.. 16
O กระโปรงดำเสื้อขาว .. ค่อยก้าวย่าง
แก้มคิ้วคางเนตรคม .. งามสมหน้า
มีจิตใจมุ่งมั่นคอยบัญชา
เร่งศึกษาเรียนรู้ .. ไม่ดูดาย
O ใจเลื่อนลอยล่องไปสู่ใครหนึ่ง-
ที่คำนึงซึ้งอยู่ไม่รู้หาย
แต่จากกันห่างเห็น .. เหมือนเร้นกาย
หรือสิ้นสายเยื่อใย .. ร้างไมตรี ?
O บ่อยครั้งที่ใจหญิง .. ทั้งนิ่งเงียบ
หวังปรุงเปรียบความหมายออกคลายคลี่-
เพื่อหล่อเลี้ยงเจตจินต์ .. ให้ยินดี-
ต่อครั้งที่โน้มเหนี่ยวก้อยเกี่ยวกัน
O นั่งเหม่อลอยปล่อยฝัน .. สู่วันเก่า
ด้วยเงียบเหงาหัวใจ .. ด้วยไหวหวั่น
ด้วยเหว่ว้า .. เกินคำจักรำพัน
ใจเอยหัวใจขวัญ .. เจ้าสั่นคลอน
O หนังสือวางตรงหน้า .. ใบหน้าก้ม
หากสุดข่มใจจดกับบทสอน
บางความหมายรุมเร้า .. แสนเว้าวอน-
พาความอ่อนหวานพร้อม .. เข้าล้อมใจ
O จนอีกปลายม้านั่ง .. คล้ายดั่งเคลื่อน
คล้ายใครนั่งแล้วเขยื้อน .. ขยับใกล้
จนวงหน้ารูปเรียว .. เบือนเหลียวไป
แล้ว-ดวงใจดวงนั้น .. ก็สั่นสะท้าน !
O นิ่งขึงตะลึงงัน..เมื่อพลันพบ
คล้อยบรรจบรูปฝัน..เมื่อวันผ่าน
ที่..ระทึกเต้นรับอยู่นับนาน
คือใจคราญหวานล้ำ..เข้ากล้ำกราย
O เถิด-แววเนตร..ฝืนอาย..รำบายบอก
ให้ระลอก..อ่อนโยน..นั้นโชนฉาย-
แรงอาวรณ์..ซาบซึ้ง..ต่อหนึ่งชาย
สืบความหมาย..สัมพันธ์..นิรันดร
O เมื่อมือรวบ..มือนุ่ม..เข้ากุมกอด
จิตฤๅคลายพร่ำพลอด..กับออดอ้อน
เมื่อเนตรคราญผ่านเงา..แทนเว้าวอน
จิตก็อ่อนโยนเหลือ..ด้วยเยื่อใย
O ยิ้มให้ด้วยหัวใจ..ที่ใฝ่ถึง
ด้วยซาบซึ้งต่อกัน..ด้วยหวั่นไหว
ด้วยถวิล..ปรารถนา..ด้วยอาลัย
ด้วยเยื่อใย..สายสวาดิ..พันพาดทรวง
O มือตระกองรูปหน้า...สบตาจ้อง
ใจสี่ห้อง..ผ่องแผ้วไม่แล้วล่วง
พระเอย..ฤๅนัยคำ..ที่บำบวง
จะเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ
O เคลื่อนคล้อยเกี่ยวก้อยกุม..ลับมุมตึก
ร่มเงาพฤกษ์บดบัง..คล้ายดั่งม่าน-
ก็รวบร่างจบจูบ..จน-รูปคราญ-
ใจหวิวหวั่นสั่นสะท้าน..ระทวยองค์
O อ่อนไหวด้วยอ่อนหวาน..ใครผ่านสู่
เมื่อรับรู้เร้ารุม..ก็ลุ่มหลง
ท่ามระลอกชื่นชู้..ฤๅรู้ปลง
เหลือแต่ร่วมจำนง..ร่วมวงกรรม
O มือเกาะแขน-เนตรรื่น..ใจตื่นรับ
ร่วมลำดับอภิรมย์โบยบ่มร่ำ
ขณะสูรย์พร่างแพร้ว..ลมแผ่ว-พรำ
กระซิบคำ-คำหนึ่งก็ตรึงทรวง
O จับจูงมือก้าวย่างในทางเที่ยว
ความเปล่าเปลี่ยวใจแก้วก็แล้วล่วง
เหลือหวานหอมหลอมหลั่ง..ใจทั้งดวง
ทั้งแหนหวงห่วงหาทั้งอาวรณ์
O รอเถิดรอบ..รมยารูปราศี
แม้นกุมเก็บใจนี้..หลบลี้-ซ่อน
จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร
ตราบม้วยมรณ์วง-วัฏฏ์เป็นภัสม์-ธุลี
จบ