เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..

บทกลอนไพเราะ => กลอนคิดถึง => ข้อความที่เริ่มโดย: มนต์คำ ที่ 03 กรกฎาคม, 2562, 09:48:01 AM



หัวข้อ: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: มนต์คำ ที่ 03 กรกฎาคม, 2562, 09:48:01 AM
วัสสานะฤดู

พรหมพิโรธโกรธขึ้งไปถึงไหน
เขียนลู่ให้ได้พบประสบขวัญ
ได้เกี่ยวก้อยค่อยย่างระหว่างมรรค์
แล้วก็พลันเบี่ยงทิศจนผิดทาง

อยู่กับความเงียบงันของวันนี้
ผ่านราตรีเดียวดายจรดปลายสาง
คาบวสันต์ผันภาพลงทาบวาง
พร่าเลือนกลางห้วงหนแสนหม่นเทา

ร้างไร้ดวงจันทราเวลาค่ำ,
สาง-สูรงำเงื้อมฟ้ายิ่งพาเหงา
โลกทั้งโลกแลเห็นเหมือนเป็นเงา
ยั่วหยอกเย้าจิตอยู่ไม่รู้แล้ว

พิรุณร่ำพรำหยาดมิขาดช่วง
พร่างพรมพลิ้วหล่นร่วงอาบพวงแก้ว
เรืองไรดังเพชรพราวปลั่งวาวแวว
ลมโชยแผ่วพาหอมออกย้อมยาม

หอมไหนเล่าอวลกรุ่นละมุนอก
จนเพ้อพกหมกไหม้เกินใจห้าม
เจ้าก็รู้แล้วไยมิไขความ
หนึ่งรูปนามยังคอยคนคล้อยลับ

วัสสานะฉ่ำชุ่ม กลับรุ่มร้อน
ดั่งไฟฟอนสุมอุราเกินกว่าดับ
หรือจะให้เฝ้าคอยจนย่อยยับ
ไปพร้อมกับห้วงฝันของวันนั้น?

มนต์คำ
๐๓-๐๗-๒๕๖๒


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: พิณจันทร์ ที่ 05 กรกฎาคม, 2562, 05:36:22 PM
...วัสสานใจ...

วัสสานะฉ่ำชุ่มพร้อมกลุ่มเมฆ
คล้ายร่วมเสกมนต์คำร่ายบำสรรค์
ดุจหยาดทิพย์โปรยปรายสยายกัณฑ์
อัศจรรย์ฟ้าหลัวหมองมัวตาม

ในห้วงศิลป์ยินคำระส่ำจิต
แม้เพียงนิดวางใจย่อมไหวหวาม
ในห้วงฝันเนรมิตสถิตย์นาม
เกินจักห้ามคำนึงคิดถึง-คอย

เหมือนดั่งใจคงมั่นผูกพันแล้ว
หวิดหวิวแว่ววอนเว้าลบเหงาหงอย
เหมือนดั่งมีห่วงใยนั่งใจลอย
ยินเพียงถ้อยหนึ่งเดียวจิตเหลียวแล

วัสสานะเยื้องย่างปลายทางถึง
ฤดูซึ้งหยาดหยิบกระซิบแข
หยดน้ำทิพย์จากสรวงอ้อนดวงแด
หากมิแพ้พ่ายใจคงไม่มี

ในห้วงฝันปั้นแต่งสร้อยแสงสุข
จริงแท้ทุกข์ซ่อนเร้นเฉกเช่นผี
คอยหลอกหลอนหัวใจให้พาที
วันเดือนปีผ่านไปยังให้รอ

เหมือนวัสสานฤดูเป็นผู้เสก
วางกลุ่มเมฆเตือนใจผู้ใดหนอ
หากเคยหวานกานท์ศิลป์ร้อยจินต์กอ
ยินแล้วขอต่อกานท์วัสสานใจ

พิณจันทร์
5 กรกฎาคม 2562
(วัสสานะ,วัสสาน แปลว่า ฤดูฝน)


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: สิริวตี ที่ 05 กรกฎาคม, 2562, 05:44:45 PM
หอมไหนเลยน่าถวิลเท่ากลิ่นฝน
ยามร่วงหล่นสู่ดินตรงถิ่นนั่น
เมล็ดข้าว​ใน​นาสารพัน
ยังเติบโต​เต็มวันแม้ฝน​ซา

ดินเคยแข็งเป็นก้อนกลับอ่อนนุ่ม
ไม้เป็นพุ่มผลิใบให้เริงร่า
ผีเสื้อกรายปีกบางอย่างช้าช้า
ดอกไม้ป่าหลากสีมีชีวิต

ฝนยังอยู่ในฟ้าใช่หรือไม่
จึงพร่างพรูหล่นพรายดังใช้สิทธิ์​
เพื่อให้ฟ้าทั้งฟ้ามาเนรมิต
เมล็ดพันธุ์​ทุกทิศที่รอคอย

สิริวตี



ลงช้าไปไม่กี่นาที ขออภัยที่ไม่ได้ต่อกลอนด้านบนนะคะ


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: มนต์คำ ที่ 05 กรกฎาคม, 2562, 09:44:22 PM
เหมือนวัสสานฤดูเป็นผู้เสก
วางกลุ่มเมฆเตือนใจผู้ใดหนอ
หากเคยหวานกานท์ศิลป์ร้อยจินต์กอ
ยินแล้วขอต่อกานท์วัสสานใจ

พิณจันทร์
5 กรกฎาคม 2562

(วัสสานะ,วัสสาน แปลว่า ฤดูฝน)


หยาดน้ำฝนปนลมพร่างพรมหล้า
โลมพฤกษาชุ่มฉ่ำด้วยน้ำใส
ชื่นมิเท่า ชื่นฉ่ำ ถ้อยคำใคร
ทิ้งร่องรอยฝากไว้ ชื่นใจนัก

หลั่งมาแล้วโลมทรวงล้นดวงจิต
ขอใช้สิทธิ์เก็บงำลงจำหลัก
หากวันคืนเปลี่ยนแปลงเจ้าแล้งรัก
อกคงหักปรักป่นเกินทนทาน

แว่วแว่วเสียงลมครวญก็หวนหา
ฝนสั่งหล้า ฟ้าฝั่ง ก็สั่งสาส์น
ฟ้าเจ้าเอย เผยคำ ลำนำกานท์
แล้วอย่ารานสายใยจากใจดิน

มนต์คำ


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: พิณจันทร์ ที่ 06 กรกฎาคม, 2562, 04:47:38 PM
 :35:
โอ้ยยย..อ่านบทต่อใจจะขาดรอนๆอิอิ
 :23:
แล้วอย่าหาญหักใจจากไปอีก
อยู่ครึ่งซีกโลกกว้างอย่าร้างศิลป์
แหงนมองฟ้าหาเมฆปลุกเสกจินต์
สื่อถ้อยรินวางให้อุ่นไอเรือน

ปลอบปลุกใจร้องขอถักทอแสง
วัสสานแห้งเหือดหายอย่าได้เหมือน
ขอน้ำใจทดแทนต่างแขนเยือน
พี่น้องเพื่อนยังรอพนอใจ

ความคิดถึงเปรียบฟ้ายังว่าน้อย
จักหลายร้อยเดือนปีเปรียบมีไหม
มิสงสารคนคอยบ้างหรือไร
แอบซ่อนใดเล่าหนอปล่อยรอนาน

กลับมาทวงสัญญาวัสสานะ
แม้ว่าจะปลายอยู่ฤดูขาน
สักเพียงนิดอักษรสื่อกลอนกานท์
สิ้นวัสสานเหมันต์ประพันธ์รอ

พิณจันทร์
 :30:


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: มนต์คำ ที่ 06 กรกฎาคม, 2562, 05:47:18 PM
หอมไหนเลยน่าถวิลเท่ากลิ่นฝน
ยามร่วงหล่นสู่ดินตรงถิ่นนั่น
เมล็ดข้าว​ใน​นาสารพัน
ยังเติบโต​เต็มวันแม้ฝน​ซา

ดินเคยแข็งเป็นก้อนกลับอ่อนนุ่ม
ไม้เป็นพุ่มผลิใบให้เริงร่า
ผีเสื้อกรายปีกบางอย่างช้าช้า
ดอกไม้ป่าหลากสีมีชีวิต

ฝนยังอยู่ในฟ้าใช่หรือไม่
จึงพร่างพรูหล่นพรายดังใช้สิทธิ์​
เพื่อให้ฟ้าทั้งฟ้ามาเนรมิต
เมล็ดพันธุ์​ทุกทิศที่รอคอย

สิริวตี



ลงช้าไปไม่กี่นาที ขออภัยที่ไม่ได้ต่อกลอนด้านบนนะคะ

หอมไอดินกลิ่นฝนปนลมล่อง
แก้วยามต้องลมวนร่วงหล่นผล็อย
กลิ่น-สี ยาม เกลือกดินย่อมสิ้นรอย
แต่หนึ่งน้อย แก้วใจ นั้นไม่เลือน

ยังหอมหวนอวลอยู่มิรู้สร่าง
ฤๅรู้ร้างแม้กาลจักผ่านเคลื่อน
แก้วเจ้าเอย ห่างหายมิกรายเยือน
หรือลืมเงื่อนสัญญา ณ. คลานั้น

ฟ้าฉ่ำฝน ดินชุ่ม ปรนพุ่มพฤกษ์
แต่ห้วงลึกทรวงแล้งเกินแต่งฝัน
แก้วฟ้า สูงสุดฟ้า ยากฝ่าฟัน
พร้องจำนรรจ์จากนางแสนหมางเมิน

ไพร


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: มนต์คำ ที่ 07 กรกฎาคม, 2562, 03:57:11 PM
กลับมาทวงสัญญาวัสสานะ
แม้ว่าจะปลายอยู่ฤดูขาน
สักเพียงนิดอักษรสื่อกลอนกานท์
สิ้นวัสสานเหมันต์ประพันธ์รอ

พิณจันทร์

จะจากจรรอนร้างอำพรางฝัน
ลงอย่างไรพิณจันทร์  พี่ฝันก่อ-
กรองกลอนร้อยถ้อยเรียง มิเพียงพอ
พลอดพะนอห้วงอกอันรกร้าง

ตอบมาแล้วอย่าทอนอาวรณ์สวาท
ตรึงบ่วงบาศพาดสายผูกปลายต่าง-
สองถิ่นแดนสองใจอย่าให้จาง
ช่วยผูกกานท์สานวางอย่าร้างรา

จักเก็บออมถนอมคำลำนำเจ้า
คลายความเหงาเร้าทรวงยามห่วงหา
กี่ร้อยบทประพันธ์กำนัลมา
จักตรึงตราใจอยู่มิรู้ลืม

มนต์คำ


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: โซ...เซอะเซอ ที่ 08 กรกฎาคม, 2562, 08:43:02 AM
หอมไหนเลยน่าถวิลเท่ากลิ่นฝน
ยามร่วงหล่นสู่ดินตรงถิ่นนั่น
เมล็ดข้าว​ใน​นาสารพัน
ยังเติบโต​เต็มวันแม้ฝน​ซา

ดินเคยแข็งเป็นก้อนกลับอ่อนนุ่ม
ไม้เป็นพุ่มผลิใบให้เริงร่า
ผีเสื้อกรายปีกบางอย่างช้าช้า
ดอกไม้ป่าหลากสีมีชีวิต

ฝนยังอยู่ในฟ้าใช่หรือไม่
จึงพร่างพรูหล่นพรายดังใช้สิทธิ์​
เพื่อให้ฟ้าทั้งฟ้ามาเนรมิต
เมล็ดพันธุ์​ทุกทิศที่รอคอย

สิริวตี



ลงช้าไปไม่กี่นาที ขออภัยที่ไม่ได้ต่อกลอนด้านบนนะคะ

หอมไอดินกลิ่นฝนปนลมล่อง
แก้วยามต้องลมวนร่วงหล่นผล็อย
กลิ่น-สี ยาม เกลือกดินย่อมสิ้นรอย
แต่หนึ่งน้อย แก้วใจ นั้นไม่เลือน

ยังหอมหวนอวลอยู่มิรู้สร่าง
ฤๅรู้ร้างแม้กาลจักผ่านเคลื่อน
แก้วเจ้าเอย ห่างหายมิกรายเยือน
หรือลืมเงื่อนสัญญา ณ. คลานั้น

ฟ้าฉ่ำฝน ดินชุ่ม ปรนพุ่มพฤกษ์
แต่ห้วงลึกทรวงแล้งเกินแต่งฝัน
แก้วฟ้า สูงสุดฟ้า ยากฝ่าฟัน
พร้องจำนรรจ์จากนางแสนหมางเมิน

ไพร

หอมกลิ่นฟุ้ง หลังฝน ร่วงหล่นฟ้า
พัดผ่านกาล เวลา ช้านานเนิ่น
ค่อยซึมซับ หอมหวน ที่ชวนเชิญ
เมื่อดำเนิน เส้นทาง เปลี่ยวว้างเวิ้ง

ทุกย่างเหยียบ เงียบงัน ไหวหวั่นลึก
ล่วงรู้สึก มิต้อง ชิดจ้องเบิ่ง
สงบสู่ กลางใจ ใสระเริง
เกื้อดำเกิง ดำกล ในมนตรา

สารพัน ควั่นเกี่ยว ที่เลี้ยวลด
คลายเปลื้องปลด ความจริง สิ่งค้นหา
เสมือนไกล กลับใกล้ นัยนา
ครั้งหม่นฟ้า หลังฝน ผ่านพ้นไป

แบกของหนัก เหนื่อยล้า สัมภาระ
ทุกขณะ เร้ารุม คลุ้มหม่นไหม้
ครั้นปล่อยทิ้งทอดวาง หว่างครรไล
ทุกข์ร้อนใด ทั้งหมด ก็ปลดลง

เปรียบแม้นรัก นักหนา กว่าชีวิต
ผูกรั้งจิต อาลัย ด้วยใหลหลง
หากว่ารัก สิ้นเหตุ เจตจำนง
คับข้องคง ผ่อนร้าย คลายอาวรณ์

หอมกลิ่นฝน โชยมา อีกคราหนึ่ง
พาทรำพึง แว่วหวาน ถึงกาลก่อน
คล้ายแพรผลัด ฉวัดเฉวียน* เปลี่ยนอาภรณ์
พร่างพราวกลอน ใหม่เยื้อน มิเหมือนเดิม

Soul Searcher
Inspired to write 8/7/2019


ฉวัดเฉวียน : ในความหมาย วนเวียน



หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: สิริวตี ที่ 08 กรกฎาคม, 2562, 06:31:20 PM
ยังอบอุ่นห่วงใยในห้วงลึก
ทุกรู้สึกมั่นคงหนุนส่งเสริม
ทุกทุกถ้อยวาจามาตามเติม
อีกเกื้อกูลพูนเพิ่มไม่รู้คลาย

เสมือนฝนเพิ่งซาใช่ลาจาก
หนึ่งเม็ดฝนหล่นฝากไม่ขาดสาย
จนเป็นหนึ่งฤดูไม่รู้วาย
ให้หนึ่งฝนกลับกลายเป็นหนึ่งปี

บันดาลทุ่งธัญญาปลาในน้ำ
คลองที่คล้ำกลับใสเริ่มไหลรี่
ไม่มีใครและใครในโลกนี้
จะยืนอยู่กับที่, ไม่มีใคร

แต่ละก้าวค่อยค่อยก้าวจึงก้าวหน้า
หากวันที่พลาดมาก็ก้าวใหม่
ทุกครั้้งตื่นจากฝันที่ผันไป
ยังคงมีแรงใจไม่เว้นวัน

สิริวตี

ไม่ค่อยว่างเข้ามา สวัสดีทุกๆท่านนะคะ


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: มนต์คำ ที่ 08 กรกฎาคม, 2562, 07:00:06 PM
หอมกลิ่นฝน โชยมา อีกคราหนึ่ง
พาทรำพึง แว่วหวาน ถึงกาลก่อน
คล้ายแพรผลัด ฉวัดเฉวียน* เปลี่ยนอาภรณ์
พร่างพราวกลอน ใหม่เยื้อน มิเหมือนเดิม

Soul Searcher
Inspired to write 8/7/2019

ฉวัดเฉวียน : ในความหมาย วนเวียน


โลกสวย

บางไม้ดอกออกระบัดยามผลัดช่วง
บางพรรณร่วงโรยราแผกคลาเริ่ม
บางสิ่งวายบางสิ่งรอ คอยต่อเติม
มีทั้งเพิ่ม ทั้งลด ตามกฏกาล

หาใดเล่ามั่นคงดำรงอยู่
โดยมิรู้เสื่อมทรามในยามผ่าน
สรรพสิ่งย่อมสลายมลายราน
แม้ลมปราณคราวหยุดก็สุดยื้อ

ที่ปลายทางมีแต่ผู้แพ้พ่าย
เป็นบั้นปลายชีพชนอาจพ้นหรือ
ระหว่างทางทอดสู่อาจรู้ฤๅ
อาจสิ้นชื่อสิ้นนามทุกยามกลาย

จึงทุกสิ่งต่างแทรกความแปลกเปลี่ยน
อันหมุนเวียนตามกาลที่ผ่านสาย
หากละห้อยละเหี่ยแต่เสียดาย
คงสุดท้ายลาโลกอย่างโศกซม

มาเถอะเสพความสุขไปทุกก้าว
รอนเหน็บหนาวร้าวร้างลงวางถม
โลกยังคงสวยงามให้ตามชม
เพื่อรื่นรมย์ตราบที่ยังมีปราณ

มนต์คำ

ช้ากว่าน้องวตีไปอีก สวัสดีครับผม


หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: โซ...เซอะเซอ ที่ 10 กรกฎาคม, 2562, 07:56:48 PM

“กลอนเฒ่า เล่านิทาน”

คืออบอุ่น ทรงจำ คำเรียงร้อย
ชื่นชดช้อย พาที ที่ฉ่ำหวาน
คืออาบเอิบ สดใส ในดวงมาน
ครั้งคราอ่าน อักษร ประอรเอียง

คือหยาดหยด นิยาม งามภาษา
ผิแม้นว่า โลกศิลป์ เชื่อมจินต์เสียง
คือขับกล่อม เพลงกานท์ ผ่านสำเนียง
แจ้วจำเรียง โลมหาว และดาวเดือน

รู้ทั้งรู้ จีรัง มิยั้งยืด
สว่าง-มืด สุดท้าย กลายคล้อยเคลื่อน
ถูกห้วงกาล กลืนลับ แล้วดับเลือน
หากฟั่นเฟือน ฝืนฝ่า ขมปร่าทุกข์

เปรียบชีวิต นั้นหรือ คือย่างก้าว
สู่เรื่องราว ใหญ่กว้าง หนทางสุข
แล้วไฉน ใจเรา แอบเคล้าคลุก
เฝ้าย้อนยุค ความหลัง หยั่งทรวงชิด

เสมือนยิ่งไขว่คว้า ยิ่งพาห่าง-
จากเส้นทาง ทอดไว้ ในลิขิต
ยังเกลือกกลั้ว กังวล บนความคิด
คล้ายหลงติด กับดัก ผลักมิพ้น

สูงสุดสู่ สามัญ นั้นเที่ยงแท้
ทุกข์ทน แก่ เจ็บ ตาย มลายป่น
ฉุกคาดหวัง ผิดหวัง ดั่งร้อนรน
จวบกระมล ผินวาง จึ่งบางเบา

อยากเขียนกลอน อ่อนไหว ใส่สำนึก
ทุกยามตรึก อาจหาญ แม้นานเก่า
แต่บางครั้ง ลืมสำรวจ ตรวจใจเรา
จึงเป็นได้ เพียง”กลอนเฒ่า เล่านิทาน”

Soul Searcher
Inspired to write 10/7/2019




หัวข้อ: Re: วัสสานะฤดู
เริ่มหัวข้อโดย: สิริวตี ที่ 10 กรกฎาคม, 2562, 08:07:46 PM
เมื่อลุงมาพาทีที่ชอบโม้
จึงคุยโวความเก่าอยากเล่าขาน
ด้วยเรื่องเพียงดอกฝันเมื่อวันวาน
เป็นตำนานเท่าไหร่ยังไม่รู้

ฉันก็รออ่านแล้วรออ่านเล่า
แต่ทุกเรื่องยังเมาความหดหู่
จะโปรยอีกนานไหมให้คนดู
นั่งเงือกแห้งฟังอยู่ตั้งหลายวัน

สิริวตี
สบายดีเน้ออออออ :27: