอจึงเป็นความคาดหวังของครอบครัว และใครๆ อีกหลายคน แม้กระทั่งครูที่โรงเรียน ส่วนตั้นนั้นเป็นลูกชายคนเล็กของผู้ใหญ่บ้านที่มีพี่ชายและพี่สาวอย่างละหนึ่ง เค้าหน้าของเขาคมคาย จัดเป็นคนรูปหล่อ และติดจะสำอางเกินมาตรฐานผู้ชายทั่วๆ ไป ชอบแต่งตัวนำสมัย และเป็นหัวโจกทั้งที่ในหมู่บ้าน และโรงเรียน ด้วยความเป็นลูกหล้าหัวแก้วหัวแหวนจึงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ นิสัยจึงค่อนข้างเกเร มีเพื่อนฝูงเยอะ และนั่นนำไปสู่การหัดดื่มและสูบบุหรี่ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมต้น นิสัยและความประพฤติของลูกชายคนเล็กของครอบครัวนั้นพ่อแม่เขาต่างรู้ดี แต่ทั้งสองท่านก็ไม่กล้าว่าอะไร แถมยังขู่สำทับบรรดาญาติๆ และเพื่อนบ้านอีกด้วยว่า หากใครนินทาใส่ร้ายลูกชายคนโปรดของท่าน ต้องเจอดีแน่ๆ ในคืนลอยกระทงตอนที่ยังเรียนอยู่เทอมหนึ่งมัธยมหกนั่นเอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ตั้นและนภาไม่มีวันลบเลือนไปจากหัวใจ และจะยังประทับอยู่ในห้วงลึกของจิตใจคอยติดตามหลอกหลอนพวกเขาทั้งคู่ไปตลอดชีวิต ในงานคืนนั้น ตั้นและผองเพื่อนวัยนมขึ้นพานที่ค่อนข้างเกเรพากันตั้งวงกินเหล้าอยู่ข้างๆ เวทีหมอลำซิ่ง อันเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขาและเพื่อนๆ คืนวันนั้นเขาเมามาก ยิ่งอยู่ใกล้เวทีหมอลำซิ่งที่แดนเซอร์แต่งตัววับๆ แวมๆ แทบปิดของสงวนไม่มิดทั้งบนและล่าง เนื้อหาของกลอนลำก็ออกสองแง่สามง่ามตลอดเวลาเพื่อเรียกพวงมาลัย และเงินทิปจากขี้เมาหน้าเวที ตั้นเองจึงรู้สึกคึกมากเป็นพิเศษด้วยวัยที่ฮอร์โมนเพศชายกำลังเจริญเติบโตเต็มที่ ในวูบเดียวแห่งความคึกคะนองและอ่อนไหวต่ออารมณ์ความต้องการทางเพศของเด็กหนุ่ม ตั้นวางแผนในสิ่งที่เสมือนถูกผลักขับออกมาจากห้วงแห่งดำกฤษณาที่เขาไม่อาจห้ามความรู้สึกในความต้องการเช่นนั้นได้ เขาจึงออกอุบายบอกนภาสาวคนรักว่าเขาเมามากๆ รู้สึก ปวดหัว และอยากกลับไปนอนบ้าน ด้วยหัวใจที่ซื่อใสอย่างเขลาเดียงสาของเด็กสาว นภาจึงยอมซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับบ้านกับตั้นที่อยู่ห่างอำเภอประมาณสองสามกิโลเมตรเท่านั้น โดยเป็นการกลับเพียงลำพังสองคนไม่มีเพื่อนๆ ขับตามกันมาเหมือนเช่นทุกครั้งที่พากันไปเที่ยวงานตอนกลางคืนนอกหมู่บ้าน คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือท้องฟ้า หากใครเดินผ่านไปทางห้องน้ำหลังโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ จะเห็นเงาสองร่างโยกไหวช้าบ้าง เร็วบ้าง แม้ตอนแรกจะยังดูเคอะๆ เขินอยู่บ้าง แต่ด้วยสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เพื่อสร้างทายาทของมนุษย์ ในที่สุดทุกอย่างก็สอดประสานเป็นจังหวะจะโคน และเลื่อนไหลไปตามครรลองแห่งตัณหาราคะกิเลสในห้วงของภวังค์ดำกฤษณาที่ร้อนเร่า ท่ามกลางแสงนวลเย็นของวันเพ็ญเดือนสิบสองคืนนั้น ๓. “พ่อ...ไหมสอบโควต้าพยาบาลได้” “อีหลีบ้อ มหา’ลัยใด๋หละไหม” “....อยู่กรุงเทพฯ นี่หละ” “ตั้งใจเอาคักๆ เด้อลูก อย่าให้คือพ่อกับแม่เด้อ อุตส่าห์เอา เรียนให้จบไปเป็นพยาบอกพยาบาล เห็ดงานกินเงินเดือนหลวง มันจังซิมั่นคง บ่ต้องลำบากคือพ่อ....” “....” ในวันที่ซิ่นไหมลูกสาวบอกว่าเธอสอบโควตาเข้าเรียนพยาบาลในมหาวิทยาลัยมีชื่อในกรุงเทพฯ ได้ ไม่ได้ทำให้ตั้นดีใจมากสักเท่าไรนัก ตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกวิตกจริตมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า คำว่ามัธยมหกเทอมสองซึ่งเป็นภาคเรียนสุดท้าย เดือนสุดท้าย และสอบโควตาพยาบาลได้ ยังประทับตรึงคอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งขณะนี้ซิ่นไหมลูกสาวคนเดียวกำลังอยู่ในช่วงวันเวลาและจังหวะชีวิตเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาและนภาแม่ของซิ่นไหม ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกข้างในจิตใจของเขายิ่งพลุ่งพล่าน หวาดหวั่น ระคนวิตกจริตมากขึ้นกว่าเดิม เขาให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย... นับตั้งแต่วันที่ซิ่นไหมบอกตั้นเรื่องที่สอบโควตาพยาบาลได้ ตั้นผู้พ่อบอกให้ซิ่นไหมเลิกไปเรียนกวดวิชา พร้อมทั้งบอกลูกสาวว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งและรับกลับบ้านทุกเช้าเย็นโดยไม่สนใจคำทักท้วงจากลูกสาว แม้เธอจะแสดงอาการหงุดหงิด รำคาญและโมโหฉุนเฉียวใส่เขาทุกเช้าและเย็นอย่างไร เขาก็ไม่สนใจ พร้อมทำใจในยามต้องปะทะคารมและอารมณ์กับลูกสาวทั้งเช้าตอนไปส่งและตอนเย็นรับกลับจากโรงเรียน คำว่ามัธยมหกเทอมสอง เดือนสุดท้าย และสอบโควตาพยาบาลได้ ลอยมาวนเวียนรบกวนอยู่ในหัวสมองของตั้นอยู่ตลอดเวลา ภาพความหลังเก่าๆ ระหว่างเขากับนภาลอยผุดพรายมาเต็มห้วงความนึกคิดคำนึงของเขาตลอดเวลาเหมือนเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาจึงทั้งเพิ่มความจู้จี้เพื่อพร่ำสอนซิ่นไหมลูกสาวแบบไม่สนใจว่าลูกสาวจะอยากฟังหรือไม่ ถึงเรื่องครั้งอดีตระหว่างเขากับนภาผู้เป็นแม่ของซิ่นไหมที่ได้เสียกันก่อนวัยอันควร และต้องเสียอนาคตเลิกเรียนกลางคันขณะที่เหลืออีกแค่ไม่ถึงเดือนก็จะจบมัธยมหกแล้ว ตอนนั้นนภาก็สอบโควตาพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในภาคอีสานได้ แต่เมื่อนภาเกิดท้อง 5 เดือนในขณะที่เรียนมัธยมหกเทอมสอง และเหลืออีกแค่ไม่ถึงเดือนทั้งคู่ก็จะจบการศึกษา ทำให้ทั้งตั้นและนภาจำต้องบากหน้าเข้าเมืองกรุงทั้งเพื่อหนีความอับอาย และเพื่อใช้ชีวิตคู่รอวันที่คลอดลูก ภาพความหลังเก่าๆ ขณะที่ตั้นต้องแบกรับภาระความเป็นสามีที่มีเมียท้องร่วม 6 เดือน มายึดอาชีพรับจ้างขับตุ๊กๆ ทั้งๆ ที่อายุเพียง 18 ปีเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องของครอบครัวที่มีอีกหนึ่งชีวิตซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว หลังจากคลอดซิ่นไหมได้ไม่ถึงครึ่งปี นภาตัดสินใจไปสมัครเป็นนักร้องในห้องอาหารแห่งหนึ่ง ตั้นพยายามทัดทานหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เธออ้างว่า เป็นงานสบายๆ มีเงินทิปจากเสี่ยจริงและเสี่ยปลอมหน้าโง่คืนหนึ่งได้ตั้งหลายพัน ดีกว่ามานั่งเลี้ยงลูกอ่อนเป็นเมียคนขับตุ๊กๆ ที่พอหักค่าเช่ารถแล้วแทบไม่เหลืออะไร หลังจากนั้นประมาณแปดเก้าเดือน นภาก็หายไป ทิ้งเขากับลูกสาววัยยังไม่ครบขวบไว้ในห้องเช่าย่านคนขับตุ๊กๆ ที่ไม่ไกลจากร้านต้มแซ่บของเขาขณะนี้เท่าใดนัก ตั้นไม่เคยลบเลือนภาพความหลังครั้งเก่าตั้งแต่วันแรกที่เขามาถึงซอยแห่งนี้พร้อมกับนภาได้เลย เขาพยายามที่จะไม่คิดถึงมัน แต่ภาพเหล่านั้นก็ลอยเข้ามาในห้วงคิดคำนึงของเขาอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวดและแร้นแค้นขัดสนและสถานภาพความเป็นพ่อหม้ายลูกติดขณะที่อายุยังไม่เต็ม 19 ปี เขาต้องดิ้นรนต่อสู้ปากกัดตีนถีบขับรถตะลอนๆ หาผู้โดยสารเพื่อเลี้ยงสองปากท้อง โดยฝากลูกสาวทิ้งไว้กับบรรดาแม่ค้าแผงลอยในซอยนั้นบ้าง เมียคนขับตุ๊กๆ ที่เป็นเครือญาติกันบ้าง และบ้างก็ไม่ใช่ญาติแต่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน แล้วแต่ว่าใครจะว่าง กระทั่งเมื่อลูกสาวเข้าเรียนมัธยมต้นเขาจึงตัดสินใจบอกขายที่นามรดกส่วนที่เป็นของเขาให้กับพี่ชายและพี่สาว เงินก้อนนั้นแม้ไม่มากนัก แต่ก็พอที่จะเช่าตึกแถวกลางซอยหนึ่งล็อก ด้านล่างเขาเปิดเป็นร้านขายอาหารอีสานไม่มีป้ายชื่อ ผู้คนแถวนั้นเป็นคนเรียกเองว่าร้านต้มแซ่บ เพราะเป็นเมนูขึ้นชื่อประจำร้าน ส่วนชั้นบนมีสองห้องเขาและลูกสาวใช้เป็นห้องนอนคนละห้อง จากนั้นมาชีวิตของเขาก็เริ่มดีขึ้น ด้วยหน้าตาและอัธยาศัยส่วนตัวที่ดี กล้าให้ติด กล้าให้เชื่อ พร้อมทั้งรสชาติอาหารที่ปรุงแบบไม่หวงเครื่อง จึงมีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรแวะเวียนมาอุดหนุน เขาอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนนัก แม้ไม่มีเงินเก็บมากมาย แต่ก็พอหมุนซื้อหมูเนื้อผักและเครื่องปรุงมาเข้าร้านได้ไม่ขาดเขิน ตั้งแต่วันที่ลูกสาวสอบโควตาเข้าเรียนพยาบาลได้ ตั้นเริ่มเล่าความหลังระหว่างเขากับนภาให้ซิ่นไหมลูกสาวฟังบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น แม้สิ่งนี้จะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทุกๆ ครั้งก็ตาม แต่เขาไม่รู้สึกเบื่อที่ต้องเล่าซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น ขณะที่ลูกสาวมักจะนั่งทำสีหน้าเรียบเฉยไม่เอ่ยปากอะไรออกมาขณะนั่งฟัง ทั้งไม่ซักไซ้รายละเอียดเรื่องราวระหว่างพ่อกับแม่ที่เธอไม่เคยพบหน้าเลยนับตั้งแต่เริ่มจำความได้ นอกจากดูอัลบัมภาพเก่าๆ ที่ช่วงหลังๆ พ่อของเธอมักเอาออกมาให้ดูบ่อยมาก แต่เธอมักจะแสดงอาการเฉยๆ เช่นเดิม เธอไม่รู้สึกผูกพันไม่ว่าในทางใดๆ กับหญิงสาวในรูปถ่ายที่พ่อบอกว่าเป็นแม่ของเธอ เพราะผู้หญิงคนนี้ทิ้งเธอไปตั้งอายุยังไม่ถึงขวบ เธอจึงจำหน้าไม่ได้ จึงไม่เหลือความทรงจำใดๆ ต่อผู้หญิงในภาพถ่ายใบนี้เลย สมัยเด็กๆ เธอจำได้แต่เพียงว่า เธอเรียกใครต่อใครว่าแม่ตั้งหลายคน พ่อของเธอสอนให้เรียกเช่นนั้น ทั้งเมียของคนขับตุ๊กๆ แท็กซี่ คนเช่าห้องใกล้ๆ กันที่พ่อมักนำเธอไปฝากให้ช่วยเลี้ยงขณะที่พ่อออกไปขับรถ ในวันที่ตั้นป่าวประกาศไปทั่วร้านว่า ซิ่นไหมลูกสาวของเขาสอบเข้าพยาบาลในมหาวิทยาลัยมีชื่อได้ ทำให้ชาวนินทาสโมสรประจำซอยสงบปากสงบคำไปได้ระยะหนึ่ง แต่ด้วยความที่ลูกสาวแต่งตัวเปรี้ยวจิ๊ดอยู่เช่นเดิม ทำให้เสียงนินทาลูกสาวของเขาในด้านลบเริ่มกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะกับคนหมู่บ้านเดียวกันจากอีสานที่เคยรับรู้ถึงประวัติของตั้นและนภาเมียผู้ทิ้งเขาและลูกสาวไปกับผู้ชายคนใหม่ที่มีอนาคตกว่า ที่มักค่อนขอดว่า ซิ่นไหมคงไม่ต่างจากนภาแม่ของเธอ สอบเข้าพยาบาลได้แต่เรียนไม่จบเพราะท้องโตเสียก่อน ยิ่งเด็กสาวที่หน้าตาดีหลายๆ คนในซอยแห่งนี้ ถูกนินทาว่าเป็นพวกคุณนายหงอนที่เสนอขายตัวผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพราะพวกเธอหลายๆ คนมักเสียตัวครั้งแรกกับผู้ชายที่รู้จักกันผ่านการแชททางอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็เริ่มไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ในเมื่อเสียตัวไปแบบเปล่าๆ โดยไม่ได้อะไรตอบแทน พวกเธอก็เลยตั้งก๊วนเสนอตัวขายบริการผ่านอินเทอร์เน็ตเสียเลย ได้เงินใช้อย่างอู้ฟู่ มือถือสมาร์ทโฟน ไอโฟน ไอแพด เสื้อผ้า กางเกง รองเท้า และสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ ของเด็กยุคไอทีที่ต้องการอวดเพื่อนๆ พร้อมทั้งสรุปฟันธงว่า ซิ่นไหมที่หน้าตาสะสวยมากๆ แถมยังแต่งตัวเปิดหน้าเว้าหลัง นุ่งกางเกงสั้นเสมอหู คงเสียตัวไปแล้วแน่ๆ และไม่แคล้วยึดอาชีพคุณนายหงอนเหมือนกับเด็กสาวๆ หลายคนในซอยนี้ ในช่วงเย็นวันนั้น หากใครที่เดินผ่านเข้าออกซอยแห่งนี้ จะได้ยินเสียงทะเลาะกันของสองพ่อลูกแห่งร้านต้มแซ่บยังคงดังเช่นปกติทุกวัน เป็นเสียงที่ชาวบ้านต่างชาชิน แต่หากใครที่มีความละเอียดอ่อนสักหน่อย คงจับเค้าน้ำเสียงตั้นผู้เป็นพ่อว่าโทนอารมณ์เปลี่ยนไปจากทุกๆ ครั้งที่ทะเลาะกัน วันนี้เสียงของเขาเจือด้วยความปลื้มปีติระคนมีความสุข มันเป็นเสียงด่าที่เคล้าด้วยเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี ตัดกับเสียงของลูกสาวที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิด โมโห ระคนกับความรำคาญใจเช่นเดิม เธอเดินกระแทกส้นตึงๆ ขึ้นไปบนชั้นสองของร้าน ปิดประตูห้องกระแทกเสียงดังโครมใหญ่ ขณะที่ตั้นเดินยิ้มกริ่มระรื่นฉาบเต็มใบหน้าอย่างที่เรียกว่ายิ้มเรี่ยราด สีหน้าแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขแบบเก็บไม่อยู่จนระบายความปลาบปลื้มออกนอกหน้า เขาเดินเข้าไปทักทายลูกค้าภายในร้านทุกโต๊ะอย่างอารมณ์ดี นี่ไม่ใช่อารมณ์ปกติยามเขาทำหน้าที่ดูแลลูกค้าเช่นทุกๆ วัน สีหน้าและแววตาของเขาอาบด้วยอารมณ์รื่นบานเปี่ยมสุขเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงขีดสุดของความสุขในระดับพิเศษเหนือกว่าความสุขทั่วๆ ไป เป็นความสุขที่ใครๆ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ยินดีเช่นนั้น มันถูกสื่อออกมาทั้งสีหน้าและแววตา เป็นรอยยิ้มที่เปิดเผยไร้จริตมายาของความเป็นรอยยิ้มพ่อค้าที่แกล้งยิ้มแบบฝืนๆ เพื่อทำตามหน้าที่เจ้าของร้านที่ดีพึงกระทำเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้าน... เหตุผลที่ทำให้ตั้นอารมณ์ดีเช่นนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน...เพราะวันนี้เป็นวันที่เขาขับมอเตอร์ไซค์ไปรับซิ่นไหมลูกสาวกลับจากโรงเรียนเป็นครั้งสุดท้าย...วันนี้ซิ่นไหมลูกสาวของเขาจบมัธยมหกแล้ว... จบบริบูรณ์ *********************************************************************** **เผื่อใครอยากอ่านเรื่องสั้น ***ร่างเค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริงไว้นานแล้ว แต่ไม่มีเวลาเกลาให้สั้นลงและเป็นเรื่องเป็นราวให้สมบูรณ์...ขอลงดุ้นๆ แบบนี้ก็แล้วกัน...ช่วงนี้งานรัดตัว สนอง เสาทอง 1 กรกฎาคม 56 |