หัวข้อ: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 28 เมษายน, 2559, 03:13:51 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑ นกแขกเต้าสองพี่น้อง โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** มีนิทานชาดกยกมาเล่า เรื่องของนกแขกเต้าในไพรสณฑ์ ตัวที่หนึ่งลมพัดจรดล สู่วังวนโจรไพรใจทมิฬ
** อีกตัวหนึ่งพึงตกหมู่ฤๅษี ถูกสั่งสอนให้ดีไม่ใจหิน แตกต่างกันที่คนดังยลยิน จะดีเลวเพราะเคยชินคบกันมา
** วันหนึ่งเจ้าผู้ครองพระนคร เสด็จจรประพาสไพรพฤกษา ทรงล่าเนื้อหลงไปในพนา จนเหนื่อยล้าเข้าพักใต้ร่มไทร
** ลมเอื่อยเอื่อยพัดมาพาให้ง่วง ใบไม้ร่วงดังเสียงกล่อมให้หลับใหล หลับตาลงจินตนาพาไปไกล ไม่เท่าใดเริ่มเลือนรางย่างนิทรา
** เป็นดินแดนที่นกอยู่กับโจร ใจหยาบโลนยิ่งนักร้ายหนักหนา เจ้านกน้อยเมื่อเห็นจอมพารา ด้วยสันดานนกป่าเหมือนโจรไพร
** จึงพูดว่าต้องฆ่าเอาทรัพย์สิน ตื่นบรรทมได้ยินไม่ไถล เสด็จหนีโดยพลันในทันใด ให้ห่างไกลนกพาลสันดานทราม
** ได้พบนกที่อยู่กับนักบวช อย่างเร็วรวดต้อนรับมิหยาบหยาม มีสัมมาคารวะแสนงดงาม พระราชาชื่นชมความเป็นนกดี
** นกทั้งสองพี่น้องท้องเดียวกัน แต่แตกต่างเพราะผูกพันคนละที่ นกที่อยู่กับโจรมีราคี นกที่อยู่กับฤๅษีมีน้ำใจ
** คบคนพาลที่สันดานเขาหยาบช้า แย่เสียกว่ายาเสพติดพิษยิ่งใหญ่ ยอมจะมีนิสัยชั่วตามเขาไป คบผู้ใดก็จะเป็นเช่นผู้นั้น
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 28 เมษายน, 2559, 03:35:13 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๒ ประโยชน์ของการคบมิตร โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** ในอดีตกาลที่ผ่านมา สมเด็จพระศาสดาเปล่งรัศมี ทรงปรารภเรื่องมิตรจิตอารี จึงทรงมีพระธรรมเทศนา
** พระราชอุทยานในกาลนั้น ต่างก็มีสุขสันต์ชื่นหรรษา โพธิสัตว์บังเกิดเป็นเทวดา ประจำกอหญ้าคาในอุทยาน
** ได้เป็นมิตรเทวราชผู้ใหญ่ยิ่ง ซึ่งพักพิงไม้มงคลมหาศาล เกิดอาเพสมีเหตุพิสดาร เสาปราสาทราชฐานไหวขึ้นมา
** ทรงรับสั่งให้ช่างรีบปรับเปลี่ยน พวกนายช่างต่างเพียรเที่ยวเสาะหา เมื่อพบไม้มงคลจึงหมายตา ขออนุญาตพระราชาเพื่อจัดการ
** ทรงอนุมัติตามขอไม่รอช้า เทวราชถึงคราน่าสงสาร กอดคอลูกร้องไห้แทบวายปราณ ใครหนอจะกล้าหาญมาช่วยเรา
** โพธิสัตว์บอกว่าข้าจะช่วย ไม่ต้องตัดไม้ด้วยอย่าโศกเศร้า ถึงเวลาฝ่ายช่างไม่ดูเบา จึงรีบเข้าไปตัดในทันที
** โพธิสัตว์แปลงร่างเป็นกิ้งก่า วิ่งนำหน้าเร็วไวอย่างด่วนจี๋ เข้าไปในต้นไม้โดยทันที เปรียบประหนึ่งว่ามีโพรงข้างใน
** ฝ่ายนายช่างต่างเห็นเหตุการณ์นั้น จึงพากันยกเลิกตัดต้นใหม่ เทวราชจึงอยู่สืบต่อไป กล่าวสรรญสริญด้วยใจที่ช่วยตน
** บุคคลที่เสมอกันหรือสูงกว่า ควรคบหาเอาไว้ไม่หมองหม่น แม้ต่ำกว่าก็คบได้ไม่อับจน มิตรทุกคนมีน้ำใจมากไมตรี
** คบมิตรดีล้วนมีแต่ความสุข ห่างจากทุกข์ใดใดไม่หมองศรี คบบัณฑิตปิดนรกชั่วชีวี หนุนให้มีความสุขทุกคืนวัน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 28 เมษายน, 2559, 09:42:16 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๓ นายสุมนะมาลาการ โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** ในสมัยพุทธกาลกล่าวขานไว้ เป็นตัวอย่างเพื่อให้ได้ศึกษา ขอเชิญชวนทุกท่านผู้ศรัทธา ล้อมวงมาฟังกันขอบรรยาย
** ณ กรุงราชคฤห์แคว้นมคธ ซึ่งงามงดโสภางค์อย่างเหลือหลาย มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย กระทาชายสุมนะมาลาการ
** ทำหน้าที่เป็นผู้จัดดอกไม้ เพื่อมอบให้พระเจ้าพิมพิสาร ทำอย่างนี้ติดต่อมาเนิ่นนาน พระราชทานเงินทองของตอบแทน
** จนวันหนึ่งได้พบพระพุทธองค์ พร้อมพระสงฆ์สาวกอีกเนืองแน่น เกิดศรัทธาเลื่อมใสไม่คลอนแคลน หมายวังแดนสวรรค์อันรื่นรมย์
** จึงถวายดอกไม้ให้เป็นทาน เริ่มด้วยการแบ่งส่วนอย่างเหมาะสม สองกำแรกโยนขึ้นไปตามลม น่าชื่นชมได้กลายเป็นเพดาน
** สถิตอยู่เบื้องบนพระศาสดา อีกสองกำต่อมาก็ประสาน อยู่เบื้องหลังดูแลงามตระการ ช่างเป็นเหตุพิสดารเกิดขึ้นมา
** ครั้งที่สามปรากฏอยู่เบื้องซ้าย ครั้งที่สี่ก็ย้ายมาเบื้องขวา มวลดอกไม้ลอยตามดูงามตา เหล่าประชาโห่ร้องก้องกังวาล
** สุมนะปลื้มปิติเป็นที่ยิ่ง ยอมทุกสิ่งแม้จะถูกประหาร เพราะไม่มีดอกไม้ให้ภูบาล หมือนดังวันวานและทุกวัน
** จึงเข้าเฝ้าสมเด็จเจ้าเหนือหัว ไม่เกรงกลัวแม้ภัยใหญ่มหันต์ รีบกราบทูลให้ทราบมิช้าพลัน บังคมคัลพร้อมรับกับอาญา
** พระราชาจึงตรัสว่า “สาธุ” จงบรรลุสิ่งพึงปรารถนา แล้วมอบเงินทองของนานา ทั้งช้างม้าวัวควายให้เขาไป
** การบูชาผู้ที่ควรบูชา ย่อมได้มาซึ่งสินทรัพย์นับไม่ไหว และย่อมเกิดความสุขเหนืออื่นใด ทำให้ใจหายขุ่นมัวชั่วนิรันดร์
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 28 เมษายน, 2559, 09:48:32 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๔ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** เมื่อสมัยพุทธกาลแสนนานนัก สองเพื่อนรักสาบานเป็นสหาย ให้สัญญารักกันจนวันตาย เกิดเบื่อหน่ายกามคุณวุ่นโลกีย์
** คนที่หนึ่งคือโมคคัลลานะ อุตสาหะดิ้นรนพ้นวิถี อีกคนหนึ่งสารีบุตรชายชาตรี อยากหลีกลี้หนีทุกข์ให้สุดไกล
** จับมือกันเป็นศิษย์สญชัยเฒ่า ตั้งใจเฝ้าศึกษาหาสิ่งใหม่ ได้เรียนจบหลักสูตรในเร็วไว เจ้าสำนักตั้งให้เป็นอาจารย์
** คอยสั่งสอนรุ่นน้องให้ท่องบ่น และฝึกฝนวิชาพาอาจหาญ ไม่สมปรารถนาที่ต้องการ อยากพบพานผู้รู้โมกขธรรม์
** จึงขอลาอาจารย์ออกเสาะหา ให้สัจจะวาจาไม่แปรผัน แม้นใครพบผู้รู้จะบอกกัน เป็นพันธะผูกพันตลอดไป
** ครั้นวันหนึ่งสารีบุตรสุดโชคดี พบสมณะผู้มีกายผ่องใส คือพระอัสสชิมิใช่ใคร เป็นหนึ่งในกลุ่มปัญจวัคคีย์
** จึงเข้าไปสนทนาวิสาสะ เพื่อศึกษาธรรมะพระชินศรี จึงนิมนต์ให้แสดงธรรมวาที จงเอื้อนเอ่ยวจีเป็นสำเนา
** พระอัสสชิบอกว่าตัวข้านี้ ผู้บวชใหม่ยังมีความโง่เขลา พระบรมศาสดาครูของเรา จะสั่งสอนให้เจ้าได้เข้าใจ
** สารีบุตรนมัสการกล่าวขานว่า ขอจงโปรดเมตตาจะได้ไหม บอกข้อธรรมเบื้องต้นเป็นสายใย พอทำให้ก่อเกิดภูมิปัญญา
** อัสสชิภิกษุพระผู้น้อย จึงเอ่ยถ้อยกล่าวไปไม่กังขา อันว่าธรรมเหล่าใดย่อมไหลมา มีตัณหาเป็นเหตุเกิดเภทภัย
** ผลของมันย่อมทำให้เกิดทุกข์ ไร้ความสุขโศกาอย่าสงสัย ละตัณหาสิ้นทุกข์สุขฤทัย มีโชคชัยไร้กิเลสเหตุเกิดพลัน
** สารีบุตรปล่อยใจใฝ่ธรรมะ จิตลดละอกุศลผลเกินฝัน จนที่สุดบรรลุโสดาบัน ในวันนั้นด้วยธรรมองค์สัมมา
** รีบกลับไปแจ้งข่าวแก่เพื่อนรัก แล้วชวนชักสญชัยเพื่อไปหา กราบบังคมสมเด็จพระศาสดา แต่สญชัยบอกว่าไม่เป็นไร
** สองสหายเข้าเฝ้าจอมโมลี ได้ขอบวชทันทีมิหวั่นไหว เพียรบำเพ็ญกัมมัฏฐานฝึกจิตใจ ครั้นที่สุดก็ได้บรรลุธรรม
** สารีบุตรนั้นเลิศทางปัญญา โมคคัลลาเลิศทางฤทธิ์จิตคมขำ เป็นอัครสาวกองค์ผู้นำ เพราะได้ทำคุณงามสร้างความดี
** ทั้งสองท่านประสบความสำเร็จ ประหนึ่งเพชรส่องประกายฉายแสงสี เป็นเพราะประเทศนั้นบังเกิดมี พุทธศาสน์เป็นที่หลอมศรัทธา
** อันการอยู่ในประเทศที่เหมาะสม เป็นอุดมมงคลดีหนักหนา ประดุจดังวิมานเทพเทวา มีความสุขทุกทิพาราตรีกาล
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 28 เมษายน, 2559, 10:01:21 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๕ ควาญช้างได้เป็นพระมหากษัตริย์ โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** อดีตกาลผ่านมาเวลาผ่าน แสนเนิ่นนานขอกล่าวเล่าความหลัง เรื่องเกิดที่พาราณสีนครัง นิทานังได้ฤกษ์เริ่มเบิกโรง
** ชายคนหนึ่งอาชีพตัดฟืนขาย สุขสบายแม้จะไม่โอ่โถง เป็นอาชีพสุจริตไม่คิดโกง รับรองโปร่งไม่มีที่นอกใน
** ณ วันหนึ่งจึงออกไปในป่า หวังจะตัดไม้มาไม่เหลวไหล นำไปขายทำกินในถิ่นไพร เพื่อจะได้ยังชีพเช่นทุกวัน
** ไม่เกียจคร้านซื่อตรงต่อหน้าที่ เป็นคนมีมานะและขยัน ตื่นแต่เช้าเข้าป่ามิช้าพลัน นิจนิรันดร์สุขใจไม่อาทร
** ตัดไม้เพลินเกินเวลากว่าจะกลับ ตะวันลับขอบฟ้าพาสังหรณ์ ถ้าประตูเมืองปิดคงร้าวรอน จึงรีบจรกลับมายังหน้าเมือง
** ถึงเวลานายประตูรู้หน้าที่ จึงรีบปิดทันทีใช่ทำเขื่อง ปฏิบัติตามกติกาอย่าขุ่นเคือง ไม่ใช่เรื่องเสแสร้งหรือแกล้งใคร
** คนตัดฟืนมาถึงจึงได้รู้ ว่าประตูเพิ่งปิดไปใหม่ใหม่ จึงจำเป็นจะต้องตัดสินใจ ไม่เป็นไรยอมนอนนอกกำแพง
** ครั้นใกล้รุ่งสะดุ้งเพราะเสียงไก่ เถียงกันสนั่นไหวอวดกำแหง อันสาเหตุทะเลาะกันรุนแรง ไก่ตัวบนผิดสำแดงถ่ายลงมา
** ให้บังเอิญถูกหัวไก่ตัวล่าง ความบาดหมางจึงวิ่งเข้ามาหา เกิดโอ้อวดเถียงกันจำนรรจา ต่างก็ว่าตัวเก่งไม่เกรงกัน
** ไก่ตัวล่างบอกว่าตัวข้านี้ มีของดีประเสริฐเกินเสกสรร อันเนื้อข้ามีคุณนับอนันต์ ใครได้กินมีเงินพันในทันใด
** ไก่ตัวบนบอกว่าข้าแน่กว่า เมื่อกินเนื้อของข้าจะสดใส เป็นพระมหากษัตริย์ในเร็วไว เป็นมเหสีหรือไม่เป็นขุนคลัง
** คนตัดฟืนได้ฟังไม่รอช้า รีบลุกมาพร้อมกับมีความหวัง เป็นราชาที่เข้มแข็งมีพลัง ได้ครอบครองเวียงวังอันโอฬาร
** จึงจับไก่ตัวบนเอามาฆ่า นำไปให้ภรรยาทำอาหาร เล่าเรื่องราวที่เกิดแก่นงคราญ เยาวมาลย์จะได้เป็นยอดนารี
** เมื่อเสร็จแล้วจึงบอกให้ทราบว่า อาบน้ำก่อนดีกว่าจะเป็นศรี จงได้นำอาหารเท่าที่มี ไปยังริมนทีชำระกาย
** ขณะนั้นเกิดมีพายุใหญ่ พัดอาหารลอยไปเกินคาดหมาย ลอยละล่องในธาราอย่างท้าทาย คนตัดฟืนเสียดายอดได้กิน
** เป็นเพราะวาสนาสร้างมาน้อย โชคจึงลอยล่องไปไกลสูญสิ้น บุญกาลก่อนไม่ได้สร้างจึงโบยบิน โอ้ชีวินไร้คุณค่าแทบบ้าตาย
** โชคชะตาวาสนาของควาญช้าง ที่ได้สร้างเอาไว้ไม่สูญหาย ขณะที่นำช้างเยื้องย่างกราย ไปริมฝั่งของสายมหานที
** มีถาดไก่ลอยมากลางสายน้ำ จึงได้จ้ำว่ายไปอย่างเร็วรี่ รีบคว้าเอาถาดไก่ไว้ทันที เป็นโชคดีได้อาหารกลับบ้านตน
** ฝ่ายดาบสอาจารย์ของควาญช้าง ญาณพิเศษนำทางไม่สับสน รู้เรื่องราวของไก่เป็นมงคล จรดลหาควาญช้างอย่างเร็วไว
** นายควาญช้างจึงรีบบอกภรรยา รีบนำอาหารมาแล้วมอบให้ ฝ่ายดาบสจึงรับอาหารไป จัดการอย่างรู้ใจให้ทุกคน
** แบ่งสันในให้แก่นายควาญช้าง บุญบารมีที่สร้างทางกุศล จะได้เป็นราชาของหมู่ชน ภายใต้นพปฏลเศวตทอง
** ฝ่ายภรรยาดาบสให้สันนอก เพื่อจะบอกชาตินี้ไม่มีหมอง ได้เป็นมเหสีผู้ครอบครอง ราชธานีดังปองคู่ราชา
** ส่วนดาบสเลือกเนื้อติดกระดูก จะพันผูกรับใช้เสน่หา เป็นเสนาบดีมีศักดา คู่พระทัยกษัตราครองธานี
** อีกสามวันข้าศึกมาประชิด รอบทุกทิศของกรุงพาราณสี จอมกษัตริย์ผู้ซึ่งครองบุรี จึงได้มีดำรัสสั่งลงมา
** ให้ควาญช้างแต่งตัวเป็นกษัตริย์ อนุมัติให้ออกศึกคึกหนักหนา พระองค์เองเป็นทหารออกตรวจตรา โดนธนูยิงมาถึงสิ้นใจ
** ควาญช้างเปลี่ยนอุบายการต่อสู้ เอาชนะศัตรูให้จงได้ นำทรัพย์สินเงินทองจากคลังใน จะมอบให้แก่ผู้ออกสู้รบ
** ในที่สุดก็ได้ชัยชนะ แต่นี้จะเกิดมีความสงบ การกระทำแบบนี้เพิ่งเคยพบ นายควาญช้างสยบพวกมาเยือน
** ชาวเมืองยกให้เป็นวีรบุรุษ ยอดมนุษย์เก่งกล้าหาใครเหมือน จึงสถาปนาไม่แชเชือน เป็นกษัตริย์เชือดเฉือนด้วยศักดา
** ด้วยผลบุญทำไว้ในปางก่อน จึงสะท้อนให้มีวาสนา ดำรงศักดิ์ยิ่งใหญ่ในพารา ทั้งสามีภรรยาและอาจารย์
** รีบสร้างบุญกันไว้ในชาตินี้ จะได้มีต้นทุนในสงสาร เกิดชาติใดไม่ทุกข์ทรมาน สั่งสมบุญบันดาลให้สุขใจ
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 28 เมษายน, 2559, 10:07:41 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๖ โกสิยะผู้ตระหนี่ โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** จะขอเล่านิทานในกาลก่อน เพื่อสะท้อนการทำดีที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมละความชั่วอย่าผูกพัน ใช่จะเพ้อจำนรรจ์เพียงลมลม
** ในกาลนั้นที่กรุงพาราณสี ท่านเศรษฐียิ่งใหญ่ไม่ขื่นขม มีทรัพย์สินเงินทองเอกอุดม น่าชื่นชมจิตใจใสละมุน
** ตั้งโรงทานหกแห่งเพื่อช่วยเหลือ มีจิตใจเอื้อเฟื้อช่วยเกื้อหนุน แก่คนจนยากไร้ได้พึ่งบุญ ต่อชีวิตเป็นทุนก้าวต่อไป
** สี่โรงทานตั้งอยู่ในสี่ทิศ ใกล้เคียงชิดกับสี่ประตูใหญ่ มีผู้คนมากมายทั้งใกล้ไกล พวกเขาได้อาศัยในโรงทาน
** อีกแห่งหนึ่งกลางเมืองดูเรืองรุ่ง คนยากไร้ต่างมุ่งรับอาหาร อีกหนึ่งแห่งตั้งอยู่หน้าเรือนชาน พร้อมให้บริการทุกทุกวัน
** การสร้างบุญทำให้จิตผ่องใส เมื่อตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ ท่านเศรษฐีก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อตายพลันไปเกิดเป็นพระอินทร์
** ฝ่ายลูกชายก็ได้สละทรัพย์ เช่นเดียวกับเศรษฐีเป็นนิจสิน ทำจิตใจให้ผ่องใสไร้ราคิน ละชีวินไปเกิดเป็นพระจันทร์
** ส่วนหลานชายได้รับมรดก ก็หยิบยกปฏิปทามาสานฝัน ดำเนินการทุกสิ่งให้เหมือนกัน ไปตามที่ปู่นั้นท่านทำมา
** ครั้นสุดท้ายถึงกาลสิ้นชีวิต ไปสถิตเทวโลกโชคหนักหนา ชื่อพระอาทิตย์ผู้ทรงมหิทธา เพราะบุญญาที่สร้างอย่างถาวร
** อีกหลายรุ่นผ่านไปไม่เปลี่ยนผัน คงยึดมั่นในทานไม่ถ่ายถอน จนกระทั่งคนสุดท้ายก็คลายคลอน ยกเลิกสิ่งเก่าก่อนแม้โรงทาน
** โกสิยะเป็นคนที่ตระหนี่ ไม่เคยมีเมตตาและสงสาร คิดว่าคนรุ่นเก่าโง่ดักดาน การให้ทานสิ้นเปลืองเลิกเสียที
** การเป็นอยู่ของเขาช่างแสนเข็ญ ทำตัวเป็นยากไร้ให้เสื่อมศรี ใช้เสื้อผ้าเก่าเก่าคลุมกายี การเป็นอยู่เหลือที่น่าเวทนา
** บริโภคปลายข้าวเช้าเที่ยงค่ำ ชีวิตแสนชอกช้ำเพราะบาปหนา เนื่องจากความตระหนี่เกินอัตรา จึงได้พาให้คิดผิดทำนอง
** เช้าวันหนึ่งโกสิยะจะเข้าเฝ้า เหนือหัวเจ้าพาราณสีเพื่อสนอง นโยบายต่าง ๆ ดังใจปอง เพื่อรับใช้ผู้ครองราชธานี
๑๓๔. ** จึงแวะหาเศรษฐีเพื่อนผู้น้อง ซึ่งเป็นคู่ปรองดองไม่หน่ายหนี เขาทานข้าวปายาสอยู่พอดี ได้ชวนชี้โกสิยะทานด้วยกัน
** ความอยากทานบังเกิดอย่างจับจิต แต่นิ่งคิดเกรงกลัวจนตัวสั่น เราจะต้องตอบแทนเขาสักวัน ความเสียดายเกินขั้นจะพรรณนา
** กลับถึงบ้านความอยากก็มากขึ้น ต้องนั่งกลืนน้ำลายให้โหยหา กลัวจะเสียทรัพย์สินจึงรอรา จนกายาผ่ายผอมสุดตรอมตรม
** อาการไข้ได้ป่วยก็กำเริบ เพราะอยากเปิบข้าวปายาสไม่สุขสม จะนั่งนอนโศกเศร้าเร้าระทม ภรรยาคู่ภิรมย์คอยปลอบใจ
** สอบถามว่าต้องการสิ่งใดหรือ จะปรนปรือจัดให้อย่างยิ่งใหญ่ อันทรัพย์สินเรามีออกถมไป ถ้าอยากได้จะรีบจัดหามา
** โกสิยะจึงแจ้งให้เมียรู้ เรื่องที่ข้าคิดอยู่และปรารถนา อยากกินข้าวปายาสเพียงสักครา ภรรยารีบตอบว่าตกลง
** ถ้าอย่างนั้นจะสั่งคนรับใช้ ให้เตรียมของเอาไว้ไม่ลืมหลง พรุ่งนี้จะได้หุงอย่างมั่นคง เจตน์จำนงให้ทุกคนได้รับทาน
** ท่านเศรษฐีบอกว่าไม่จำเป็น มันสิ้นเปลืองเห็นเห็นจะร้าวฉาน มีแต่เราไม่เปลืองงบประมาณ คนในบ้านเขาคงไม่อดตาย
** ภรรยากล่าวว่าถ้าอย่างนั้น ท่านกับฉันสองคนคงสมหมาย หุงข้าวปายาสกินอย่างสบาย ไม่มีใครวุ่นวายกับสองเรา
** โกสิยะว่าเจ้าไม่อยากกิน ทำมากก็สูญสิ้นเสียเปล่าเปล่า ข้าคนเดียวไม่มากพอทำเนา ขอให้เจ้าจงได้รีบจัดการ
** เราจะไปหุงกันที่ในป่า จะไม่มีใครมาช่วยล้างผลาญ ทำให้เราเจ็บใจและร้าวราน ข้าจะได้รับประทานอย่างสุขใจ
** ร้อนถึงบรรพบุรุษในชั้นสรวง เขาทั้งปวงปรึกษากันจะแก้ไข ความตระหนี่ถี่เหนียวโดยเร็วไว มิฉะนั้นสิ้นใจลงอบาย
** เนรมิตกายามาเป็นพราหมณ์ ที่อุตส่าห์พยายามด้วยกระหาย หวังส่วนแบ่งข้าวปายาสเพื่อเลี้ยงกาย จึงทุรนทุรายมาขอกิน
** โกสิยะเสียดายไม่อยากให้ ปฏิเสธไม่ได้ดังถวิล จำต้องยอมแบ่งให้ใจรวยริน ต้องสูญสิ้นบางส่วนชวนเสียดาย
** แต่น่าแปลกประหลาดคาดไม่ถึง อาหารพึงไม่พร่องหรือสลาย โกสิยะรู้สึกหิวอย่างมากมาย จึงมุ่งหมายรีบตักอาหารกิน
** ปัญจะสิขะเทพผู้เป็นพ่อ ไม่รีรอแปลงร่างอย่างใจหิน เป็นสุนัขฉี่ใส่ในหม้อดิน โกสิยะเลยสิ้นโอกาสทาน
** จึงลุกขึ้นวิ่งไล่เจ้าสุนัข เพราะความแค้นสุดจักจะสมาน หวังจะตีให้เข็ดไปอีกนาน สุนัขพาลกลายร่างเป็นพาชี
** แล้วกลับมาแสดงความดุร้าย มุงหน้าหมายมาไล่ท่านเศรษฐี ให้หันหลังวิ่งไปในทันที เพราะกลัวมีอันตรายมาใกล้ตน
** พราหมณ์ทั้งห้าแสดงตัวตามฐานะ กลับกลายเป็นเทวะใจกุศล สั่งสอนให้ก้าวพ้นความอับจน เป็นมงคลทำให้สุขสำราญ
** พรรณนาถึงผลความตระหนี่ ทำให้มีแต่ทุกข์ในสงสาร จงทำดีเลื่อมใสในผลทาน เทวโลกสถานอันพึงไป
** โกสิยะเข้าใจในคำสอน กราบขอพรเริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างโรงทานสานฝันอันเกรียงไกร ตามบรรพบุรุษน้อยใหญ่ได้ทำมา
** เมื่อละโลกไปเกิดในวิมาน สุขสราญรมย์รื่นชื่นหรรษา การตั้งตนไว้ชอบย่อมนำพา ให้ชีวิตสูงค่าสุขสบาย
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 28 เมษายน, 2559, 10:19:06 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๗ บุรุษง่อยนักดีดก้อนหิน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** อดีตกาลผ่านมาช้านานแล้ว ณ เมืองแก้วชื่อว่าพาราณสี บุรุษง่อยคนเก่งและแสนดี เลี้ยงชีวีด้วยศิลป์ดีดหินกิน
** ทุกทุกเช้าพวกเด็กลูกชาวบ้าน ได้พาไปสร้างงานดีดก้อนหิน ให้กระทบใบไม้งามโสภิณ จะเกิดภาพตามจินตนาพลัน
** เป็นวัวควายช้างม้านานาสัตว์ สาระพัดรูปร่างช่างสร้างสรรค์ คนที่ผ่านไปมาชื่นชมกัน มอบเงินเป็นรางวัลกำนัลมา
** ครั้นวันหนึ่งกษัตริย์ทรงประพาส พร้อมอำมาตย์น้อยใหญ่ใจปรารถนา จะออกไปล่าสัตว์ในพนา เมื่อผ่านมาได้เห็นเป็นสำคัญ
** เห็นรูปสัตว์ต่างต่างช่างงามนัก เป็นประจักษ์ศิลปะหฤหรรษ์ เมื่อได้พบชายง่อยค่อยจำนรรจ์ จึงเสกสรรค์ตรัสถามเนื้อความไป
** ปุโรหิตของเราเขาพูดมาก เราจึงอยากให้ช่วยจะได้ไหม บุรุษง่อยรีบตอบในทันใด คงจะพอช่วยได้นะพระองค์
** พระราชาจึงพาคนง่อยเปลี้ย ไม่ให้เสียเวลาตามประสงค์ ทรงยกเลิกเที่ยวป่าดังจำนง จึงมุ่งตรงกลับไปยังในวัง
** พระองค์ทรงรับสั่งให้เจาะม่าน เพื่อให้ชายพิการอยู่ข้างหลัง มีผ้าม่านเป็นส่วนที่ปิดบัง จัดที่นั่งปุโรหิตตรงพอดี
** ถึงเวลาราชาประทับนั่ง ที่เหนือราชบัลลังก์คชสีห์ ปุโรหิตอำมาตย์มุขมนตรี ต่างกล่าวราชสดุดีองค์ราชัน
** องค์ราชาเริ่มมีพระดำรัส พระทรงตรัสราชกิจจิตสุขสันต์ ปุโรหิตพูดมากเหมือนทุกวัน ทุกคนต่างพากันเอือมระอา
** กล่าวฝ่ายชายพิการผู้มีศิลป์ ในการดีดก้อนหินชื่นหรรษา เมื่อได้รับมูลแพะจากราชา นั่งหลังม่านบังตาดำเนินการ
** ครั้นท่านปุโรหิตอ้าปากพูด จึงดีดคูถของแพะดังกล่าวขาน เป็นศิลปะที่มีความชำนาญ เข้าในปากของท่านโดยทันที
** ปุโรหิตรู้ตัวนึกอับอาย ไม่กล้าคายออกมาหน้าเช่นผี จึงต้องกลืนมูลแพะแต่โดยดี จนอิ่มท้องเต็มที่สุดพรรณนา
** พระราชาตรัสว่าปุโรหิต ท่านจงคิดให้ดีด้วยเถิดหนา เนื่องจากท่านได้เอ่ยเผยวาจา จนเกินกว่าพอดีที่ควรเป็น
** ในท้องท่านจึงเต็มด้วยมูลแพะ ขอชี้แนะอย่าทนความทุกข์เข็ญ จงรีบทำในสิ่งที่จำเป็น คือดื่มน้ำเย็นเย็นสำรอกมัน
** นับแต่นั้นปุโรหิตสงบเสงี่ยม รู้จักเจียมกายใจไม่หุนหัน จะพูดเฉพาะเรื่องที่สำคัญ ไม่พูดมากเหมือนวันที่ผ่านมา
** พระราชาขอบใจชายพิการ พระราชทานรางวัลมากนักหนา มอบหมู่บ้านสี่ตำบลไม่รอรา ทั้งเงินทองของมีค่านับอนันต์
** อันความรู้รู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเห็นเป็นมิ่งขวัญ ศิลปะเป็นมงคลนิจนิรัดร์ นานกัปกัลป์มีคุณค่ากว่าสิ่งใด
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 29 เมษายน, 2559, 11:01:43 AM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๘ นิทานเรื่องเสนกะบัณฑิต โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** ขอย้อนกล่าวถึงพระโพธิสัตว์ ครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ใหญ่ ชื่อว่า “เสนกะ” ผ่องอำไพ เรียนรู้จากแดนไกลตักสิลา
** รับราชการที่กรุงพาราณสี ทำหน้าที่อนุศาสน์ไขปัญหา ได้ขยายอรรถธรรมแก่ราชา บรรยายธรรมแก่บรรดาเหล่าปวงชน
** มีพราหมณ์แก่ขอทานเลี้ยงชีวิต หากินสุจริตไม่หมองหม่น เดินขอไปในย่านของผู้คน ได้เงินมาเหลือล้นเกินรำพัน
** จึงหวนกลับเคหาเคยอาศัย แสนอาลัยหนักหนาพาไหวหวั่น ต้องจากไปขอทานเสียนานครัน เพื่อครอบครัวสุขสันต์ทุกวันวาร
** ระหว่างทางแวะเข้าใต้ต้นไม้ เพื่อจะได้หยุดพักทานอาหาร หยิบข้าวตังออกมารับประทาน แล้วลนลานรีบออกไปล้างมือ
** จนทำให้เขาลืมปิดปากถุง จิตใจมุ่งติดถึงบ้านประสาซื่อ งูพิษร้ายได้กลิ่นหอมกระพือ เป้าหมายคือถุงผ้าของขอทาน
** ฝ่ายพราหมณ์แก่กลับมาไม่ได้คิด จึงรีบปิดถุงผ้ากลับถิ่นฐาน ทันใดนั้นมีเสียงก้องกังวาน เพื่อบอกให้ขอทานระวังตัว
** ถ้าวันนี้หยุดพักระหว่างทาง ชีพจะต้องวายวางใช่พูดมั่ว ถ้าถึงบ้านเมียตายอย่างน่ากลัว ดีหรือชั่วสร้างไว้ได้แน่นอน
** พราหมณ์แก่ได้ทราบเรื่องเดินร้องไห้ มีใครบ้างช่วยได้ช่วยถ่ายถอน ให้พ้นจากทุกข์ภัยใจสั่นคลอน แสนอาวรณ์ต่อชีวิตอนิจจัง
** จนกระทั่งถึงเมืองพาราณสี เห็นผู้คนมากมีต่างมุ่งหวัง ได้มุ่งหน้าไปสู่พระราชวัง เพื่อรับฟังธรรมบรรยายให้สุขใจ
** จึงเดินตามฝูงชนไปห่างห่าง จะฟังธรรมนำทางจิตผ่องใส เพื่อบรรเทาความเศร้าที่ภายใน คิดหาใครมาช่วยคงไม่มี
** เสนกะมองเห็นขอทานแก่ ก็รู้แน่มีทุกข์ไม่สุขี จึงรีบถามเรื่องราวในทันที รู้ได้ดีมีเหตุให้ร้อนรน
** เริ่มสอบถามเรื่องราวสาวสาเหตุ เพื่อสังเกตพื้นฐานไม่สับสน ที่ในถุงมีข้าวตังใส่ปะปน เป็นเสบียงยามจนต้องทนเอา
** ขอทานเฒ่ารีบตอบว่าถูกต้อง เป็นครรลองยามเดินทางที่เงียบเหงา ทานอาหารหรือไม่จงบอกเรา ที่ในกลางลำเนาตอนเดินทาง
** จึงบอกว่าได้ทานที่กลางป่า ใต้พฤกษาต้นใหญ่ยามฟ้าสาง ก่อนดื่มน้ำล้างมือให้สะอาง ปิดปากถุงที่เปิดกว้างหรือไม่เอย
** จึงตอบว่าข้านี้ไม่ได้ปิด เสนกะครุ่นคิดแล้วเฉลย อสรพิษได้กลิ่นลมรำเพย หอมจังเลยเลื้อยเข้าถุงข้าวตัง
** ถ้าหากท่านกินอาหารในเย็นนี้ จะต้องสิ้นชีวีตามคาดหวัง เป็นเพราะถูกงูพิษกัดอย่างจัง แต่ถ้าถึงเคหังจะรอดตาย
** ภรรยาจะเป็นผู้ถูกงูกัด เพราะย่อมจัดของในถุงดังมุ่งหมาย ให้ขอทานวางถุงบนพื้นทราย ใช้วิธิง่ายง่ายคอยไล่งู
** ใช้ไม้เคาะเบาเบาที่ถุงผ้า มันจึงเลื้อยออกมาส่งเสียงขู่ แผ่พังพานแล้วร้องดัง ฟู ฟู บอกให้รู้เข้ามาข้ากัดจริง
** เมื่อจัดการเรื่องงูสำเร็จแล้ว ใจขอทานผ่องแผ้วเป็นสุขยิ่ง เกิดศรัทธาเสนกะไม่ประวิง มอบทุกสิ่งที่ได้มาบูชาคุณ
** พร้อมทั้งเงินเจ็ดร้อยกหาปณะ เสนกะไม่ขอรับอย่าเคืองขุ่น เพิ่มให้อีกสามร้อยเพื่อทำบุญ ครบหนึ่งพันเป็นทุนให้ขอทาน
** แล้วถามว่ามีใครให้ไปขอ ไม่รีรอรีบตอบเพื่อไขขาน ภรรยาโฉมงามแม่นงคราญ โฉมสราญให้ไปขอพอมีกิน
** เสนกะรู้ว่าเธอยังสาว จึงได้บอกเรื่องราวดังถวิล จงเก็บเงินนอกบ้านเป็นอาจิณ อย่าปล่อยให้ยุพินได้รับรู้
** มิฉะนั้นคู่นอนของโฉมศรี จะเอาเงินที่มีไม่อดสู พราหมณ์ขอทานเชื่อฟังคำของครู เก็บเงินแล้วเดินสู่ประตูเรือน
** ตะโกนเรียกเมียสาวเจ้าอยู่ไหน มัวแต่ทำอะไรใยเชือดเฉือน ไม่สนใจผัวเจ้าเฝ้าแช เชือน ที่ผัวกลับมาเหมือนไม่สนใจ
** ฝ่ายภรรยาเริงร่าอยู่กับชู้ ครั้นพอรู้ผัวมาพาวุ่นใหญ่ จึงบอกชู้จงรีบไปปิดไฟ แล้วจงรีบหนีไปค่อยย้อนมา
** รีบออกมารับหน้าสามีไว้ แล้วถามไถ่เรื่องเงินที่ไปหา เงินอยู่ไหนเร็วไวเผยวาจา จงรีบเอาเงินมาอย่ารอรี
** เฒ่าขอทานกล่าวว่าอยู่ข้างนอก เอ่ยปากบอกถึงที่ฝังอย่างถ้วนถี่ ฝ่ายชายชู้รีบไปในทันที ขุดเอาเงินที่มีเป็นของตน
** เช้าขึ้นมาจึงรู้ว่าเงินหาย แสนเสียดายหนักหนาพาหมองหม่น จึงไปพบเสนกะในบัดดล เพื่อจะแจ้งยุบลเรื่องเงินทอง
** เสนกะครั้นรู้เรื่องทั้งหมด ให้รู้สึกรันทดและหม่นหมอง จึงได้แจ้งอุบายให้ไปลอง ตามทำนองคนดีมีปัญญา
** ตามเนื้อหาของอุบายให้เริ่มต้น เชิญผู้คนทั้งสองฝ่ายให้มาหา เพื่อกินเลี้ยงทุกวันหนึ่งสัปดาห์ โดยต้องลดอัตราลงมาพลัน
** ฝ่ายละหนึ่งพึงลดงดเชิญต่อ แล้วจงรอครบเวลาใครขยัน จะพึงมีหนึ่งคนมาทุกวัน จงพาคนผู้นั้นมาหาเรา
** ครั้นได้ตัวรีบไปหาเสนกะ เพื่อชำระความผิดคิดร้ายเขา ขโมยเงินขอทานพาลมัวเมา จงนำเอาเงินมาคืนให้ครบพัน
** เสนกะลงโทษกับชายชู้ ตามกระทู้กระบวนความอย่างกวดขัน คนทำดีได้ดีเป็นรางวัล คนทำชั่วโทษทัณฑ์ติดตามมา
** คนอ่านมาก ฟังมาก ย่อมรู้มาก เป็นผลจากการตั้งใจใฝ่ศึกษา คือพื้นฐานอันประเสริฐเกิดปัญญา วัฒนารุ่งเรืองประเทืองบุญ
** ดังเช่นกับตัวท่านเสนกะ ใช่ว่าจะมีฤทธามาช่วยหนุน แต่เป็นเพราะสังเกตเป็นต้นทุน ช่วยเจือจุนสมมุติฐานการควรเป็น
** นี่คือผู้ที่เป็นพหูสูต มิใช่คิดและพูดเพียงได้เห็น ต้องมีเหตุมีผลเกิดประเด็น พิจารณาจากที่เป็นข้อเท็จจริง
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 29 เมษายน, 2559, 11:23:01 AM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๙ นกกระจาบแตกสามัคคี โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** จะขอยกนิทานในการก่อน อุทาหรณ์น้อมนำคำเฉลย มาเปรียบเทียบให้เห็นเหมือนเช่นเคย ติดตามเลยจะรู้ว่าค่าอนันต์
** พุทธองค์ได้ประทับกบิลพัสดุ์ ณ ที่วัดโครธารามงามเกินฝัน ทรงปรารภพระญาติทะเลาะกัน จึงเลือกสรรค์นิทานมาแสดง
** ณ กาลนั้นยังมีฝูงกระจาบ หวังบินคาบหาเหยื่อเสาะแสวง นับจำนวนหลายพันล้วนแข็งแรง รวมเป็นแก็งกลุ่มใหญ่ในพนา
** นกหัวหน้าเป็นห่วงจึงบอกกล่าว ถ้าถึงคราวติดบ่วงของพรานป่า ให้จงรีบเอาหัวสอดเข้ามา ที่ในช่องตาข่ายของนายพราน
** แล้วออกแรงบินขึ้นพร้อมพร้อมกัน เอาตาข่ายไปพันอย่างอาจหาญ กับต้นไม้ต้นใหญ่ไม่ร้าวราน แล้วบินผ่านลงต่ำจำเอาไว้
** ถ้าทุกท่านมีวินัยไม่ตายแน่ สามัคคีช่วยแก้วิกฤตได้ จงรักกันช่วยกันด้วยห่วงใย อันตรายใดใดไม่กล้ำกราย
** ฝ่ายนายพรานดักนกเป็นอาชีพ จึงได้รีบจัดการวางตาข่าย เกณฑ์ชะตาของนกไม่ถึงตาย ปฏิบัติตามนัดหมายจึงปลอดภัย
** แต่อยู่อยู่วันหนึ่งจึงเกิดเหตุ เป็นอาเพศแล้วหนาพาสงสัย ความแตกแยกกัดกินสิ้นอาลัย ถึงสมัยต้องพินาศอนาถครัน
** เหตุเพราะว่าขณะกินอาหาร มีเหตุการณ์เกิดขึ้นดังอาถรรพ์ นกตังหนึ่งบินโผลงมาพลัน ไปเหยียบหัวเพื่อนกันไม่เจตนา
** นกถูกเหยียบโวยวายสนั่นทุ่ง พวกเพื่อนเพื่อนต่างมุ่งเข้ามาหา แบ่งออกเป็นสองฝ่ายไม่รอรา ต่างต่อว่าอีกฝ่ายน่าอายจริง
** จึงกลายเป็นน้ำผึ้งเพียงหยดเดียว มาขับเคี่ยวกันไปในทุกสิ่ง สามัคคีมลายคลายประวิง อันวินัยถูกทิ้งไม่ไยดี
** นกหัวหน้าพูดจาคอยเกลี้ยกล่อม ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ้างศักดิ์ศรี นกหัวหน้าเห็นว่าไม่เข้าที ความพินาศจักมีอย่างแน่นอน
** จึงได้พาสมาชิกที่เป็นกลาง หลีกหนีห่างออกไปใจทอดถอน แม้นจากไปมิใช่ไม่อาวรณ์ แสนเร้ารอนจากไปจำใจลา
** ครั้นเวลาผ่านไปไม่นานนัก นายพรานวางข่ายดักหมู่ปักษา กระจาบติดตาข่ายดังเจตนา ของพรานป่าเพื่อนำไปฆ่าแกง
** ฝ่ายกระจาบต่างเถียงกันและกัน พวกเจ้านั้นเก่งกาจอาจกำแหง อย่าชักช้านะเจ้ารีบแสดง จงออกแรงดันตาข่ายให้พ้นไป
** เอาแต่เกี่ยงไม่สนใจในภาระ ขาดธรรมะสามัคคีนี่ไฉน ตกเป็นเหยื่อเป็นอาหารของพรานไพร ขาดอะไรก็ไม่ร้ายเท่าขาดธรรม
** พรานจึงกล่าวคาถาว่าดังนี้ เมื่อเจ้ามีความร่าเริงช่างคมขำ ก็สามารถดันตาข่ายได้ประจำ ต่างก็ทำได้ดังใจไม่ร้อนรน
** แต่เมื่อใดที่พวกเจ้าเฝ้าทะเลาะ เหมือนมีเคราะห์บาปกรรมอกุศล ต้องเป็นเหยื่อของข้าพาอับจน ขาดมงคลขาดใจในทันที
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 29 เมษายน, 2559, 11:34:14 AM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๐ วาทศิลป์ โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** อดีตกาลผ่านมาพระโพธิสัตว์ ได้อุบัติในตระกูลที่สุขสันต์ เป็นบุตรของเศรษฐีชื่นชีวัน มีสินทรัพย์อนันต์สุขสบาย
** ครั้นวันหนึ่งจึงออกไปเดินเล่น เพื่อรับลมเย็นเย็นกับสหาย อีกสามคนที่รักกันมากมาย เพื่อผ่อนคลายอารมณ์สมอุรา
** ขณะนั้นนายพรานบรรทุกเนื้อ มากมายเหลือนำไปใจปรารถนา เพื่อจะขายให้แก่ชาวพารา จึงมุ่งหน้าตรงไปภายในเมือง
** สี่สหายเมื่อเห็นนายพรานป่า จึงหันมาปรึกษาดำเนินเรื่อง การใช้วาทศิลป์จินต์ประเทือง ว่าใครจะปราดเปรื่องยิ่งกว่ากัน
** คนที่หนึ่งจึงเดินเข้าไปหา นายพรานป่าด้วยหวังอย่างแม่นมั่น แล้วจึงเริ่มเจรจาโดยเร็วพลัน เฮ้ย ! พรานจงแบ่งปันเนื้อให้เรา
** นายพรานจึงร้องตอบออกไปว่า ช่างหยาบคายหนักหนานะคนเขลา เปรียบได้กับพังผืดตามทำเนา จงรับเอาพังผืดอย่ารีรอ
** คนที่สองลองเอ่ยเผยวจี นี่แนะ ! พี่จงแบ่งเนื้อนะเราขอ ไปประกอบอาหารให้เพียงพอ แก่ครอบครัวเถิดหนอโปรดเห็นใจ
** นายพรานจึงเอ่ยว่าคำว่าพี่ ฟังแล้วไพเราะดีจะมีไหน ซึ่งเป็นส่วนประกอบมนุษย์ไง ใช้เรียกขานทั่วไปในสังคม
** คำพูดท่านเป็นเหมือนส่วนประกอบ เราจะมอบเนื้อให้ตามเหมาะสม คือเนื้อส่วนประกอบน่ารื่นรมย์ ตามคารมที่เอ่ยเผยออกมา
** คนที่สามมุ่งหมายได้ร้องขอ พูดว่าพ่อให้เนื้อบ้างเถิดหนา ตามที่เห็นสมควรจะกรุณา โปรดเมตตาเถิดท่านวานแบ่งปัน
** นายพรานจึงพูดว่าคำว่าพ่อ น่าชื่นใจยิ่งหนออกไหวหวั่น ได้ยินคำว่าพ่อพอใจครัน นิจนิรันดร์สุขใจหาใดปาน
** วาจาท่านนั้นเป็นเช่นน้ำใจ เราจะให้ตอบแทนแสนไพศาล ได้แก่เนื้อหัวใจใสตระการ มอบให้ท่านรับไว้ได้อิ่มเอม
** คนสุดท้ายได้แก่โพธิสัตว์ ปฏิบัติด้วยใจอันเกษม ภารกิจที่นับว่าเป็นเกม เยื้องงกรายดังหงส์เหมชวนให้มอง
** จึงเอื้อนเอ่ยวาจาว่าเพื่อนเอ๋ย อย่าช้าเลยโปรดได้ตอบสนอง ให้เรานี้มีเนื้อเพื่อครอบครอง เป็นเจ้าของสักนิดจิตเปรมปรีดิ์
** นายพรานฟังวาจาพาขนลุก มีความสุขเกินคิดจิตผ่องศรี วาจาโพธิสัตว์ฟังเข้าที เอ่ยวจีกล่าวคาถาช่างน่าฟัง
** บ้านใดไม่มีเพื่อนเหมือนกับป่า อันวาจาท่านนี้มีความหวัง เปรียบได้เหมือนสมบัติทั้งเวียงวัง โปรดจงฟังนะสหายให้หมดเลย
** อันเนื้อที่มีอยู่เราให้ท่าน เพื่อนำกลับไปบ้านอย่างเปิดเผย จงไปยังบ้านข้าอย่าละเลย รีบขึ้นเกวียนเพื่อนเอ๋ยไปด้วยกัน
** เมื่อถึงแล้วโพธิสัตว์จึงจัดการ พานายพรานไปบ้านของเขานั่น พร้อมทั้งบุตรธิดามิช้าพลัน อาศัยอยู่ด้วยกันทุกวันมา
** แล้วจึงให้ละเลิกการฆ่าสัตว์ สร้างแต่บุญเป็นวัตรดีหนักหนา เกื้อกูลกันและกันมั่นสัญญา ความเป็นเพื่อนเหนือกว่าจะบรรยาย
** ทั้งหมดนี้ที่เล่ากล่าวมานั้น เพื่อที่จะยืนยันด้วยมุ่งหมาย ว่าวาจาสุภาษิตดีมากมาย ท่านทั้งหลายลองคิดดูจะรู้ดี
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 29 เมษายน, 2559, 11:45:39 AM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๑ นกแขกเต้าเลี้ยงพ่อแม่ โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** ณ หมู่บ้านชื่อว่า “สาลินทิยะ” เศรษฐีมีภาระทำนาสวน ได้จ้างให้คนทำตามกระบวน ถึงเวลาอันควรก็งอกงาม
** ชื่อว่า “โกสิยะ” ทำนาข้าว ประมาณราวพันไร่ไว้หาบหาม ข้าวเจริญเติบโตทุกโมงยาม ท่ามกลางฟ้าสีครามเขียวขจี
** ไม่ไกลจากทุ่งนาเป็นป่าเขา ภูมิลำเนาของสัตว์เช่นปักษี นับเป็นที่อาศัยปลอดภัยดี อีกลิงค่างชะนีมีมากมาย
** อันพระโพธิสัตว์ถือกำเนิด จุติลงมาเกิดเลิศเหลือหลาย เป็นพญานกแขกเต้าเพริดพราวพราย บริวารมากมายหลายร้อยตัว
** พญานกแขกเต้ามีพ่อแม่ ต้องดูแลและเทิดไว้เหนือหัว มีลูกน้อยกลอยใจไม่หมองมัว ต้องเลี้ยงดูจนทั่วทุกตัวตน
** คาบรวงข้าวมาฝากแม่และพ่อ อีกลูกน้อยที่รอไม่หมองหม่น แม้จะยากจะเหนื่อยก็สู้ทน จิตใจช่างงามล้นเกินบรรยาย
** ครั้นวันหนึ่งพญานกแขกเต้า ได้พาเหล่าบริวารสิ้นทั้งหลาย มุ่งหน้าสู่ท้องนาอย่างสบาย เพราะมีข้าวมากมายให้จิกกิน
** จึงบินลงที่นาของเศรษฐี มองเห็นมีอาหารดังถวิล นับจากนั้นก็มาเป็นอาจิณ ทั้งจิกกินและคาบเอากลับไป
** คนเฝ้านามองเห็นตะโกนก้อง ส่งเสียงร้องดังลั่นสนั่นไหว เพื่อให้นกทั้งสิ้นรีบบินไป แต่นกไพรไม่หนีดังที่คิด
** ในที่สุดยอมแพ้แก่ฝูงนก แสนวิตกหนักหนาพาหงุดหงิด จึงแจ้งแก่เศรษฐีให้พินิจ แก้เหตุการณ์วิกฤตให้คืนดี
** ฝ่ายเศรษฐีทราบเรื่องขุ่นเคืองยิ่ง ช่างเจ็บใจจริงจริงไม่สุขี จึงได้มีคำสั่งในทันที จงจับนกเหล่านี้มาให้เรา
** ลูกจ้างจึงรีบไปจัดการ หมู่นกที่คอยผลาญเม็ดข้าวเขา วางกับดักจับนกเพื่อบรรเทา ภัยจากนกแขกเต้าเข้ารุกราน
** เป็นวาระโชคร้ายพญานก เกิดดวงตกก้าวล่วงบ่วงสังหาร ติดบ่วงดิ้นไม่หลุดสุดทรมาน เพราะผลกรรมบันดาลให้เป็นไป
** ด้วยภาวะผู้นำจำทนนิ่ง นึกเกรงกริ่งบริวารจะหวั่นไหว หากรู้ว่าบัดนี้เกิดอะไร คงจะบินหนีไปเพราะความกลัว
** จึงปล่อยให้พวกนกกินอาหาร จนอิ่มหนำสำราญกันถ้วนทั่ว ต่างพากันสดใสไม่หมองมัว ให้สัญญาณทุกตัวรู้ถึงภัย
** บรรดานกตกใจรีบบินหนี อย่างเร็วรี่เพื่อกลับที่อาศัย พญานกก้มหน้าทอดอาลัย ห้วงหทัยร้อนเร่าเฝ้ากังวล
** คนเฝ้านามาจับพญานก เอาขึ้นมาแนบอกแล้วลูบขน นำไปให้เศรษฐีมิวกวน ดีใจล้นได้ขจัดเหล่าศัตรู
** โกสิยะจับนกแล้ววางไว้ แล้วจึงได้เอ่ยถามไม่ข่มขู่ มาคุยกันดีดีทดลองดู เราอยากรู้ตอบได้จะปล่อยไป
** ทำไมหรือเจ้าจึงโลภมากหนอ กินไม่พอยังคาบเอาไปไหน หรือมียุ้งเพื่อเก็บตุนเอาไว้ เจ้าจึงได้คาบกลับไปรวงรัง
** พญานกจึงตอบว่าท่านเอ๋ย ยุ้งข้าวไม่มีเลยตามคาดหวัง ไม่โลภมากอยากได้เกินกำลัง โปรดจงฟังเถิดหนอขอสาธยาย
** ประการหนึ่งพึงทราบเพื่อใช้หนี้ ประการสองนั้นมีจุดมุ่งหมาย ให้เขากู้วันหน้าจะสบาย ประการสามจะขยายเนื้อนาบุญ
** นำเอาไปฝังไว้เป็นขุมทรัพย์ เพื่อผลลัพธ์เบื้องหน้ามาอุดหนุน จะมีผลยิ่งใหญ่ได้เจือจุน นับเป็นการลงทุนที่สุนทร
** โกสิยะบอกว่าไม่เข้าใจ จงรีบเผยเงื่อนไขอย่าหลอกหลอน ฟังง่ายง่ายรู้เรื่องขออ้อนวอน เป็นขั้นตอนว่ามาอย่ารีรอ
** จึงเอื้อนเอ่ยวจีมีความว่า ท่านเจ้าขาโปรดฟังดังร้องขอ ท่านผู้ให้กำเนิดได้เกิดก่อ คือแม่พ่อมีคุณเจือจุนมา
** เวลาผ่านท่านก็แก่ลงมาก ออกหากินลำบากยากหนักหนา ต้องเลี้ยงดูตอบแทนตอนชรา ข้าเรียกว่าใช้หนี้ผู้มีคุณ
** ส่วนลูกน้อยคอยพ่อรออาหาร ต้องจัดการสรรหามาเกื้อหนุน นำอาหารไปให้ด้วยการุณ หวังพึ่งบุญตอนแก่และใกล้ตาย
** ข้าจึงได้เรียกการกระทำนี้ ว่าก่อหนี้มิใช่เรื่องเสียหาย เป็นเรื่องดีมีคุณอย่างมากมาย จะสบายได้พึ่งพาคราอ่อนแรง
** ยังมีนกชราและป่วยไข้ ข้าจึงได้เที่ยวไปเสาะแสวง หาอาหารไปฝากอย่าเคลือบแคลง เพื่อแสดงน้ำใจและไมตรี
** ได้ชื่อว่าขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ หวังจะได้เป็นทุนบุญราศรี การสั่งสมซึ่งบุญเป็นสิ่งดี ส่งให้มีความสุขทุกวันคืน
** โกสิยะได้ฟังถึงนั่งอึ้ง เกิดซาบซึ้งน้ำตาไหลไม่อาจฝืน นกตัวนี้มีธรรมเป็นจุดยืน เลี้ยงพ่อแม่และนกอื่นไม่เหมือนใคร
** โกสิยะกล่าวว่าต่อแต่นี้ ข้าวในนาที่มีเรายกให้ ลงมากินและจัดการเอาตามใจ คาบกลับไปดังปรารถนาและต้องการ
** พญานกกล่าวตอบว่าขอบคุณ ที่ค้ำจุนช่วยเหลือดังกล่าวขาน ขอให้ท่านไร้ทุกข์สุขสำราญ เป็นที่พึ่งอันเบิกบานและรื่นรมย์
** นกแขกเต้าปลอดภัยในครั้งนี้ เป็นเพราะคุณความดีที่สั่งสม เลี้ยงบิดามารดาน่าชื่นชม ให้ทุกคนในสังคมพึงสังวรณ์
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 29 เมษายน, 2559, 11:55:41 AM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๒ ตำราเลือกลูกเขย โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** อดีตกาลมีนิทานนำมาเล่า เป็นเรื่องเก่าการเลือกคู่ดูเหมาะสม จะอยู่ดีกินดีเอกอุดม แสนสุขสมชื่นใจหาใดปาน
** ครั้งนั้นสมเด็จพระโพธิสัตว์ ได้อุบัติเป็นครูที่เรียกขาน ว่าทิศาปาโมกข์ชำนาญการ ผู้เชี่ยวชาญศิลปะวิทยา
** พราหมณ์คนหนึ่งมีลูกสาวสี่ใบเถา งามเทียบเท่านางสวรรค์ชื่นหรรษา ชายใดเห็นเป็นต้องถูกชะตา อยากได้มาสมสู่เป็นคู่ครอง
** ในบรรดาชายหนุ่มที่รุมล้อม หวังดมดอมเชยชมภิรมย์สอง พราหมณ์ผู้พ่อจับตาเฝ้าคอยมอง เลือกคู่เคียงประคองให้ลูกตน
๓๕๑. ** มีชายหนุ่มสี่คนน่าสนใจ คุณสมบัติต่างกันไปตามกุศล เคยทำดีได้ดีมีมงคล เคยทำชั่วไม่พ้นผลไม่ดี
** คนที่หนึ่งรูปหล่อเป็นยิ่งนัก ช่างน่ารักงามสง่ามีราศี ทั้งกิริยาวาจาก็เข้าที เอ่ยวจีอรรถรสปรากฏไกล
** คนที่สองผ่านโลกมาหลายฝน อายุพ้นวัยเด็กเป็นผู้ใหญ่ สัมผัสสุขและทุกข์ผลัดเปลี่ยนไป สุดหาใครเป็นคู่ครองอกหมองตรม
** คนที่สามร่ำรวยลูกเศรษฐี ตระกูลดีเป็นผู้ที่เหมาะสม เป็นคู่ครองสาวสาวร่วมภิรมย์ คงสุขสมฤดีมิเสื่อมคลาย
** คนที่สี่มีศีลธรรมแสนล้ำเลิศ ก่อให้เกิดกุศลผลมากหลาย งามสง่าอำไพทั้งใจกาย หญิงมากมายหมายจองครองคู่กัน
** พราหมณ์พ่อไม่สามารถเลือกใครได้ เพื่อจะให้ลูกสาวร่วมสร้างฝัน เป็นเพื่อนคิดคู่ใจไปนานวัน สายสัมพันธ์มั่นคงยิ่งยืนนาน
** จึงไปหาอาจารย์ท่านปาโมกข์ ผู้เข้าใจเรื่องโลกโชคไพศาล เริ่มปรึกษาหารือผู้เชี่ยวชาญ เล่าเหตุการณ์ทั้งหลายให้ได้ฟัง
** หลังจากนั้นจึงถามถึงความเห็น ควรเลือกเฟ้นคนใดจึงสมหวัง ผู้ที่ควรครองคู่อยู่จีรัง โปรดแนะนำสักครั้งเป็นพระคุณ
** ฝ่ายพระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า แม้รูปร่างร่างกายาเป็นส่วนหนุน ให้ดูดีมีค่ามาเจือจุน แต่ขาดศีลเป็นทุนก็สิ้นงาม
** ถ้าเป็นเราจะเลือกคนมีศีล เป็นไทยจีนก็สูงค่าน่าเกรงขาม กลิ่นของศีลหอมฟุ้งทุกโมงยาม ไม่ผลีผลามยามเดินและนั่งนอน
** แล้วจึงเอ่ยวจีเป็นคาถา เจตนาให้ฟังดังคำสอน รูปสวยตระกูลดีมีคลายคลอน ถ้ามีศีลถาวรปราศจากภัย
** พราหมณ์ได้ฟังชอบใจไม่รอช้า รีบกลับคืนเคหาที่อาศัย ครั้นถึงจึงบอกสี่อรทัย เรื่องคู่ครองทรามวัยโดยเร็วพลัน
** พราหมณ์จึงยกสี่สาวที่สดใส ให้คนมีศีลไปด้วยใจมั่น ต้องอยู่ดีมีสุขชั่วนิรันดร์ ทุกคืนวันก้าวหน้าพาเพลิดเพลิน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 29 เมษายน, 2559, 12:10:09 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๓ พญาเนื้อทอง โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** ณ ชายป่ายังมีพญาเนื้อ ผิวดังทองงามเหลือหาใครเหมือน มีกวางสาวเนื้อเย็นเป็นขวัญเรือน อยู่เคียงคู่เป็นเพื่อนที่รู้ใจ
** ครอบครองบริวารราวแปดหมื่น คอยหยิบยื่นสิ่งดีดีมีมอบให้ รักบริวารเท่ากันทุกตัวไป มีจิตใจเป็นธรรมไม่ลำเอียง
** ครั้นวันหนึ่งจึงได้พาลูกน้อง ที่ปกครองไปหากินในถิ่นเสี่ยง ปากเล็มหญ้าตาจ้องคอยมองเมียง หูฟังเสียงต่างต่างอย่างจริงจัง
** ด้วยผลกรรมทำไว้ในกาลก่อน กลับมาย้อนส่งผลดังมนต์ขลัง กินใบไม้เพลินไปไม่ระวัง ก้าวสู่ฝั่งวังวนบ่วงนายพราน
** เผลอก้าวเท้าเข้าบ่วงพรานดักไว้ รู้ตัวได้ถึงภัยใจร้าวฉาน รีบสลัดให้หลุดสุดทรมาน น่าสงสารเจ็บปวดรวดร้าวกาย
** จึงร้องบอกพวกพ้องทั้งน้องพี่ ที่แห่งนี้มีภัยรีบผันผาย จงหนีไปให้ไกลก่อนวางวาย มีความตายรอท่าอย่าช้าพลัน
** อันตัวเราติดบ่วงของพรานแล้ว ไม่คลาดแคล้วชีวาต้องอาสัญ เป็นอาหารพรานไพรใจฉกรรจ์ อย่าห่วงฉันรีบหนีไปไวไว
** เหล่าบริวารตกใจไม่ยั้งคิด ต่างก็รักชีวิตกว่าสิ่งไหน ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ยาวไกล ทิ้งหัวหน้าเอาไว้เพียงตัวเดียว
** ฝ่ายนางกวางภรรยาบ่ายหน้าหนี เพื่อรักษาชีวีไม่เฉลียว ถึงกวางผู้สามีสักนิดเทียว จึงปล่อยให้เปล่าเปลี่ยวอย่างเดียวดาย
** เมื่อหนีไปนิดหนึ่งพึงสังหรณ์ นึกอาวรณ์ถึงสามีที่เงียบหาย ไม่ติดตามกันมาหรือว่าตาย จึงย่างกรายกลับไปใจไม่ดี
** มองเห็นกวางสามีที่ยืนอยู่ จึงได้รู้ไม่ตายให้สุขี เข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเผยวจี เหตุไฉนหนอพี่จึงไม่ไป
** พญากวางจึงเผยเอ่ยวาจา อันตัวพี่นี่หนาไปไม่ได้ ขาของพี่ติดบ่วงของพรานไพร เมื่อเข้าใจอย่าช้าจะอันตราย
** นางกวางน้อยจึงตอบขอบคุณพี่ ตัวน้องนี้ไม่กลัวภัยทั้งหลาย จะขออยู่ที่นี่กับพี่ชาย ถ้าต้องตายขอตายไปด้วยกัน
** ไม่ช้านานพรานป่าก็มาถึง นางกวางจึงเอ่ยถ้อยค่อยเสกสรร ขอจงได้เมตตาอย่าฆ่าฟัน โปรดเถอะไว้ชีวันพญากวาง
** ถ้าจะฆ่าโปรดจงฆ่าเราก่อน ให้ม้วยมรณ์สิ้นใจไม่ขัดขวาง แล้วค่อยฆ่าสามีให้วายวาง ชีพอับปางดับไปไม่เสียดาย
** พรานป่าฟังน้ำคำชื่นฉ่ำนัก เป็นความรักยิ่งใหญ่สมใจหมาย กล่าววาจาจับใจไม่เสื่อมคลาย แม้ความตายไม่หวั่นพรั่นพรึงเลย
** ไม่เคยเห็นมีใครในโลกนี้ ยอมสละชีวีหน้าตาเฉย เพื่อผัวที่ตนรักจักเสบย จึงได้เอ่ยวาจาน่าชื่นใจ
** พรานป่าชอบจึงตอบวจีว่า เราไม่ฆ่าเจ้าทั้งสองหยุดร้องไห้ จะปล่อยเจ้าทั้งสองเข้าป่าไป ขอจงได้สุขสันต์นิรันดร์กาล
** นางกวางป่าจึงตอบขอบคุณมาก ก่อนลาจากอยากขอจงสงสาร อย่าทำร้ายสัตว์ป่าให้ร้าวราน จงหยุดการฆ่าฟันให้บรรลัย
** ก่อนจากไปพญากวางจึงมอบแก้ว ให้พรานแล้วจึงได้เอ่ยปราศรัย เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้อภัย ตลอดอายุขัยจงทำดี
** หมั่นทำทานรักษาศีลภาวนา มีเมตตาเอื้อเฟื้อเพื่อสุขศรี จงเอาแก้วที่ให้เลี้ยงชีวี ทำบุญตามที่มีโอกาสทำ
** ขอลาทีวันนี้ขอลาแล้ว ทำให้ใจแน่แน่วอย่าถลำ แล้วตั้งตนตั้งใจมั่นในธรรม ละเวรกรรมห่างอบายได้สุขเลย
** การสงเคราะห์แก่กันพลันเกิดสุข ห่างจากทุกข์ดังที่ได้เปิดเผย เรื่องของกวางทั้งคู่ชื่นชูเชย ต่างก็ไม่ละเลยความสัมพันธ์
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 30 เมษายน, 2559, 05:54:04 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๔ การทำงานไม่ถูกขั้นตอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** สมัยหนึ่งที่องค์พระศาสดา เสด็จยังพาราสาวัตถี ประทับที่เชตวันอันโสภี แล้วทรงมีดำรัสตรัสเรื่องราว
** ทรงปรารภภิกษุผู้เกียจคร้าน จึงได้ยกตำนานที่อื้อฉาว ในกาลก่อนก็เกียจคร้านมานานยาว โดยบอกกล่าวเป็นนิทานเล่าขานมา
** ในเมืองตักศิลาคราครั้งก่อน มีผู้สอนศิลปะเก่งหนักหนา คือทิศาปาโมกข์ยอดวิทยา ผู้เก่งกล้าวิชาเชี่ยวชำนาญ
** มีลูกศิษย์ประมาณห้าร้อยคน คอยสั่งสอนฝึกฝนจนแตกฉาน จนขึ้นชื่อลือชาวิชาการ ผู้อาจารย์ชื่นสุขทุกทิวา
** ครั้นวันหนึ่งบรรดาสานุศิษย์ จึงได้คิดร่วมใจกันเข้าป่า เพื่อเก็บผักหักฟืนไม่รอรา รีบมุ่งหน้าเข้าไพรดังใจปอง
** เมื่อถึงป่าต่างพากันเก็บฟืน อย่างราบรื่นสดใสไม่หม่นหมอง ต่างส่งเสียงล้อกันอย่างคะนอง บ้างก็ร้องเพลงเล่นไม่เป็นภัย
** อีกนายหนึ่งซึ่งเป็นคนเกียจคร้าน หลบหลีกการทำงานเป็นนิสัย ในวันนี้ทิ้งเพื่อนไม่อาลัย อีกสมัยที่แอบหนีไปนอน
** ตกเย็นเพื่อนมัดฟืนขึ้นใสบ่า ได้เดินมาสะดุดเข้าคิดว่าขอน สะดุ้งตื่นขึ้นมาพาร้าวรอน ใจอาวรณ์ไม่มีฟืนยืนเศร้าตรม
** ตะลีตะลานปีนป่ายขึ้นต้นกุ่ม ดังไฟสุมร้อนเร่าเศร้าขื่นขม รีบดึงกิ่งมาหักไม่รื่นรมย์ กิ่งกลมกลมดีดตาพาบอดเลย
** ได้กิ่งไม้สดสดมาหน่อยหนึ่ง แล้วรีบบึ่งกลับสำนักไม่อยู่เฉย ความเกียจคร้านพาลเสียเหมือนเช่นเคย จะขอเผยฉากสุดท้ายให้ได้ฟัง
** เย็นวันนั้นอาจารย์ได้รับเชิญ นับเป็นเหตุบังเอิญแต่หนหลัง ต้องรีบทานข้าวเช้าเพิ่มพลัง จึงได้สั่งแม่ครัวฝีมือดี
** พรุ่งนี้เช้าจงรีบทำอาหาร เราจะต้องรีบทานอย่างด่วนจี๋ ก่อนจะไปประกอบกิจพิธี เพื่อให้มีมงคลไม่ลนลาน
** ครั้นรุ่งเช้าแม่ครัวรีบก่อไฟ เพื่อจะได้ประกอบมวลอาหาร จึงหยิบฟืนที่นำมาเมื่อวาน ของลูกศิษย์ที่เกียจคร้านไม่รอรา
** ก่ออย่างไรแต่ไฟไม่ยอมติด เป็นเพราะฟืนทำพิษสร้างปัญหา เพราะฟืนสดทำให้จนปัญญา จนเวลาผ่านไปไม่ได้กิน
** ศิษย์ผู้ที่เกียจคร้านในกาลนั้น คือภิกษุปัจจุบันถูกติฉิน ว่าเกียจคร้านการงานเป็นอาจิณ เกิดมลทินงานอากูลอาดูรเกิน
** ต้องขยันอย่าเกียจคร้านงานทั้งหลาย ได้สบายนับอนันต์ชนสรรเสริญ จะก้าวหน้าพบแต่ความเจริญ และเพลิดเพลินอุดมผลเป็นมงคล
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 30 เมษายน, 2559, 06:05:09 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๕ ยอดทาน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** สมัยหนึ่งสมเด็จพระศาสดา หวังให้ชาวประชามีสุขสันต์ เสด็จมาประทับ ณ เชตวัน สาวัตถีจอมราชันพระทรงชัย
** ในครั้งนั้นยังมีอุบาสิกา ชื่อ “นันทมารดา” พิสมัย ได้ถวายทักษิณาทานมัย โดยไม่ต้องสงสัยเพราะศรัทธา
** เป็นทานที่ประกอบด้วยองค์หก จึงได้ยกพระธรรมเทศนา (เทศนา อ่านว่า เทด-สะ-หนา) แสดงแก่ภิกษุที่ได้มา ณ ธรรมสภาพร้อมหน้ากัน
** ภิกษุเอ๋ย....จงฟังเราจะกล่าว ถึงเรื่องราวทักษิณาอย่าไหวหวั่น แบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญ ส่วนประกอบย่อยนั้นมีหกองค์
** ส่วนประกอบที่หนึ่งคือ “ผู้ให้” เรียกง่ายง่ายว่า “ทายก” ผู้ประสงค์ จะแบ่งปันส่วนที่มีโดยจำนง แบ่งเป็นองค์ย่อยย่อยสามประการ
** หนึ่ง “ก่อนให้เป็นผู้ที่จิตใจดี” เอื้ออารีเมตตามาประสาน ปราศจากอกุศลคนใจพาล การทำทานเป็นมงคลผลอุดม
** สอง “ขณะให้มีจิตใจที่เลื่อมใส” ประกอบไปด้วยศรัทธาอันเหมาะสม เชื่อมั่นในความดีน่านิยม เป็นปฐมของการให้ได้ผลบุญ
** สาม “ปลื้มใจในการที่ได้ให้” กุศลที่ทำไว้ได้อุดหนุน การสั่งสมความดีย่อมมีคุณ คอยเจือจุนส่งให้ได้วิมาน
** ส่วนประกอบที่สองคือ “ผู้รับ” “ปฏิคาหก” เป็นศัพท์ที่เรียกขาน มีผู้ให้ขาดผู้รับก็ป่วยการ สองประสานจึงเกิดผลดังใจ
** อันผู้รับนั้นมีสามส่วนย่อย ดูเหมือนน้อยแต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ลองศึกษากันดูเรื่อยเรื่อยไป แล้วจะได้รู้ว่าค่ามากมาย
** หนึ่ง “เป็นผู้ปราศจากตัวราคะ” หรือโลภะตัณหาพาฉิบหาย ความกำหนัดยินดีในรูปกาย หรือความหมายกรงขังทางปัญญา
** สอง “เป็นผู้ปราศจากตัวโทสะ” คือความโกรธมักจะสร้างปัญหา ทุจริตทั้งใจกายวาจา ขาดเมตตาการุณและปราณี
** สาม “เป็นผู้ปราศจากตัวโมหะ” คือความหลงไม่ละพาหมองศรี ความมัวเมายึดมั่นเป็นราคี ล้วนไม่ดีมีกิเลสเหตุงมงาย
** ภิกษุเอ๋ย...ทักษิณาที่ว่านี้ ย่อมจะมีคุณค่าดังมุ่งหมาย มีความสุขสงบทั้งใจกาย ทั้งผลบุญมากมายเกินประมาณ
** เปรียบดังน้ำในห้วงมหาสมุทร มันมากสุดที่จะบวกลบคูณหาร ดุจดังผลของทักษิณาทาน แม้จักรวาลไม่อาจเปรียบเทียบผลบุญ
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 30 เมษายน, 2559, 06:18:33 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๖ ผู้ประเสริฐ โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่หมองเศร้าประทับ ณ สาวัตถี เชตวันพระวิหารแห่งความดี สมเด็จพระชินศรีทรงเบิกบาน
** ณ วันหนึ่งคิดจะชำระกาย เพื่อให้สุขสบายสรงสนาน จึงชวนพระอานนท์ลงสู่ธาร บุพพะโกฏฐกะทรงสำราญสบายใจ
** ครั้นสรงเสร็จเสด็จขึ้นสู่ฝั่ง ด้วยทรงหวังผึ่งกายให้สดใส มีสายลมพัดผ่านคอยแกว่งไกว จึงทำให้สดชื่นรื่นกมล
** ขณะนั้นมีพญาคชสาร ของภูบาลปเสนทิโกศล จะขึ้นจากท่าน้ำริมฝั่งชล โกลาหลอื้ออึงเสียงตึงตัง
** เสียงดนตรีประโคมดังสนั่น เหล่าฝูงชนจ้องกันทั้งสองฝั่ง ต่างชื่นชมว่าช้างดีมีพลัง ช่างประเสริฐเสียจังดูงามดี
** ต้องเป็นคชสารที่ดีเลิศ แสนประเสริฐวิไลในทุกที่ ช่างงามงดสดใสไร้ราคี น่าศรัทธาเกินที่จะพรรณนา
** พระกาฬุทายีฟังคำขาน ของชาวบ้านเรื่องช้างยังกังขา ยกย่องว่าประเสริฐและศรัทธา จึงกราบทูลพระศาสดาขยายความ
** พระพุทธองค์ทรงตรัสพระวัจนะ เป็นธรรมะคลายข้องใจในคำถาม ชนผู้ใดไม่ทำชั่วสิ่งเลวทราม มีความงามภายนอกและภายใน
** เราจะเรียกผู้นั้นว่าประเสริฐ ซึ่งล้ำเลิศหนักหนากว่าสิ่งไหน ละความชั่วทางกายวาจาใจ ละโลกไปสุคติเป็นที่ปอง
** การประพฤติธรรมนี้นั้นดีแน่ จะมีแต่สุขใจไม่เศร้าหมอง ทั้งโลกนี้โลกหน้าจะสมปอง ธรรมคุ้มครองเสวยสุขทุกคืนวัน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 04 พฤษภาคม, 2559, 02:52:27 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๗ วิฑูฑภะ โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** พุทธองค์ทรงปรารภวิฑูฑภะ ผู้ประสบหายนะน่าสงสาร น้ำท่วมตายพร้อมกับบริวาร ริมฝั่งธาร “อจิรวดี”
** ท้าวเธอเป็นเชื้อสายศากยะ โอรส “วาสภะ” มเหสี ในปเสนทิโกศลจอมธานี แห่งกรุงสาวัตถีบุรีรมย์
** เป็นหลานของพระเจ้ามหานามะ มารดา “วาสภะ” แสนขื่นขม เกิดจากนางทาสีเปรียบโคลนตม ไม่เหมาะสมจะยกย่องให้รองเรือง
** ในสมัยที่เป็นราชโอรส ได้กำหนดเยี่ยมพระญาติให้ฟูเฟื่อง กบิลพัสดุ์สว่างไสวไปทั่วเมือง งามดังคำลือเลื่องระบือไกล
** ครบกำหนดเสด็จกลับสาวัตถี ทิ้งความหลังไว้ที่บุรีใหญ่ ญาติวงศ์ศากยะสุดทำใจ ชาติกำเนิดห่างไกลกว่าพวกตน
** ศากยะรับสั่งให้ทาสี ทำการล้างสถานที่ทุกแห่งหน ที่โอรสประทับสุดจักทน เพราะเป็นอัปมงคลกาลีเมือง
** วิฑูฑภะทราบเรื่องสุดเคืองแค้น ได้เป็นใหญ่ต้องตอบแทนให้รู้เรื่อง ซึ่งหนี้แค้นที่ทำระคายเคือง ล้างให้สิ้นลือเลื่องทั่วโลกา
** สิ้นสมัยปเสนทิโกศล ได้ครองราชย์เป็นมงคลเกินจักหา รวมพลมหาศาลยกกันมา กบิลพัสดุ์พาราดังหมายปอง
** ถึงกลางทางได้พบพระศาสดา เสด็จมาด้วยความหวังจะสนอง คุณพระญาติตามสมควรแก่ครรลอง เป็นกิจของผู้ทรงธรรมเขาทำกัน
** จึงยกพัพกลับราชนิเวศน์ อาณาเขตสาวัตถีมิได้พรั่น เราต้องทำสำเร็จเข้าสักวัน เก็บเอาความอัดอั้นไว้เต็มทรวง
** วิฑูฑภะยกพลถึงสามครั้ง แต่ก็ต้องหยุดยั้งพลใหญ่หลวง พระศาสดาเป็นเหตุเรื่องทั้งปวง ไม่สามารถลุล่วงปณิธาน
** ครั้งที่สี่พุทธองค์จึงทรงคิด ตามที่ทรงนิมิตเป็นหลักฐาน เป็นเพราะกรรมศากยะมาร้าวราน บุรพกรรมเป็นมารจ้องทำลาย
** ศากยะสร้างกรรมในปางก่อน เบื่อปลาให้ม้วยมรณ์สิ้นสลาย ต้องใช้กรรมในชาตินี้ชีวาวาย ถึงคราวตายเพราะกรรมที่ทำมา
** วิฑูฑภะไม่มีใครขัดขวาง ได้ยกพลเดินทางดังปรารถนา ครั้นถึงกบิลพัสดุ์ไม่รอรา สั่งให้ฆ่าเอาเลือดล้างนคร
** ครั้นหมดแค้นยกพลเดินทางกลับ เมื่ออาทิตย์จะลับยอดสิงขร จึงหยุดพักริมฝั่งชลาธร “อจิรวดี” สาครอย่างสบาย
** ขณะนั้นบังเอิญฝนตกหนัก น้ำทะลักท่วมป่าน่าใจหาย วิฑูฑภะและไพร่พลจมน้ำตาย ชีพวางวายเพราะวิบากผลของกรรม
** พระพุทธองค์ทรงตรัสพระคาถา ใจความว่าบุคคลย่อมถลำ สู่ความตายด้วยปัจจัยที่น้อมนำ เกิดจากการกระทำที่เจตนา
** เจตนาดีทำดีย่อมมีผล ให้บุคคลได้ดีที่ใฝ่หา เจนาชั่วทำชั่วตัวอัปรา ย่อมชักพาสู่ห้วงแห่งโลกันต์
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
หัวข้อ: Re: นิทานธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สมพงศ์ ชูสุวรรณ ที่ 04 พฤษภาคม, 2559, 03:00:37 PM
(http://www.mx7.com/i/95b/Wss6Xi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yWWNU1iwZ94LTVFi) นิทานธรรม เรื่องที่ ๑๘ พระก็ทำนา โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ** ในครั้งหนึ่งสมเด็จพระศาสดา ได้เสด็จผ่านมาไม่คาดหมาย ถึงหมู่บ้านกสิพราหมณ์ผู้งมงาย ตอนเวลาคล้อยบ่ายใกล้สายัณห์
** ขณะนั้นเป็นฤดูการทำนา ต่างตั้งหน้าตั้งตาขมีขมัน ปลูกข้าวและดำกล้าแข่งตะวัน เพื่อจะให้เสร็จทันตามเวลา
** พระพุทธองค์ประทับทอดพระเนตร กสิพราหมณ์ถือเป็นเหตุไม่กังขา เอ่ยปากกล่าวต่อว่าองค์สัมมา ไม่เลื่อมใสไม่ศรัทธาในพระองค์
** พวกข้านี้ไถนาและปลูกข้าว มายืนยาวด้วยมีจุดประสงค์ เพื่อจะเลี้ยงชีวิตให้ยืนยง ชีวิตเรามั่นคงเพราะมือตน ** ส่วนพวกท่านเอาแต่เที่ยวเดินขอ น่าอนาถจริงหนอแสนหมองหม่น ลองทำนาหว่านดำจำใจทน คงมีคนชื่นชมสาธุการ
** พระพุทธองค์จึงตรัสกสิเอ๋ย ฟังนะจะเฉลยเอ่ยไขขาน เราทำนาเช่นกันทุกวันวาร ดังที่ท่านแนะนำจำนรรจา
** ท่านนะหรือที่ทำไม่เคยเห็น อุปกรณ์ซ่อนเร้นอยู่ไหนหนา ข้าเห็นมีแต่บาตรที่อุ้มมา สำหรับขอข้าวปลาชาวบ้านกิน
** ขอจงฟังเราก่อนนะกสิ อย่ามุ่งแต่ตำหนิและติฉิน ตถาคตทำนาเป็นอาจิณ ไม่ใช่พูดเล่นลิ้นให้วกวน
** นาเรามีศรัทธาเป็นพืชหลัก มีความเพียรฟูมฟักเป็นน้ำฝน มีปัญญาเป็นแอกแทรกซ้อนปน ส่วนหิริหน้ามลเป็นงอนไถ (ไถ เป็นเสียงจัตวา ห้ามใช้ในวรรคที่ ๔)
** มีสติเป็นผาลคอยไถถาก มีใจเป็นเชือกลากไม่หวั่นไหว มีคำสัจคอยดายหญ้าทุกคราไป กายวาจาห่างไกลเครื่องรัดรึง
** ข้าวซึ่งเกิดจากนาดังว่านี้ มีผลดีชนิดคิดไม่ถึง ทานแล้วจะสิ้นทุกข์สุขตราตรึง บริโภคครั้งหนึ่งอิ่มจนตาย
** กสิพราหมณ์ฟังจบเกิดเลื่อมใส แบ่งอาหารถวายไปดังใจหมาย พระศาสดาไม่รับแล้วอธิบาย เพื่อขยายเรื่องราวให้ได้ยิน
** เราไม่สามารถจะรับอาหาร ที่เป็นทานจากการกล่าววาทศิลป์ ของตัวเองเพราะว่ามีราคิน ไม่บริสุทธิ์หมดสิ้นความสำคัญ
** กสิพราหมณ์เกิดศรัทธาอย่างยวดยิ่ง ตั้งใจจริงเลื่อมใสไม่เหหัน ขอถึงพระรัตนตรัยทุกคืนวัน และตั้งมั่นในธรรมสร้างกรรมดี
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
(http://www.mx7.com/i/c45/OiOraL.gif) (http://www.mx7.com/view2/ySULYD5rESrRA8tu)
|