สนอง เสาทอง
นักกลอนผู้อ่อนไหว
ออฟไลน์
กระทู้: 136
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
Re: คิดอย่างไรที่กวีนิพนธ์ซีไรต์ปีนี้มีบทกวีไร้ฉันทลักษณ์มากขึ้น
ขอ อนุญาต แสดงความเห็นครับ
เรื่องของฉันทลักษณ์ในบทกลอนนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางครั้งเราแนะนำด้วยความหวังดี ก็กลายเป็น การติติง ก้าวก่ายไปได้ เวลาที่เห็นใครเขียนกลอนผิดฉันทลักษณ์ จะไม่กล้าทัก นอกจากว่าสนิทกันจริงๆ
ตัวผมเอง เขียนกลอน โดยอาศัยความรู้สมัยประถม ก็พอรู้ว่ารูปแบบที่่ถูกต้องเป็นอย่างไร แต่ก้ไม่ได้แตกฉาน พร้อมจะรับฟังคำชี้แนะเสมอๆ
คนที่เขียนกลอนนั้น มาจากต่างครอบครัว ต่างวิถี คนที่อยู่ในแวดวงตั้งแต่เด็กๆ ก็จะเคยชินกับกฏเกณฑ์ ในการเขียนกลอน ส่วนคนที่เขียนจากประสบการณ์นั้น ก็จะไม่เน้นกฏเกณฑ์มากนัก เน้นอารมณ์ความรู้สีกมากกว่า
ยอมรับว่าการแต่งกลอนให้ได้ทั้งอารมณ์และถูกต้่องตามฉันทลักษณ์นั้นไม่ง่ายสำหรับผม แต่ก็พยามยามทำให้ครบครับ การแต่งกลอนของคนรุ่นใหม่อาจจะยืดหยุ่นมากขึ้น ทำนองเดียวกับภาษาวัียรุ่นที่เพี้ยนมากขึ้น (ในความรู้สึกของเรา แต่วัยรุ่นเขานิยมชมชอบ)
ผมว่าการที่บทกวีมีฉันทลํกษณ์เพื่อให้เป็นกรอบแนวทางได้ศึกษาอย่างถูกต้อง แม้กลอนที่แต่งกันรุ่นหลังๆจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในโครงสร้างที่เหมือนกัน ทำให้รู้่ว่าเราก็เป็นคนเขียนกลอนรักในบทกลอนเหมือนกัน ถ้าไม่มีฉันทลักษณ์ซะเลยการแต่งกลอนก็คงไม่สนุกไม่น่าสนใจ
ผมยังไม่ได้อ่านบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ แค่ฟังชื่อก็แปลกแปร่งครับ แต่คิดว่าจะไปหาอ่านดูเหมือนกันครับ
(ตัวอย่างกลอนเปล่า อาจไม่ใช่บทกวีที่ดี่สุด แต่คนกวีควรอ่านอย่างยิ่ง)กาบแขวนไว้ข้างกลอน (ประตู)'รงค์ วงษ์สวรรค์
๑. เรณูปรูโปรย วิรงรองแม่นว่าพลับพลึง เพทายแก้วก่ำหม่น กรวด, แก้วเก็จกาววาว แมงบ้ง, จั๊กกิ้มจั๊กกะเล้อ ร่านระดาฤดี ๒. หยาดน้ำค้างพร่างเพรียง ไมกากลีบหินชุ่มชรอุ่ม ดิน, ดาน, กำหนัดสันดาน ดลดอนถนนคอนกรีท ถัน, ถนัน, ถนนแน่วพ้นบ้าน ม่าน, ควันมลพิษ บ้า, ใบ้, ไขสือไม่ยินยลก่นโคตร เมามนอำนาจแลเงินขุ้นขึด ไอ้ขี้ฮากสองกอง แม่งมลาย ๓. แพร่งสบสังวาส บนชานชาลาสถานีขี้เหมี้ยง หลุผุ หมอนไม้รองเรียงรับเหล็กขนาน สร้อยสนิมอเนกอนาจาร สีการาคะสมีสถุลถ็อกถ่อน ก่อก่นกลกามกะหลี่- กัญชา, ฝอยทอง, ๔. บ่ายเวลานาฬิกาคล้อยคล้าย หวีดหวูดรถไฟบรรเลง โฉงเฉงฉอกเฉกเฉวียนไฉน ฉลุฉลวยดำรู สิมพลีแม่นว่าไม้งิ้ว, หนามไหน่ จั๊กกะเล้อเหลือง, ไอ้โล้น, โดนขย่มกบาลแยงเยียน, เยียใด อีร่านเริงร่า ๕. อ้าปากขบกัดกินไก่ไฟ, ย่างเกรียมนุ่มนุช โซดา, เทวา, เดวาร์อมฤตรส ละมุด, ละเม็ดถั่วถิมทิ่มเกลือกลอกกลิ้ง ถาโถมถ้อย, ก้อย, กุ้งเกรียบกรอบ เผาเผ็ดพริกเค็มน้ำปลาเปรี้ยวมะนาว สยิวเสยียว ๖. แก้วคลาไคลรมเยศ ขมุบขมิบขมมคลึงเคล้าอรทัย อร่อยแอร่มลำหลายปลายนิ้ว, ปลายลิ้น, กุนเชียงยำแตงกวา, กุ้งพล่า, ส้มฟักแนมขิง, จื่น, จ่าว, เจียวผักแคบ, แอบอิงยำไก่ลาบฟัก, ส้ามะเขือหำม้าเห็ดถอบ, แค็บหมูไส้อั่วพริกอ่อง, แกงขนุนคั่วผำตำพริกอีเก๋, ผักเชียงดา, ขี้ก๋วง, ขี้เสียด, ส้าน, ส้าน, เสี้ยน, เสี้ยน, เสี้ยน, เหียนหัน, หิวหื่นกามา, กาเฟอีน, โคเคน, รเบงระบำอ้อนแอ้น แคนธาริดีสแม่นว่าแมงงนสเปน สะป๊ะสป่าย, ก่ายเกย, ป่นปี้สี้ไสยาล่วงชู้ทรามเชย ในโบกี้บังม่านนอนโท ๗. เลขผาบนหน้าปัดจรลี, ผ่านเวียง, สเปกตรัมแผดแผ่รังสี อมรา, อมีบา, สาลี, ข้าวโพดเทียน (อบเนย) แหนม, แนมเหน็บนวลนาง แกงอ่อม, แกงแคแลนแคลิ่น แคเต่าแคเห็ดทั้งปลาฝา ส้าผักกูดแมงมันแลมดส้ม ต้มปุ๋มหนา ลาบไก่อ็อกปลากั้งปลาปก, ร้าวรัญจวน ๘. รุกรวดวัวเถลิงล่นถึงแปดอย เครือออนบานไสว แดดแรแสงสาดเส้า, กาสะลอง, กันเกรา, กะล่า, กรักแก่นบะลิดไม้, เอื้องเผิ้งสามปอย, แกถวา, สารภีผกาฟ้ามุ่ย, เม็ดทราย, ๙. สไบ, บิกินี, มาร์ทินีมะกอกเทศ หม้อห้อม, เตี่ยวยีนส์ปีนป่าย จำปาจำปีคางคากแลยางเนิ้ง มะแขว่น, ปลากั้ง, ก้าน, แกด, ปลาเหยี่ยน, เป้า, ปาน, สะป๊าก, ไหน่, หนอน, แน้, ปูนา, น้ำเมี้ยงน้ำปู, ข้าวมวก มะเหนียกน้ำมณีเม็ดใน, หนอง ฟักหม่น, น้ำตาชุ่มกว่าน้ำฝน, กูเป็นคน, หนึ่งไม่เป็นสองรองไผ หน็อย—กูเป็นหนองในโกโนเรีย ๑๐. หยาดร้อยหยดโอดโอย อีแม่โป่ใคร่หวัวไยไพ แมงงน, ขี้เดือน, กำบี้, กำเบ้อ, ก่ำปุ้ง, แปดเปื้อนสังคมสังคัง, สังคัน นกแล, กองกอย, เกว๋น, แอ่นแวน, กะบ้า, เอี้ยงคำ, เอี้ยงขี้หมาแหม้นมะม่วง (ฝี) แม่ฮ้างแม่เฮือนเบือนหน้า นมแมว, สะบันงา, เค็ดเค้า, อูน, ออนเครือ, สารภีสลิดก้าน มะลิซ้อนกาบกลีบอ้าซอนลอน วาบวับหวี่หวิวหวิว, หวิว, วอนแวนว้อง, วงเวียนเทียนหมกไม้ ๑๑. บานหน้าต่างประตูกลอน กร่อนกาพย์ยานีคาบคารวะโยนี อมีบา, บักเตรีสไปริลลัม, ขอกคอกคั้นเคี่ยวเมฆา, วิลย, วิลัยวิลัยวิลาป ครั่งเคียงไฟแลไขเคียงแดด ต่อมแตกเร่าร้อนละลาย กรวดวางไว้บนกรวด ทรายวางไว้บนทราย อากาศวางไว้บนอากาศ นบนอบน้อมเนิ้ง สุมาเต๊อะ—ไอ้หน้อยนี้บ่แม่นว่ากวี กะทกรกก้นแง้นงึดง่าว แม้นว่าคนสาละวีกจิตหลุนั้นแม่นแล้ว, ป้อเฮย
***'รงค์ วงษ์สวรรค์ ฉายา "พญาอินทรีในสวนอักษร" อยากให้สังเกตชั้นเชิงลีลาโวหารและสำนวนความเป็นนักเลงภาษา เนื้อหาอาจหมิ่นเหม่สองแง่สามง่ามไปบ้าง แต่เป็นบทกวีเกียรติยศที่อนุชนรุ่นหลังน่าจะได้อ่าน
***พิมพ์ครั้งล่าสุดใน สองบทกวีประดับไว้ในวงวรรณ, นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย, กวีนิพนธ์รางวัลยอดเยี่ยมนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒, กรุงเทพฯ, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิซชิ่ง, 2552
***พิมพ์ครั้งที่ ๒ ลมบาดหิน
***พิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร HI-CLASS
|