Username:

Password:


  • หน้าแรก
  • ห้องสนทนา
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ.. >> บทกลอนไพเราะ >> เรื่องสั้น แนวนิยาย >> “ใต้ฟ้าน้ำเดียวกัน”
หน้า: [1]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: “ใต้ฟ้าน้ำเดียวกัน”  (อ่าน 29 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Msp.
หนึ่งวินาทีในหัวใจคน..ไม่เท่า
บรรณารักษ์
*****
<font color=gray><b>ออฟไลน์</b></font> ออฟไลน์

กระทู้: 1384


รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคุณ คือรางวัลอันยิ่งใหญ่

เว็บไซต์

ผู้เริ่มหัวข้อนี้
| |
“ใต้ฟ้าน้ำเดียวกัน”
« เมื่อ: 5 ชั่วโมงที่แล้ว »
หน้าแรกหน้าแรก

“ใต้ฟ้าน้ำเดียวกัน”


กริ๊ง...กริ๊ง...

พีรดาเปิดม่านหน้าต่างเห็นพนักงานส่งพัสดุกำลังกดโทรศัพท์ในมือ

“ของที่สั่งน่าจะมาแล้ว” พีรดานึก พร้อมกับวิ่งลงชั้นล่างไปเปิดประตูรั้วรับพัสดุ

ทันทีที่เอื้อมมือรับพัสดุ สายตาก็เหลือบมองไปเห็นหน้าบ้านฝั่งตรงข้าม
ภาพความทรงจำก็ผุดขึ้นมาในสมอง

“คนตาย หน้าบ้านนั้นมีคนตาย ตายเพราะเหล้าฟรีแท้ๆ”
พีรดาถอนหายใจเบาๆ

“มันผ่านไปแล้ว พีรดา”

หลายปีแล้วยายของพีรดาป่วย พีรดาจำเป็นต้องลาออกจากการเป็นครู
มาดูแลจนสิ้นยายอันเป็นที่รัก พีรดากำพร้าพ่อแม่ มีแต่ยายที่เลี้ยงดูมา
ตอนนี้พีรดาไม่มีใครอีกแล้ว ไม่มียายให้กอด

“เธออยู่คนเดียวได้..พีรดา”
ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์เข้ามาในชีวิต เธอจะคิดถึงยาย  

ระหว่างดูแลยายตอนป่วย พีรดาหาจับงานเขียนและรับงานเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์
เขียนคอนเทนต์ เขียนรีวิวสินค้า พอได้จุนเจือค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง
ชีวิตวนอยู่กับบ้าน  คาเฟ่ อินเทอร์เน็ต และห้องนอนเงียบ ๆ
 
เธอคุ้นชินกับการเฝ้ามองโลกจากหลังจอ
คุ้นกับการฟังเรื่องราวของคนอื่น มากกว่าการต้องลงไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ

“ฝนตก!” พีรดารีบวิ่งไปเก็บผ้าที่ตากไว้
“ตกหนักไม่หลับไม่นอนเลยนะฝน” พีรดาพึมพำ เห็นน้ำที่ปริ่มพื้นก็เริ่มกังวล

ฝนโปรยลงมาในวันแรกเหมือนเรื่องธรรมดา
วันที่สองเหมือนบททดสอบ
วันที่สามเหมือนคำเตือน
และในวันที่ห้า… พีรดารับรู้กับเมืองทั้งเมืองก็พร้อมกันว่า
นี่ไม่ใช่แค่ “ฝนตกหนัก” อีกต่อไป


“ใต้ฟ้าน้ำเดียวกัน”

ติ๊ด...ติ๊ด...เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น

“สวัสดีค่ะ..” พีรดาไม่ทันได้พูดอะไร ปลายสายก็พูดรัวขึ้น
“น้องดาคะ งานนี้น้องดาสะดวกไหมเราต้องการคน....”  

พีรดาถือโทรศัพท์ค้างอยู่ครู่หนึ่ง
สายฝนกระหน่ำลงบนหลังคาและสรรพสิ่งอื้ออึงจนเสียงดังกลบความคิด
เธอมองรองเท้าบูทเก่าคู่นั้นที่วางอยู่มุมบ้าน เปื้อนโคลนแห้งจากน้ำท่วมครั้งก่อน

หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ไปค่ะ”
เธอพูดทั้งที่ยังหายใจไม่ทัน “เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

ฝนตกต่อเนื่องมาเป็นวันที่ห้าแล้ว
เสียงฟ้าครืนครืนแผ่วเหมือนลมหายใจของเมืองกำลังจะหมดแรง
พีรดาดันหมวกกันน็อกให้กระชับ
ก่อนจะปีนขึ้นท้ายเรือท้องแบนของทีมกู้ภัยเฉพาะกิจ ทั้งที่ไม่เคยผ่านการฝึก
ไม่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองจะต้องมาอยู่กลางสายน้ำเชี่ยวเช่นนี้

สายน้ำที่เคยเป็นเพียงร่องระบายน้ำหน้าอำเภอ
กลับกลายเป็นแม่น้ำสายใหม่ที่กินถนนทั้งแผ่นไปจนหมด

“มีเคสหลังชุมชนคลองเก่า น้ำขึ้นอีกยี่สิบเซนในครึ่งชั่วโมง!”

เสียงเพื่อนในทีมตะโกนแข่งสายฝน

“รีบไปก่อนมืด ฟ้าไม่โอเคเลยวันนี้!”


พีรดาพยักหน้า เธอไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นฮีโร่
เธอเป็นแค่คนธรรมดา ที่เคยได้แต่เฝ้ามองข่าวภัยพิบัติจากหน้าจอ
แต่วันนี้ บ้านของเธอเองก็กำลังอยู่ในเส้นทางของน้ำเช่นเดียวกัน
และเธอรู้ตัวดีว่า ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวขึ้นเรือลำนี้
ชีวิตของ “นักเขียนที่เคยมองโลกจากระยะปลอดภัย”
จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



"เมืองที่หายไปในน้ำ"

เรือค่อยๆ แล่นผ่านที่ที่เคยเป็นซอยแคบ ๆ
กลิ่นโคลนเหม็นอับและกลิ่นของเน่าเจือจางลอยคลุ้งมากับลมหายใจ
น้ำที่กระทบผนังบ้านดังปึงปังราวกับเมืองกำลังถูกทุบจากด้านใน
ทุกก้าวที่เธอลุยผ่านไป น้ำหนืดเหมือนดึงข้อเท้าไว้ไม่ให้หนีจากมันง่าย ๆ
บ้านไม้ริมทางวัด ตอนนี้กลายเป็นทะเลสีเทา
สังกะสีลอยกระทบกันเสียงแหลมๆ เหมือนขอความช่วยเหลือ
พวงมาลัยที่เคยปักหน้าบ้าน ลอยเฉียงคล้ายกำลังไหว้ฟ้าให้หยุดร้องไห้เสียที

“พี่คะ! มีเด็กอยู่บนหลังคา!” พีรดาชี้ไปยังบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง

น้ำสูงจนถึงป้ายเลขบ้านแล้ว เด็กผู้หญิงราวสิบขวบกว่าเกาะอยู่บนหน้าต่างสีลอก
มือหนึ่งกอดสุนัขตัวเล็กไว้แน่น
ทีมพีรดารีบพาเรือเข้าใกล้ เด็กตะโกนทั้งน้ำตา

“แม่กับยายอยู่ชั้นล่างค่ะ ประตูเปิดไม่ออก!”


ทันทีที่เธอก้าวลงจากเรือ น้ำเย็นเฉียบเสียดเข้าขา
พีรดารู้สึกหัวใจบีบตัวเหมือนถูกมือมองไม่เห็นกดทับ
เธอผลักประตูที่บวมเพราะน้ำอย่างแรง
อีกสองคนเข้ามาช่วย ก่อนประตูระเบิดออกเหมือนหายใจเฮือกสุดท้าย

แม่และยายสำลักน้ำ ไอออกมาเป็นสายยาว แต่ยังมีชีวิต
โชคดี…วันนี้ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่



"เสียงเมืองร่ำไห้"

ทั้งวันมีแต่เสียง
เสียงคนเรียกหาคนรักที่ถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา
เสียงของสิ่งของที่ลอยจากมือไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
เสียงร้องไห้ที่แตกหักเหมือนแก้วบาง ๆ ในน้ำขุ่น
และเสียงหนึ่ง…ที่พีรดาจำได้ชัดที่สุดในวันนั้น
เป็นเสียงของ “แม่” คนหนึ่ง
ที่ยืนอยู่กลางน้ำท่วมถึงอก
ผมเปียกแนบหน้า เสื้อผ้าเปื้อนโคลนทั้งตัว
ดวงตาเบิกกว้างเหมือนคนที่ยังไม่เชื่อว่าลูกหายไปจริง ๆ

“ต้น…ต้นอยู่ไหนลูก”


เสียงเธอตะโกนแตกพร่าจนสุดเวียง
เรียกชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคาถาที่หวังให้ปาฏิหาริย์เกิด
เธอลุยน้ำไปทีละก้าว
มือควานหาไปในน้ำขุ่นเหมือนควานหาเงาในความมืด

พีรดารีบเข้าไปประคองแขน

“พี่…ตั้งสติก่อนนะคะ เราจะช่วยกันหา”

แต่แม่คนนั้นกลับส่ายหัวแรง ๆ

“น้ำไหลแรงมาก น้องลื่นมือหลุดจากแม่ไป ต้น....”


เสียงตะโกนของแม่เรียกหาลูกชายของเธอ

น้ำเสียงนั้นสั่นจนพีรดารู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกบีบ
ทีมกู้ภัยกระจายกำลังค้นหา
ตะโกนเรียกชื่อเด็ก ฝ่าสายน้ำที่ไหลวนสับสน
แต่น้ำในวันนั้น…เหมือนน้ำที่ไม่มีเป็นมิตรกับมนุษย์เอาเสียเลย
มันซ่อนทุกอย่างไว้ในเงามืดของมัน
และเวลาผ่านอย่างเชื่องช้า สวนทางกับน้ำที่ไหลท่วมบ้านเรือนอย่างรวดเร็ว
ช่างโหดร้าย

เมื่อเสียงความหวังเริ่มแผ่วลง
พีรดาก็ยังคงนั่งอยู่ข้างแม่ที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่นเทา
จับมือที่เย็นเฉียบไว้แน่น
เธอไม่พูดอะไร
เพราะในบางช่วงเวลา
คำพูดไม่อาจทำหน้าที่แทน “การอยู่ข้างกัน” ได้เลย



"น้ำหลงทิศ"

ตลอดสามวันนั้น ฝนตกไม่หยุดแม้เพียงชั่วโมงเดียว
เมฆดำทับซ้อนกันแน่นเหมือนฟ้าถูกปิดด้วยฝ่ามืออันมหึมาของยักษ์
กลางวันมืดเหมือนพลบค่ำ
กลางคืนมืดจนแยกไม่ออกว่าเส้นขอบฟ้าอยู่ตรงไหน
หน่วยพยากรณ์บอกว่า “ฝนตกหนักสลับหนักมาก”

คำว่า หนัก ในรายงานสถานการณ์ข่าว
ไม่เคยหนักเท่ากับที่ผู้คนต้องเหยียบย่ำมันด้วยเท้าเปล่า

เขื่อนเหนือเมืองเต็มจนไม่สามารถระบายออกได้
น้ำที่ควรจะไหลตามธรรมชาติ
ถูกบังคับให้หยุด
ถูกผลักให้ย้อน
ถูกกดให้ค้างอยู่ในที่ที่มันไม่ควรอยู่
ราวกับสายน้ำทั้งสายกำลังหลงทิศ
หลงทาง
และพาผู้คนจำนวนมาก
หลงชีวิตไปพร้อมกัน
น้ำเอ่ออยู่บนถนน
ค้างอยู่หน้าบ้าน
กดทับอยู่ในตรอกซอย
เหมือนลมหายใจที่ถูกบังคับให้กลั้นไว้จนปอดแสบร้อน

พีรดามองผิวน้ำที่ไหลวนวกไปวนมา
มันไม่วิ่งไปข้างหน้าอย่างที่น้ำควรเป็น
แต่มันเหมือนกำลัง “วนกลับมาซ้ำเติม” ทุกชีวิตที่อยู่ตรงนั้น

ฟ้าฝนในปีนี้ไม่ใช่แค่โกรธ
เหมือนอารมณ์วิปลาส
ฟาดงวงงาป่าเถื่อน
ไม่เลือกบ้าน
ไม่เลือกคน
ไม่เลือกความดีหรือความชั่ว
ใครอยู่ต่ำกว่าแนวภัย
ก็ถูกกลืนลงไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น

พีรดารู้สึกในวินาทีนั้นว่า
เมืองทั้งเมืองไม่ใช่แค่จมน้ำ
แต่มันกำลัง หลงทิศทางของตัวเอง อย่างช้า ๆ
และไม่มีใครรู้เลยว่า
ปลายทางของสายน้ำสายนี้
จะพาทุกชีวิตไปสิ้นสุดตรงไหน



"เกือบไปและมือใครหนึ่ง"

ช่วงหัวค่ำ
ฝนยังไม่ซา
แสงไฟฉายบนเรือสั่นพร่าเหมือนเมืองกำลังหายใจติดขัด
เรือของทีมพีรดาเอียงวูบเมื่อชนเข้ากับลังอิฐที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำ
แรงกระแทกทำให้เธอเสียหลัก เท้าลื่น
ร่างเอนไปข้างหน้า

ในจังหวะที่โลกทั้งใบเหมือนจะคว่ำลงในน้ำสีดำ
มีมือหนึ่งคว้าแขนเธอไว้แน่นจนเจ็บ

“อย่าโง่!”


เสียงเขาดุห้วน แต่แขนที่จับเธอกลับมั่นคงเหมือนเสาหลัก
พีรดาหอบหายใจ
หัวใจเต้นแรงจนได้ยินอยู่ในหูตัวเอง
เขายังไม่ปล่อยมือทันที
เพียงแต่เลื่อนมาจับที่ข้อมือแน่นกว่าเดิม

เหมือนเช็กว่าเธอ “ยังอยู่”

“ยืนให้มันเป็น”


เขาพูดสั้น ๆ ก่อนจะปล่อย
พีรดาหัวเราะแห้ง ๆ กลบอาการสั่น

“ฉันไม่ใช่มืออาชีพนี่นา แค่คนเขียนหนังสือที่หลุดมาอยู่บนเรือ”


เขาเหลือบมองเธอเพียงครู่เดียว
แสงไฟฉายสะท้อนดวงตาที่เต็มไปด้วยความล้า…แต่ยังตื่นอยู่เสมอ

“งั้นก็อย่าตายก่อนจะได้เขียนต่อ”

เขาพูดเรียบ ๆ แล้วหันกลับไปจับหัวเรือ
พีรดามองแผ่นหลังเปียกฝนของเขาอยู่อีกครู่
ก่อนจะรู้ตัวว่า…ตั้งแต่ลงเรือมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอ "รู้สึกปลอดภัย"



"ภาระกิจ..กับใจที่หนักเหลือเกิน"

ค่ำแล้ว ภารกิจของเธอในวันนี้ปิดลง
พีรดานั่งในรถทหารที่รับอาสากลับฐาน
เธอเปียกทั้งตัว ปวดหลังรั้งไปถึงน่อง
แต่ใจเธอหนักที่สุด
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
สัญญาณยังไม่ดีพอจะโทรหาเพื่อนบ้านที่ดูแมวให้เธอได้
แต่ข้อความที่ส่งมารอบบ่ายยังอยู่

“น้ำขึ้นถึงชั้นล่างแล้วนะหนูดา…ป้าต้องพากันออกไปก่อนแล้วนะ..”

นิ้วของพีรดาเย็นเฉียบจนแทบกดหน้าจอไม่ลง
เธอเห็นภาพหิ้งเล็ก ๆ ในบ้าน
คอกไม้เก่าหลังบ้าน
ชามข้าวแมวที่วางเรียงกันทุกเช้า
หากน้ำขึ้นอีกเพียงฝ่ามือเดียว
โลกทั้งใบของเธอจะไม่เหลืออะไรเลย
หัวใจเธอร่วงลงเหมือนก้อนหินตกทะเล

แมวหกตัว..ครอบครัวเดียวที่เธอมีเหลืออยู่
ไม่มีใครอยู่กับมัน ไม่มีใครช่วยมัน
และบ้านเธอก็อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม
น้ำยังขึ้นต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะลด
ถนนเข้ามีท่าว่ามีจุดที่น้ำแรงเกินรถเล็กจะผ่านได้

พีรดาหลับตา สูดลมหายใจลึก
ภาพคนที่เธอช่วยวันนี้ลอยเข้ามา
เด็กที่กอดหมา
ยายที่สำลักน้ำ
แม่ที่ร้องหาลูกชาย
แล้วจู่ๆ น้ำตาเธอก็ไหล
เธอไม่ใช่คนอ่อนไหว แต่ตอนนี้ความกลัวทำให้เธอสั่นทั้งตัว
หัวใจเริ่มกระวนกระวาย

“รอนะเด็กๆ …แม่จะกลับไปแล้ว”

เธอพึมพำเหมือนเป็นคำสัญญา



ใต้ฟ้าน้ำเดียวกัน

รถจอดนิ่งอยู่หน้าฐาน
เครื่องยนต์ดับ
แต่ฝนยังไม่หยุดตก
พีรดาก้าวลงจากรถ
น้ำกระเซ็นสูงถึงหน้าแข้ง
ไฟฉายจากรถกู้ภัยส่องเป็นลำบาง ๆ ฝ่าผ้าม่านสายฝน
เธอก้มผูกเชือกรองเท้าบูทด้วยมือที่ยังสั่น
สูดลมหายใจลึก

“มาพีรดา…” เธอบอกตัวเองเบา ๆ
“คราวนี้ถึงตาเธอแล้ว”

ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งค่อย ๆ เดินฝ่าสายน้ำย้อนกลับเข้าไปในเมืองที่กำลังจม
เพื่อหัวใจเล็ก ๆ หกดวงเธอ
ที่กำลังรอเธออยู่
ใต้ฟ้าน้ำเดียวกัน


masapaer






ขอเป็นกำลังใจให้กับชาวจังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง
ปัตตานี นราธวาส ยะลา สตูล ตรัง สุราษฎร์ธานี และชาวใต้ทุคนที่ได้รับผลกระทบค่ะ
ขอให้ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
บันทึกการเข้า

~รวมทุกสำนวนของ"masapaer"ค่ะ~

~สติตัวเดียวก็เอาอยู่~

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati

หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.066 วินาที กับ 23 คำสั่ง
กำลังโหลด...