สภาพสังคมปัจจุบัน ทำให้มนุษย์เรากลัว
http://www.naturedharma.com/data-1433.html สภาพสังคมปัจจุบันทำให้คนเรามีความกลัวหลายอย่าง ปัจจุบันคนเรามีความหวาดกลัวในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เรื่องสารเคมี ภัยธรรมชาติ ลักษณะที่คล้ายคลึงกับสองอย่างที่ยกมานั้นมีมาก ซึ่งยังเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่คนเรากลัวมากเท่าไร สิ่งที่น่ากลัว น่ากังวลมากที่สุดของคนเราปัจจุบันก็คือ กลัวไม่มีเงิน กลัวไม่มีทรัพย์สิน กลัวอนาคตของทายาท
ความกลัวทั้งสามอย่างที่กล่าวมาสืบเนื่องจากสภาพของสังคม สังคมที่ว่าด้วยเศรษฐกิจ มุ่งผลกำไรขาดทุน มีการลงทุน มีการแข่งขัน ค่านิยมวัตถุที่ถูกมอมเมา โฆษณา ล้างสมองจนเข้ามาร่วมด้วยในรูปแบบต่าง ๆ ที่เราไม่รู้ตัว (เรื่องเหล่านี้จำนำมาพูดคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง)
คนเรากลัวไม่มีเงิน เมื่อสังคมกำหนดเงินตราเป็นมูลค่าเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งของจำเป็น หรือไม่จำเป็น (สิ่งของที่จำเป็น เช่นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ฯลฯ สิ่งของที่ไม่จำเป็น เช่น เครื่องประดับ ของตกแต่งอื่น ๆ ฯลฯ ) ทุกคนก็ต้องหาเงิน ต้องดิ้นรนหาอาชีพ เพื่อความอยู่รอดของตน คือต้องนำเงินมาจับจ่ายในสิ่งที่ตนเองจำเป็น หรืออยากได้ครอบครอง สมัยเมื่อ 50 ปีก่อนแทบไม่ต้องใช้เงิน เพราะ คนสมัยนั้นยังนิยมนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกัน (เรื่องการใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนจะยกมาพูด เฉพาะเรื่องอีกครั้ง)
คนเรากลัวไม่มีทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่กลัวมากที่สุดคือที่ดิน ที่ดินไม่เกิด ที่ดินไม่งอก ที่ดินยังมีเท่าเดิม คนเพิ่มขึ้น ความต้องการที่จะเป็นเจ้าของจึงมากเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ทำให้ที่ดินมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนเราจึงดิ้นรนทุกวิถีทางให้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทรัพย์สินอื่น ๆ ก็มีการกักตุนซื้อไว้หากมีอำนาจซื้อ
ประการที่สามคือกลัวอนาคตของทายาท ประกาศนียบัตร ปริญญาบัตรเป็นใบเบิกทางเข้าทำงาน พ่อแม่ต่างดิ้นรนขวนขวายให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่เขาว่าดีใช้เงินใช้ทองเท่าไรไม่ว่า เสียค่าสมาคมเท่าไรก็ยอม ค่าเทอมเท่าไรไม่มีปัญหา ลูกต้องอยู่หอพัก ต้องเช่าบ้านก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อแม่ คว้าไว้ก่อน เรื่องการเงินจะสดจะผ่อนค่อยแก้ปัญหา เมื่อจบปริญญาต่างชื่นใจ แต่น้ำตาไหลตอนตกงาน
ความกลัวเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ดิ้นรนใฝ่คว้า ปัญหาที่ตามมาจึงมากมาย ล้วนสร้างความวุ่นวายกับสังคม สมควรหรือไม่ที่จะหันกลับมาดำรงชีวิตอย่างพอดี มาร่วมใจร่วมรักสามัคคีหาแนวทางในเรื่องนี้ให้อยู่ดีอย่างยั่งยืน เราไม่ต้องกลัวเรื่องอื่นใด เพราะเราอยู่อย่างถูกต้อง อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข
เมื่อท่านอ่านมาตรงนี้ท่านคงนึกค้านอยู่ในใจว่า ไม่ดิ้นรน ไม่ศึกษาหาความรู้แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร ท่านจงทำความเข้าใจกับความเคยชิน ความรู้สึกของท่าน
ที่ท่านมีเป็นพื้นฐานอยู่ในขณะนี้ ในความคิดของท่านยังคิดดิ้นรนในสามประการใหญ่ที่กล่าวมา เพราะเรากลัวอย่างที่ว่า หากเรารู้จักจัดระบบการอยู่ร่วมกันอย่างพอมีพอกินเราก็จะไม่กลัวเรื่องที่กล่าวมาเลย เราอยู่อย่างสบาย
ขอถามท่านว่า "วันหนึ่ง ๆ ท่านต้องการอาหารสักเท่าไร" ที่ถามเช่นนี้ก็เพราะเราอยู่เพียงพอกิน ไม่ต้องกักตุน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเผื่อลูกหลานแล้วเราจะดิ้นรนไปทำไม เรามาดิ้นรนเรื่องต่อไปนี้เท่านั้น
1. เราศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า วิจัยว่า เราจะวางแผนการใช้เนื้อที่ผลิตอาหารสำหรับชุมชนที่เราจัดไว้สักเท่าไร
2. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า วิจัยว่า อาหารที่เราจะรับประทานที่มีประโยชน์ที่สุดเป็นอาหารในรูปแบบใด มีอาหารประเภทใดบ้าง
3. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า วิจัยว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือวิธีใด และทำอย่างไร
4. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า หาวิธีนันทนาการที่ก่อให้เกิดความสุนทรีย์ต่อด้านจิตใจมนุษย์มากที่สุด เรามีงานศิลปะทุกแขนงเพื่อการอยู่ร่วมที่มีสุขคืองานศิลปะอะไรบ้าง ร่ายรำ ละคร วาด ปั้น เพลง ฯลฯ
5. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อค้นคว้า วิจัยว่า สบู่ ผงซักฟอก เสื้อผ้า เราจะจัดการด้วยวิธีใดอย่างไร
6. เราศึกษาว่ารัฐบาลของเราจะบริหารวิธีใดให้สอดคล้องกับการอยู่ร่วมในสังคมของเรา
7. โรงเรียนของเรา มหาวิทยาลัยของเรา ผลิตนักศึกษาเพื่อ คันคว้า วิจัย ในทุก ๆ ด้านที่เราอยู่ร่วมกันอย่างพอเพียง และมีความสุขของสังคมมนุษย์อย่างถูกวิธี สร้างสรรค์ด้านจิตใจ ด้านคุณธรรม
ขอฝากเพลงเพื่อชีวิต
ความพอดี
อยู่กันอย่างผิดผิด ชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย
อยู่กันอย่างไม่สบาย
จนเฒ่าแก่ตาย อยู่อย่างวุ่นวายเรื่อยมา (ซ้ำ)
อยู่กันเกินพอดี หนี้สินมากมีล้นฟ้า
วุ่นวายกับวัตถุเงินตรา
เสียดายเวลา ที่ปล่อยให้ฆ่าจิตใจ (ซ้ำ)
อยู่กันอย่างพอดี พอมีพอกินพอใช้
กักตุนกันไปทำไม
หยุดโลภงมงาย สุขกายสบายใจแน่นอน (ซ้ำ)
อยู่กันอย่างพอเพียง ไม่เสี่ยงและไม่รุ่มร้อน
กายใจได้พักผ่อน
โรคร้ายไกลจากจร ความทุกข์เร่าร้อนไม่มี (ซ้ำ)
อยู่กันอย่างธรรมชาติ จิตใจสะอาดสดสี
ไม่เปรอะเปื้อนราคี
งามสง่าราศี อยู่ด้วยดีเพราะคุณธรรม (ซ้ำ)