ธรรมชาติธรรมคือผู้ให้ชีวิต
ก่อนที่จะพูดเรื่องธรรมชาติคือผู้ให้ชีวิตแก่มวลมนุษยชาติก็จะพูดถึงสิ่งสำคัญที่ยังอยู่เหนือธรรมชาติบนโลกเรา เพื่อชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
แต่ถ้าเรายกสิ่งที่มีความสัมพันธ์ สิ่งเกี่ยวข้องทั้งหมด ก็พูดกันไม่จบ ขอเอาสิ่งใกล้โลกที่สุด คือพระอาทิตย์ นำมากล่าวไว้เพื่อช่วยเตือนจิตใจเราว่า"มนุษย์ต้องรู้คุณค่า รู้คุณขอสภาพแวดล้อมใกล้ตัวทุกอย่าง จะได้ไม่หลงลืมตัว จะได้ไม่เป็นผู้สร้างปัญหา และที่สำคัญต้องศึกษาหาความรู้เพื่อการอยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมเหล่านี้อย่างมีคุณค่าที่สุด"
ขอยกโคลงสี่สุภาพ กล่าวถึงพระคุณของพระอาทิตย์
พระอาทิตย์
พระอาทิตย์แห่งเจ้า จักรวาล
คุณยิ่งมโหฬาร ล้นหล้า
แสงทิพย์ส่องบริการ แก่โลก
พืชสัตว์มนุษย์ถ้วนหน้า เกิดได้เพราะสุรีย์
อาทิตย์ดับโลกม้วย มืดดับ
ดับบ่อเกิดสรรค์สรรพ แห่งหล้า
อาทิตย์ค่าคณานับ เหนือสิ่ง ใดเอย
อาทิตย์เปรียบดุจหว้า แม่เจ้าปฐพี
แสงสุรีย์ให้พืช พันธุ์ทวี
สัตว์พึ่งพืชชีพมี อยู่ได้
มนุษย์ฝากชีวี กับพืช สัตว์เอย
มวลพืชมอบฝนให้ แห่งน้ำสายธาร
มนุษย์เอ๋ยระลึกบ้าง บาปบุญ
ใครเล่าคอยเกื้อหนุน ชีพให้
ขอจิตเมตต์การุญ รักเพื่อน มนุษย์แฮ
ประหนึ่งแทนคุณ แห่งเจ้าจักรวาล
ในเนื้อความโคลงบอกถึงคุณค่าของพระอาทิตย์ที่มีต่อโลกเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมที่มีต่อกัน ทุกอย่างเกื้อหนุนต่อกัน น่าจะลงตอนท้ายด้วยการให้มนุษย์แทนบุญคุณสิ่งต่าง ๆ ที่มีพระคุณต่อมนุษย์ แต่กลับขอร้องให้มนุษย์หันมารักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อแทนการทดแทนบุญคุณของพระอาทิตย์ พอจะนำข้อคิดจากโคลงทั้ง 4 บทนี้มาเชื่อมโยงกับเรื่องที่จะกล่าว"ธรรมชาติคือผู้ให้ชีวิตแก่มวลมนุษยชาติ"
เรื่องที่จะทำความเข้าใจต่อไปก็คือเรื่องคุณค่าของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์เรา
ธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญยิ่งของการดำรงชีพของสรรพสัตว์ในโลก ทุกคนคงรู้จักป่าไม้ ทะเล ขอเอาธรรมชาติแหล่งใหญ่ 2 แหล่งนี้ เชื่อมโยงด้วยกัน และยังสัมพันธ์กับธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย
ป่าไม้เป็นแหล่งธรรมชาติที่เป็นตัวจักรแม่ที่สำคัญป่าไม้เป็นให้ความชุ่มชื่นทำให้ฝนตก ป่าไม้เป็นโรงครัวขนาดใหญ่ที่ผลิตอาหารให้สัตว์โลกป่าไม้ทำให้ฝนตก ความร่มเย็น ความชื่นฉ่ำ ที่เป็นผลมาจากป่าไม้ ทำให้เมฆกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ และตกลงมาเป็นฝน ฝนตกลงมาสู่ที่สูง เช่นภูเขาและตกลงมายังพื้นราบทั่ว ๆไป น้ำไหลลงสู่ บึง หนอง ห้วย ลำธารลำคลอง แม่น้ำ และที่สุดก็ไหลลงสู่ทะเล
บึง หนอง ห้วย ลำธาร ลำคลอง แม่น้ำ และทะเล ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และสัตว์บกทั่วไป บริเวณริมบึง หนอง ห้วย ลำธาร ลำคลอง และแม่น้ำ ดินจะอุดมสมบูรณ์เนื่องจากเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจะพัดพาผิวดินที่มีปุ๋ย ซากพืช ซากสัตว์ มาทับถมบริเวณนี้ ทำให้พืชพันธุ์เจริญงอกงาม และหนาแน่น ป่าไม้แถบนี้จึงเป็นแหล่งอาหารของสัตว์อย่างดี ประกอบกับบริเวณที่มีน้ำจะมีสัตว์น้ำชุกชุม ทำให้สัตว์ที่กินสัตว์น้ำเป็นอาหารพลอยชุกชุมด้วย เช่น นกน้ำ งู นาค จระเข้ เสือปลา ฯลฯ สัตว์ที่จับสัตว์อื่นเป็นอาหารก็จะตามมาเช่นกัน
แม้แต่มนุษย์เราก็จะอาศัยลำน้ำเป็นแหล่งพึ่งพิง เพราะที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหาร การคมนาคมก็สะดวก เพราะสมัยก่อนใช้ทางน้ำเป็นเส้นทางคมนาคม ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะพบว่า ริมฝั่งแม่น้ำที่สำคัญ ๆ ทุกแห่งในโลก เป็นแหล่งเกิดอารยธรรมของมนุษย์แทบทั้งสิ้น
ทะเลเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด น้ำจากห้วยหนองคลองบึงต่างไหลลงสู่ทะเล ทะเลเปรียบเสมืออ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุด น้ำที่ระเหยจากทะเลจะเข้าสู่วัฏจักรการเกิดฝนต่อไป
ทะเลเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุด ทะเลจึงเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ (หากมนุษย์ยังบริโภคเนื้อสัตว์)
ที่กล่าวมาเป็นเรื่องแม่บทใหญ่ที่ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ต้องพึงพาธรรมชาติ ด้วยเหตุผลนี้เองที่เรา ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ถูกต้องไม่เช่นนั้น ภัยพิบัติต่าง ๆ จะตามมาดังที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบันนี้
ภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น โลกร้อน พายุ อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ ดินเป็นพิษ ระบบนิเวศถูกทำลายซึ่งทำให้ผลเสียอื่น ๆ ตามมา
เรื่องของระบบนิเวศเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับ โลกร้อน พายุ อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ ดินเป็นพิษ มีวิชาที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้คือ "นิเวศวิทยา" นิเวศวิทยาคือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ"ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" (สองเรื่องนี้จะยกเปรียบเทียบให้เห็นต่อไป)
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องกว้าง ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ต้องพึ่งธรรมชาติ ภัยพิบัติกำลังตามมาเพราะเราอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างผิดวิธี เรื่องเหล่านี้จะนำมาแสดงทัศนะอย่างพิสดารเป็นเรื่อง ๆ ต่อไป
http://www.naturedharma.com/data-1435.html