หัวข้อ: ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (อุชเชนี) เริ่มหัวข้อโดย: share ที่ 31 มกราคม, 2559, 09:23:33 PM ระพินทรนาถ ฐากูร นิพนธ์ หิ่งห้อย ประคิณ ชุมสาย(อุชเชนี) ระวี ภาวิไล แปล .............. ความเพ้อฝันแห่งข้า คือ หิ่งห้อย จุดสว่างทรงชีวิต ระยิบในอนธการ เสียงดอกหญ้าริมทาง ปราศผู้ชำเลืองแล รำพึงเป็นห้วงความคำนึง จิตเป็นถ้ำมึนซึมและมืด ความฝันสร้างรังของมันขึ้นจากกระผีกเล็กน้อย อันหลุดร่วงจากขบวนแถวแห่งทิวากาล ฤดูใบไม้ผลิพัดกลิ่นไม้กระจาย มันมีอยู่มิใช่เพื่อเป็นผลในอนาคต แต่เพื่อความพลิกผวนแห่งครู่ยาม ความปราโมทย์สลัดตนหลุดจากห้วงหลับแห่งธรณี โลดลิ่วเข้าสู่ใบพฤกษ์อสงไขย แล้วเริงรำในอากาศเพียงชั่ววัน วาจาบางเบาแห่งข้า อาจจับระบำแผ่วๆ บนคลื่นแห่งเวลา เมื่องานของข้าหนักอึ้งด้วยความสำคัญ สูญสลายไปแล้ว แมลงใต้ดินแห่งจิต งอกปีกโปร่งบาง แล้วโผผินบินลา สู่ฟากฟ้ายามตะวันรอน ผีเสื้อไม่นับเดือน แต่สำนึกเพียงขณะ และก็มีเวลาพอ ความคิดของข้า ดั่งประกายเพลิง เหินลิ่วไปบนความไม่คาดฝัน พร้อมด้วยเสียงสรวลหนึ่งเดียว พฤกษาจ้องเงางามแห่งตนด้วยหลงรัก เงาซึ่งตนมิมีวันคว้าได้ไล่ทัน ขอให้รักของข้าห้อมล้อมเธอดั่งแสงอาทิตย์ และมอบอิสรภาพอันเจิดจ้าแด่เธอ วัน คือ ฟองหลากสี ลอยฟ่องบนพื้นผิวรัตติกาลลึกสุดหยั่ง บรรณาการแห่งข้า ขลาดเกินกว่าจะเรียกร้อง ให้เธอรำลึกถึง และเพราะเหตุนี้ เธอจึงอาจจะจดจำมันได้ ตัดชื่อข้าทิ้งเสียจากบรรณาการนั้น หากมันเป็นภาระหนักเกิน แต่โปรดเก็บรักษาบทเพลงของข้าไว้ ...................................... หิ่งห้อย ถือกำเนิดในจีนและญี่ปุ่น ซึ่งมีผู้มาขอให้ข้าพเจ้าจารึกข้อคิดให้เสมอ บนแผ่นพัดและผืนไหม ....................................... หิ่งห้อย ตีพิมพ์ครั้งแรก มกราคม ๒๕๑๗ ราคา ๓๒ บาท ๑๐๖ หน้า เป็นหนังสือสะสมอีกเล่มหนึ่ง ด้วยจิตคารวะ Peepoonsuk หัวข้อ: Re: ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (อุชเชนี) เริ่มหัวข้อโดย: share ที่ 31 มกราคม, 2559, 09:28:08 PM ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (สกุลเดิม กรองทอง; เกิด 6 กันยายน พ.ศ. 2462) มีนามปากกาว่า อุชเชนี และ นิด นรารักษ์ เป็นนักเขียนและนักแปลชาวไทย ประคิณเกิดเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2462 ณ กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อ ประคิณ กรองทอง หรือ เออเชนี (Eug Enie) นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ จบชั้นมัธยม 8 ทางภาษาฝรั่งเศส เมื่ออายุ 16 ปี และเรียนซ้ำมัธยม 8 ทางภาษาอังกฤษ เรียนมหาวิทยาลัยที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้เป็นที่หนึ่งของประเทศ จบปริญญาโทเกียรตินิยม ภาษาฝรั่งเศส พ.ศ. 2488 และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ปารีส 1 ปี เริ่มเขียนกลอนตั้งแต่เข้าเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีรุ่นพี่ชื่อ สุจิต ศิกษมัต ตั้งนามปากกาให้ว่า "อุชเชนี" ตามชื่อเดิม จนในปี พ.ศ. 2489 เธอเริ่มเขียนกลอนสั้น "มะลิแรกแย้ม" ลงพิมพ์ใน หนังสือบ้าน- กับโรงเรียน ในนาม "มลิสด" ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 เปลี่ยนแนวการแต่งจากรัก เป็นเรื่องของคนทุกข์ยากคือ "ใต้- โค้งสะพาน" ลงในหนังสือการเมือง จนในปี พ.ศ. 2499 มีการรวมพิมพ์เป็นเล่มระหว่าง อุชเชนี และนิด นรารักษ์ ชื่อ "ขอบฟ้าขลิบทอง" บอกเล่าเรื่องราวเพื่อเสริมสร้างการมองโลกในแง่ดี โดยเฉพาะเคียงความรู้สึกของชนชั้นกลาง ที่เห็นคุณค่าของชนชั้นที่ต่ำกว่า ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ระหว่างความรวยและความจน ต่อมาเธอกลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้สมรสกับ หม่อมหลวงจิตรสาน ชุมสาย ระหว่างศึกษาที่ฝรั่งเศส ได้อ่านหนังสือวรรณคดีชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศสจำนวนมาก ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิด ที่จะสร้างสรรค์งานที่มีค่าต่อสังคม เมื่อกลับมาเป็นอาจารย์มีโอกาสได้ติดตามนายแพทย์และบาทหลวง เข้าไปทำงานที่แหล่งเสื่อมโทรม และมีจิตสำนึกแบบชาวคาทอลิกที่เคร่งครัดว่าควรจะต้องทำอะไร เพื่อคนจน ทำให้เธอเขียนบทกวีที่สะท้อนภาพสังคมในเชิงมนุษยธรรม ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) พร้อมกับ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในปี พ.ศ. 2536 หนังสือเรื่อง "ขอบฟ้าขลิบทอง" เป็นหนังสือที่ได้รับการคัดเลือกว่าเป็นงานวรรณกรรมที่น่าอ่าน มีคุณค่าทางศิลปวรรณกรรม ครบถ้วนตามแนวทางของวรรณกรรมโลกหรือวรรณกรรมสากลมีเนื้อหาสาระ ที่แสดงออกถึงความริเริ่มสร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้อ่านมีทัศนะต่อชีวิตและต่อโลกกว้างขึ้น ได้รับความรู้ ความคิดอ่าน ความบันเทิงทางศิลปวัฒนธรรม ปรากฏแจ้งใน หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน จากวิกิพีเดีย หัวข้อ: Re: ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (อุชเชนี) เริ่มหัวข้อโดย: สิริวตี ที่ 31 มกราคม, 2559, 10:04:01 PM ขอบพระคุณสำหรับความรู้ค่ะ
บทแปลไพเราะมาก สิริวตี หัวข้อ: Re: ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (อุชเชนี) เริ่มหัวข้อโดย: share ที่ 27 กุมภาพันธ์, 2559, 01:21:57 PM ไม่ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้เรืองร่า
ทำมารยาสวมหน้ากากให้ยากเห็น เพียงยิ้มไว้ใสสะอาดปราศเล่ห์เร้น พึงบำเพ็ญยิ้มให้จากใจจริง ไม่เกลียดโกรธร้ายโลดโหดสาหัส โลภสารพัดอยากได้ไปทุกสิ่ง แม้นเมตตากรุณาไม่ทอดทิ้ง ใจจะนิ่งสงบล้ำฉายฉ่ำทรวง ถอดหน้ากาก, ไม่มีเรา, ไม่มีเขา มีแต่พระเป็นเจ้า ณ แดนสรวง พระสถิตทุกสถาน, กาลทั้งปวง จงรู้ห่วงรู้หาเอื้ออาทร รู้แบ่งปันสารพันแก่เพื่อนมนุษย์ จิตพิสุทธิ์ห่วงใยไม่ถอยถอน “รัก, รับใช้ผู้อื่นเถิด” พระบิดร จักทรงเห็นและอวยพร “ให้เสรี” อุชเชนี 23 กุมภาพันธ์ 2009 ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา No mask, no costume, no guile Only cheerful and sincere smile No hate, no cruelty, no greedy desire Only Mercy and Serenity shine No mask, no you, no me Only God, every time everywhere, be Share and Care, Our Father sees “Love and Serve others make thou free” Share 8 September 2008 หัวข้อ: Re: ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (อุชเชนี) เริ่มหัวข้อโดย: share ที่ 28 พฤษภาคม, 2559, 03:31:44 PM คารวาลัยแด่ อุชเชนี
อ่านบทสัมภาษณ์จากโลกหนังสือฉบับนี้ (ปีที่ 3 ฉบับที่6 มีนาคม 2523) ระลึกถึงกวีโรแมนติคท่านนี้ผู้กลับคืนสู่อ้อมแขนพระเจ้าไม่กี่เพลานี้เอง เคยเป็นอาจารย์ - ศิษย์ ณ สำนักเทวาลัย บทสัมภาษณ์พาดพิงถึงจิตร หลายตอนด้วยความทึ่ง โลกหนังสือ : เคยเป็นอาจารย์สอนจิตร ภูมิศักดิ์ ใช่ไหม ตามสายตาแล้วช่วงนั้นแกเป็นคนอย่างไร อุชเชนี : แกเป็นคน..เป็นคนน่าสงสารมาก ดิฉันว่าแกเป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นคนที่...เป็นนักค้นคว้า เป็นนักวิจัย เป็นคนที่ไม่ได้พอใจแต่เพียงเล็คเชอร์ของอาจารย์ แกจะไปหาอะไรต่ออะไรมาเพิ่มเติมของแก และตอนที่แกหามาเพิ่มเติม บางทีก็เกินไปกว่าที่อาจารย์หามา และอันนี้ดิฉันถือว่าอันตราย แกจะมีอะไรมายันว่า นี่ผมค้นมา พอเจอไอ้นี่ มันก็ยากที่ผู้ใหญ่จะรับหรือบางทีก็.... เราต้องเข้าใจว่าการเรียนวรรณคดี คำบางคำ มันเป็นเรื่ีองของการสันนิษฐานว่าไอ้นี่มาจากนั่น ไอ้นี่คงคือคำนั้นนั่นเอง อะไรอย่างนี้ เมื่อเราได้รับการสอนมาแบบนั้น เด็กๆทั่วไปก็คงเข่้าใจ และเวลาเราตอบข้อสอบ เราก็จะตอบไปตามนั้น ทีนี้ถ้าหากว่าเกิดมีคนไปค้นมาอย่างจริงจังและสามารถตอบได้ว่า คำนี้นั้นคืออะไร ก็เห็นว่าจะเสียหน้าที่ถูกแย้ง ...นี่ อันทำพิษ (อุชเชนีเปิดให้ดูบทกลอนที่ชื่อ "ในนิมิต") "กลีบกุหลาบฉาบชมพูพรูพรั่งฟ้า" ที่ดิฉันเรียกว่า "อันทำพิษ" เพราะว่าอันนี้เป็นอันที่คุณจิตร ภูมิศักดิ์ ขอไปลงในหนังสือมหาวิทยาลัยแล้วเธอถูกโยนบก ไอ้กลอนอันนี้ที่คุณจิตรขอก็ถูกเซ็นเซอร์ด้วย " เมื่อขอบฟ้าพร่าพราวหลาวทองทาบ พุ่งปลายปราบทะลวงถิ่นทมิฬถอย ความมืดแมกแหลกเรื้อไม่เหลือรอย หทัยพร้อยแสงชมพรากสว่างพราว" อู๊ (ขึ้นเสียงสูง) เขาเห็นชื่อดิฉัน เขาก็คงเซ็นเซอร์แล้ว ตอนนั้นเป็นอาจารย์ที่จุฬา เขาคงเห็นนามปากกาก็ไม่เอาแล้ว ไม่อ่านด้วยซ้ำว่าเราพูดอะไร ส่วนที่คุณจิตรแกเขียน ก็มีพูดถึงพระสงฆ์ คุณจิตรก็วิจารณ์พระสงฆ์ คนที่ไม่อ่านบทความทั้งหมด..ขีดเส้นใต้แดงๆตรงนั้่นแล้วเอาตรงนั้นไปประณาม ไม่ดูบ้างว่า ข้างบนเขาพูดมาอย่างไร คือคุณจิตร เป็นคนเขียนทุกอย่างๆมีเหตุมีผล ไม่ใช่นึกอยากเก็บพระมาด่า มันไม่ใช่อย่างนั้นร ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคารพ เขาเพียงแต่พูดเรื่องจริง ....คนเราลงว่าอยากจะหาเรื่อง มันก็ง่ายนิดเดียว หยิบตรงไหนขึ้นมานิด.. แล้วคนพวกนี้เรียกว่าอ่านหนังสือไม่เป็น ไม่ดูทั้งความ เอะอะก็มาจับนิดหนึ่งแล้วก็มาว่่า.... ป่านนี้ อาจารย์และศิษย์คู่นี้คงได้เจอกันแล้ว kulapha http://www.reurnthai.com/ |