Username:
Password:
หน้าแรก
ห้องสนทนา
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..
>>
บทกลอนไพเราะ
>>
กลอนให้แง่คิด
>>
*** มงคล ๓๘ ประการ ***
หน้า:
1
2
[
3
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: *** มงคล ๓๘ ประการ *** (อ่าน 19445 ครั้ง)
0 สมาชิก
และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#30 เมื่อ:
19 มีนาคม, 2559, 03:06:50 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๒๙ การเห็นสมณะ
(สมนานญฺ จ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** สมณะแปลว่าความสงบ
ซึ่งประสบทางสว่างที่สร้างสรรค์
สำรวมกายวาจาใจไม่ผูกพัน
กับกิเลสนับอนันต์ในโลกา
** อันการเห็นคือการที่เคารพ
เมื่อได้พบน้อมกายใจเข้าไปหา
การบำรุงการระลึกด้วยศรัทธา
ฟังวาจาแนะนำธรรมคุณ
** สมณะมีลักษณะต่อไปนี้
เป็นผู้ที่ไม่ว่าร้ายให้เคืองขุ่น
ไม่เบียดเบียนผู้อื่นคอยค้ำจุน
เป็นบรรพชิตจิตการุณอบอุ่นใจ
** รู้จักประมาณในปัจจัยสี่
ทั้งยินดีความสงัดวัตรยิ่งใหญ่
หมดกิเลสทั้งปวงสิ้นห่วงใย
หนีความชั่วห่างไกลอย่างยืนยง
** เห็นสมณะควรจะนอบน้อมไหว้
นิมนต์ให้แสดงธรรมตามประสงค์
พึงถวายสิ่งของดังจำนง
อุปถัมภ์มั่นคงด้วยศรัทธา
** อานิสงส์มากมีที่พึ่งได้
เกิดจากความสงบใจควรใฝ่หา
ได้ทำบุญสร้างกุศลผลตามมา
ทั้งชาตินี้ชาติหน้าชั่วกัปกัลป์
** ได้รับการอบรมและสั่งสอน
ละนิวรณ์หลีกอบายหมายสวรรค์
ละความชั่วทำความดีชั่วชีวัน
มีความสุขนิรันดร์ไม่สั่นคลอน
เรื่อง คุณธรรมอันทำให้เป็นสมณะ
** ในครั้งหนึ่งสมเด็จพระชินศรี
ทรงเกิดมีพระประสงค์จะสั่งสอน
ให้เหล่าพระภิกษุได้สังวร
จะยืนเดินนั่งนอนต้องสำรวม
** จึงตรัสว่าพวกเธอเป็นสมณะ
ต้องเป็นผู้สมถะไม่หละหลวม
ทั้งหิริโอตตัปปะอย่ากำกวม (กำกวม = คลุมเครือ)
เธอจงสวมหัวใจใส่ด้วยธรรม
** สมณะต้องเป็นผู้มีสัจจะ
ยึดถือธรรมของสมณะจะคมขำ
เราบอกแล้วพวกเธอต้องจดจำ
เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติตัดบ่วงมาร
** อันข้อความธรรมหมวดนี้ที่จะกล่าว
คือเรื่องราวดีเด่นเป็นรากฐาน
การประพฤติปฏิบัติมาช้านาน
พวกเธอจงสืบสานให้ยืนยาว
** หนึ่ง “กายสมาจาร” การระวัง
ไม่ให้กายพลาดพลั้งต้องอื้อฉาว
จะรักษาให้บริสุทธิ์ประดุจดาว
ที่ผ่องใสสุกสกาวไร้ราคิน
** ประพฤติตนเป็นคนที่เปิดเผย
ไม่มีช่องใดเลยให้ติฉิน
สำรวมกายไร้ตำหนิเป็นอาจิณ
งามผ่องใสสูญสิ้นคำนินทา
** สอง “วจีสมาจารบริสุทธิ์”
งามผ่องผุดกล่าวขานไม่มุสา
ไม่ส่อเสียดไม่เพ้อเจ้อให้ระอา
มีปิยวาจาชั่วฟ้าดิน
** สาม “มโนสมาจารบริสุทธิ์”
ระวังใจประดุจไข่ในหิน
ไม่ยกตนข่มท่านจะเคยชิน
เกิดเป็นรอยมลทินสิ้นความอาย
** สี่ “อาชีวะบริสุทธิ์” ดุจผ้าขาว
ที่ไม่เปื้อนราคีคาวงามเหลือหลาย
การเลี้ยงชีพสุจริตไม่กล้ำกราย
พาตัวห่างหนีหายการโกงกิน
** ห้า “สำรวมอินทรีย์หก” ไม่หมกมุ่น
ไปติดในกามคุณจะถูกหมิ่น
ถ้าเผอเรอศีลขาดธรรมพังภินท์
สติบินหนีไปไกลจากกาย
** ไม่ยินดียินร้ายให้ไหวหวั่น
เมื่อตานั้นเห็นรูปงามเฉิดฉาย
เมื่อหูได้ยินเสียงทั้งหญิงชาย
ไม่งมงายสำรวมใจไว้เร็วพลัน
** จมูกได้รับกลิ่นทั้งเหม็นหอม
ก็ไม่ยอมหวั่นไหวใจตั้งมั่น
หรือลิ้นได้รับรสทั้งหวานมัน
ไม่ผูกพันยินดีและปรีดา
** หก “รู้จักประมาณการบริโภค
เพราะความหิวเป็นโรคต้องรักษา
ด้วยอาหารที่เราหาได้มา
แต่จงอย่าติดใจในรสเลย
** ทานอาหารเพื่อขจัดอาการหิว
ไม่ใช่เพื่อประเทืองผิวขอเฉลย
ไม่ใช่เพื่อมัวเมานะเธอเอย
เพื่อพรหมจรรย์ขอเอ่ยจงจดจำ
** เจ็ด “ประกอบความเพียรอยู่เสมอ”
ไม่เลยละเผอเรอจนระส่ำ
ไม่เห็นแก่หลับนอนให้ระกำ
เพียรบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ร่ำไป
** แปด “มีสติสัมปชัญญะ”
เป็นธรรมมีอุปการะที่ยิ่งใหญ่
ระลึกได้ว่าเคยทำซึ่งสิ่งใด
รู้สึกตัวว่าอะไรกำลังทำ
** เก้า ”อยู่ในเสนาสนะอันสงัด”
เพื่อขจัดกิเลสที่กระหน่ำ
มีนิวรณ์ทั้งห้าพาชอกช้ำ
ละเสียได้จะนำความสุขมา
** ใจบริสุทธิ์ผ่องใสไม่เศร้าหมอง
ดุจนำโซ่ที่คล้องนานหนักหนา
ออกจากคอทรมานทุกเวลา
รู้สึกเบากายาหาใดปาน
** ละนิวรณ์ได้แล้วผ่องแผ้วยิ่ง
เป็นความสุขแท้จริงขอกล่าวขาน
ทำฌานสี่ให้เกิดทุกประการ
ถึงอาสวักชยยานสำเร็จพลัน (อาสวักขยญาณ = อา-สะ-วัก-ขะ-ยะ-ยาน)
** หมดตัณหาสิ้นกิเลสเหตุแห่งทุกข์
พบความสุขได้ชื่อว่าพระอรหันต์
นี่แหละธรรมที่สมณะประพฤติกัน
สุขนิรันดร์นั่นหรือคือนิพพาน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
❀ Sasi ❀
,
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#31 เมื่อ:
19 มีนาคม, 2559, 03:18:21 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๐ การสนทนาธรรมตามกาล
(กาเลน ธมฺมสฺสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** สนทนาธรรมตามกาลบันดาลให้
เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้ไพศาล
เรื่องไม่รู้จะได้รู้อย่างเบิกบาน
ไม่หดหู่ฟุ้งซ่านจนร้อนรน
** หลักการสนทนาธรรมจำเอาไว้
แบ่งออกได้สามชนิดจิตกุศล
จะได้บุญจุนเจือเป็นมงคล
มีสุขล้นเพลิดเพลินเกินพรรณนา
** หนึ่ง “สนทนาในธรรม” คำของพระ
เรื่องที่จะพูดคุยหรือปรึกษา
จะต้องเกี่ยวกับธรรมของศาสดา
จึงสมควรนำพามาจำนรรจ์
** สอง “สนทนาด้วยธรรม” จำเถิดหนา
ผู้ที่จะพูดจามีธรรมมั่น
เช่นสัมมาคารวะสร้างสัมพันธ์
กราบไหว้กันตามฐานะจะอำนวย
** สาม “สนทนาเพื่อธรรม” นำมาใช้
เพื่อจะได้สุขใจเพราะธรรมช่วย
จะศึกษาเรียนรู้ไม่งงงวย
พ้นความซวยด้วยธรรมช่วยนำทาง
** เรื่องที่ควรสนทนานำมากล่าว
เป็นเรื่องราวของธรรมะเพื่อสะสาง
ทั้งกิเลสและตัณหาให้จืดจาง
จะพบทางสว่างอย่างแน่นอน
** หนึ่ง “คุยกันในเรื่องความมักน้อย”
เพื่อปลดปล่อยความอยากได้ให้ถ่ายถอน
ทั้งเอารัดเอาเปรียบก็แคลนคลอน
ต้องม้วยมรณ์เพราะมักน้อยคอยกีดกัน
** สอง “คุยกันในเรื่องความสันโดษ”
เพราะฟุ้งเฟ้อมีโทษอย่างมหันต์
ไม่ดิ้นรนอยากได้ทรัพย์อนันต์
ใช้ชีวิตประจำวันแบบพอดี
** สาม “คุยกันในเรื่องความสงัด”
เพื่อขจัดอกุศลหม่นหมองศรี
ความสงบเป็นบ่อเกิดบารมี
หนทางชี้พ้นอบายคลายกังวล
** สี่ “คุยกันในเรื่องไม่คลุกคลี”
เป็นวิธีให้เกิดบรรลุผล
คลุกคลีกันจะทำให้วกวน
โลภโกรธหลงที่ร้อนรนจะตามมา
** ห้า “คุยกันในเรื่องทำความเพียร”
เพื่อขจัดสิ่งเบียดเบียนคือตัณหา
และกิเลสทั้งปวงในโลกา
ให้เบาบางร้างราลดน้อยลง
** หก “คุยกันในเรื่องรักษาศีล”
ไม่ต้องปีนต้นงิ้วดังประสงค์
พ้นนรกทุกขุมเมื่อปลดปลง
ศีลมั่นคงอบายอย่าหมายเลย
** เจ็ด “คุยกันในเรื่องสมาธิ”
ตั้งจิตมั่นมีสติอย่านิ่งเฉย
ประพฤติธรรมภาวนาอย่าเฉยเมย
ให้คุ้นเคยเป็นนิสัยไปชั่วกาล
** แปด “คุยกันในเรื่องของปัญญา”
เพื่อนำพาให้รอบรู้กัมมัฏฐาน
โลกธรรมวิปัสสนาญาณ
ได้พบพานความจริงสิ่งไม่ตาย
** เก้า “คุยกันในเรื่องของวิมุตติ”
ใจผ่องผุดสมหวังดังจันทร์ฉาย
สิ้นตัณหาไร้กิเลสเหตุวุ่นวาย
เมื่อหลุดพ้นสบายทั้งกายใจ
** สิบ “คือเรื่องภาวะการพ้นทุกข์”
ใจเกษมคือสุขที่ยิ่งใหญ่
ปราศจากมลทินสิ้นเยื่อใย
ละโลกไปสุคติมีแน่นอน
** การพูดคุยเป็นเบื้องต้นพ้นอาสวะ
แต่ผลจะบังเกิดด้วยการถอน
ทั้งกิเลสทั้งตัณหาและนิวรณ์
ปฏิบัติไม่ขาดตอนมองเห็นธรรม
** สนทนาธรรมเป็นมงคลผลที่ได้
จะทำให้จิตผ่องใสใจอิ่มหนำ
ขจัดข้อสงสัยใจน้อมนำ
ไม่ให้หลงในทางต่ำจิตสำราญ
ทางเสื่อม – ทางเจริญ
** ในสมัยที่องค์พระศาสดา
เสด็จมาเชตวันพระวิหาร
สาวัตถีพาราทรงเบิกบาน
ท่ามกลางบริวารของพระองค์
** ในครั้งนั้นเมื่อล่วงปฐมยาม
เทวดารูปงามร่างระหง
มาเข้าเฝ้าด้วยเหตุเจตจำนง
เพื่อเจาะจงถามปัญหาพระภูมี
** บังคมแล้วยืนในที่อันควร
ซึ่งเป็นส่วนที่เหมาะสมก้มเกศี
ประณมมือขึ้นทำอัญชลี
บังคมแล้วเอ่ยวจีทูลถามมา
** ภนฺเต ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (ภนฺเต อ่านว่า พัน-เต)
ตัวข้าน้อยบังเอิญมีปัญหา
จึงใคร่ที่จะขอความเมตตา
โปรดทรงวิสัชนาตามเห็นควร
** อะไรที่เป็นทางของคนเสื่อม
ซึ่งจะเชื่อมสู่อบายได้หลายส่วน
อีกทั้งความเจริญไม่เรรวน
โปรดใคร่ครวญสงเคราะห์ตามเหมาะเทอญ
** พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงสาเหตุ
แยกประเภทด้วยลีลาดังหงส์เหิน
เหล่าพุทธบริษัทฟังกันเพลิน
ใคร่ชวนเชิญมวลประชามาฟังกัน
** คนจะเสื่อมเพราะประมาทขาดธรรมะ
ทั้งทอดทิ้งธุระละเรื่องขันธ์
ไม่สำรวมอินทรีย์ทุกวี่วัน
ขอจำนรรจ์สาธกยกถ้อยคำ
** “ผู้ชังธรรม ผู้รู้ชั่ว” พามัวหมอง
เป็นครรลองของอบายหมายกระหน่ำ
ความเสื่อมทรามถามหาพาระกำ
ต้องชอกช้ำทุกข์โหมโทรมใจกาย
** ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษ”
จะยื้อยุดปัญญาพาเสียหาย
ความชั่วร้ายจะคลอบคลุมซุ่มทำลาย
ความสุขหายกิเลสหนาพาร้อนรน
** “คนชอบนอนเกียจคร้านและโกรธง่าย”
ตกเป็นเหยื่อแพ้พ่ายให้หมองหม่น
อกุศลกรรมนำพาให้อับจน
เกิดเป็นคนมีธรรมะจะรุ่งเรือง
** “ไม่เลี้ยงบิดามารดา” ชั่วช้านัก
ไม่คิดถึงความรักอันฟูเฟื่อง
ที่มอบให้ทั้งชีวิตจิตประเทือง
ทั้งสิ้นเปลืองข้าวปลาหาให้กิน
** “คนที่ลวงสมณะ” มุสาวาท
ทำลายปราชญ์รอบรู้ผู้ทรงศีล
การพูดปดตกนรกเป็นอาจิณ
มีมลทินติดกายจนวายปราณ
** “ผู้ตระหนี่” ไม่มีมิตรสหาย
เหมือนทำลายทางชีวิตติดสงสาร
ความตระหนี่คือพิษจิตเป็นพาล
ละสันดานตระหนี่เถิดสุขเกิดมา
** “นักเลงหญิงหรือสุรา” จะพาวุ่น
มีความทุกข์เป็นทุนเศร้าหนักหนา
เสียทรัพย์สินเงินทองหมองอุรา
สิ้นชีวาไฟนรกหมกไหม้ตัว
** “ไม่พอใจในภรรยาสามีตน”
เที่ยวซุกซนกับใครใครเขาไปทั่ว
หลงระเริงลูกเมียเขาเพราะเมามัว
เดินทางผิดจึงชั่วสร้างกรรมเวร
** “เป็นคนทะยานอยากมากตัณหา”
คือเหตุพาอับอายชั่วหลานเหลน
ใช้ชีวิตในทางเสื่อมไร้กฎเกณฑ์
นับเป็นเดนสังคมจมโลกันต์
** ส่วนข้อธรรมตรงกันข้ามตามที่กล่าว
เป็นเรื่องราวทางเจริญเดินสู่ฝัน
ที่ยิ่งใหญ่ในโลกาค่าอนันต์
มีสวรรค์เป็นแดนเกิดเลิศธาตรี
** ผู้รู้ดีมีบัณฑิตเป็นที่รัก
มีความเพียรยิ่งนักขมันขมี
เลี้ยงบิดามารดาเป็นอย่างดี
มีปิยะวจีเป็นพลัง
** มีจิตใจเอื้อเฟื้อและเผื่อแผ่
ไม่ท้อแท้หยิ่งยโสหรือโอหัง
รักสันโดษมักน้อยอย่างจริงจัง
ปลูกสำนึกให้ฝังอย่างมั่นคง
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#32 เมื่อ:
19 มีนาคม, 2559, 04:59:27 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๑ การบำเพ็ญตบะ
(ตโป จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** “ตปะ” แปลว่าการเผาบาป
กรรมที่หยาบให้หมดไปไม่ไหลหลง
ทำให้ใจบริสุทธิ์ด้วยการปลง
ปล่อยวางลงจะสว่างห่างอบาย
** ความหมายของการบำเพ็ญตบะ
คือการใช้ธรรมะเผาสลาย
ซึ่งกิเลสเหตุพาให้วุ่นวาย
กิเลสสิ้นทุกข์คลายสบายใจ
** ตบะธรรมในพุทธศาสนา
ขอยกมาให้รู้แจ้งแถลงไข
เป็นแนวทางปฏิบัติขจัดไฟ
ที่เผาไหม้ในอุรามานานครัน
** คือ “อินทรีย์สังวร” อ้อนเฉลย
ขอเปิดเผยสิ่งจะมารังสรรค์
ช่วยประหารอภิชฌามาโรมรัน
คอยฟาดฟันทำลายให้ร้อนรน
** “อาตาปี” คือความเพียรและมุ่งมั่น
ช่างขยันทำงานไม่หมองหม่น
คอยกำจัดความเกียจคร้านให้อับจน
ชีวิตไม่มืดมนและหมองมัว
** “ขันติ” ความอดทนเพื่อพ้นทุกข์
เมื่อผลสุกจะสลายซึ่งความชั่ว
คือย่อท้ออ่อนแอและความกลัว
ปิดรอยรั่วของใจที่ไหวเอน
** ธุดงค์วัตร” จะขัดเกลากิเลส
ซื่งเป็นเหตุมักมากอยากดังเด่น
ธุดงค์จะทำให้ไม่เหลือเดน
จะป้องกันกรรมเวรให้ห่างไกล
** “ศีล” รักษาซึ่งกายและวาจา
ให้สงบดูสง่าและสดใส
อีกหมดจดจากทุจริตผ่องอำไพ
อกุศลใดใดไม่เกี่ยวพัน
** “สมาธิ” ความตั้งมั่นแห่งดวงจิต
จะพิชิตนิวรณ์ห้ามาขวางกั้น
ไม่ให้บรรลุความดีนิจนิรันดร์
ตกนรกปิดสวรรค์และนิพพาน
** “วิปัสสนาปัญญา” ความรู้รอบ
ส่วนประกอบที่สำคัญของสังขาร
มีเกิดแก่เจ็บตายไปตามกาล
จะเผาผลาญความเห็นเป็นอัตตา
** การบำเพ็ญตบะมีอานิสงส์
ให้มั่นคงในพุทธศาสนา
ป้องกันบาปและกำจัดบาปนานา
บรรลุฌานสิ้นตัณหามาครอบงำ
** พร้อมทำให้รู้แจ้งอริยสัจ
เป็นธรรมะปรมัตถ์อันดื่มด่ำ
จะทำลายความทุกข์ความระกำ
ที่ล่วงล้ำจิตใจผู้ใฝ่ดี
เรื่อง การบำเพ็ญตบะ
** เมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้ประทับ
ณ ที่บรรพตาพาสุขี
ชื่อภูเขาคิชฌกูฏขุนคีรี
ราชคฤห์ธานีที่งดงาม
** สันธานคหบดีมีศรัทธา
ได้มุ่งหน้าไปเฝ้าเพื่อทูลถาม
ข้อสงสัยในธรรมที่ลุกลาม
เพื่อลดความร้อนรนกระวนกระวาย
** เมื่อเดินถึงปริพาชการาม
ของนิโครธผู้ลือนามกับสหาย
ร่วมประชุมคุยกันอย่างมากมาย
จึงแวะเข้าทักทายเชื่อมไมตรี
** พวกนิโครธต่างสรวลเสและเฮฮา
คำพูดจาชวนให้น่าบัดสี
หาสาระสักนิดก็ไม่มี
เห็นสันธานคหบดีหยุดคุยกัน
** สันธานจึงได้เอ่ยเผยวจี
ปริพาชกนี้ช่างขยัน
พูดคุยไร้สาระทุกวี่วัน
เสียงดังลั่นโวยวายคล้ายคนพาล
** ส่วนองค์สมเด็จพระโคดม
น่าชื่นชมชอบสงบได้ประสาน
ความสงัดวิเวกเป็นประธาน
เป็นความสุขสำราญของพระองค์
** นิโครธปริพาชกจึงกล่าวว่า
พระศาสดาทรงมีจุดประสงค์
จะหลบหลีกผู้คนอย่างเจาะจง
เพราะท่านคงไร้ปัญญามาพูดคุย
** ถ้าพระองค์ทรงอยู่ในที่นี่
จะต้อนให้หัวหมุนจี๋จนหลุดลุ่ย
เหมือนหม้อเปล่าถูกหมุนจนกระจุย
เราจะลุยจนพระองค์ทรงเหนื่อยแรง
** พระพุทธองค์ทรงสดับสนทนา
ด้วยทิพย์โสตอภิญญาไม่หน่ายแหนง
รู้เรื่องราวทั้งหมดไม่เคลือบแคลง
อยากแสดงให้เห็นความเป็นจริง
** จึงเสด็จมาจงกรมริมสระน้ำ
ที่งามล้ำสดใสไปทุกสิ่ง
ชื่อสุมาคธาน่าพักพิง
ทั้งค่างลิงสัตว์นานาระเริงไพร
** นิโครธได้มองเห็นจึงสั่งศิษย์
เลิกคุยโววิปริตเรื่องเหลวไหล
พระพุทธองค์จึงได้ทรงคลาไคล
เสด็จไปที่ประชุมกลุ่มสัมพันธ์
** สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสถาม
ถึงเนื้อความที่ปรึกษาเฮฮาลั่น
นิโครธจึงเล่าถวายไปโดยพลัน
ทุกถ้อยคำที่จำนรรจ์กับบริวาร
** ปริพาชกทูลถามซึ่งปัญหา
กับสมเด็จพระศาสดาอย่างอาจหาญ
ว่าทรงสอนสาวกให้เบิกบาน
ในพรหมจรรย์อันโอฬารด้วยธรรมใด
** พระองค์จึงได้ตรัสพระวัจจนะ
ว่าธรรมะที่สอนนั้นยิ่งใหญ่
แม้เราบอกพวกท่านไม่เข้าใจ
เพราะลัทธิต่างไปคนละทาง
** เรามาคุยในเรื่องที่ท่านรู้
เราคิดดูเหมาะสมกันทุกอย่าง
เพราะท่านรู้ท่านเข้าใจไม่ระคาง
จะได้ไม่ต้องอ้างถูกรังแก
** อันพวกเราพอใจรังเกียจบาป
บำเพ็ญตบะเพื่อปราบสิ้นกระแส
จึงอยากทราบความคิดเห็นที่แน่แท้
อย่างไรแน่สมบูรณ์ไม่สมบูรณ์
** พระพุทธองค์ตรัสว่าฟังนะท่าน
อันว่าการล้างบาปให้สิ้นสูญ
เป็นสิ่งที่ประเสริฐเจิดจำรูญ
จะเพิ่มพูนซึ่งบุญอันสุนทร
** ตบะที่พวกท่านนั้นบำเพ็ญ
ไม่ว่าเป็นเปลือยกายให้ล่อนจ้อน
ไร้มารยาทเลียมือเฝ้าอ้อนวอน
ให้คนจรสนใจใคร่ศรัทธา
** ไม่กินเนื้อไม่กินปลาอดอาหาร
ทรมานนอนบนหนามให้กังขา
ในบรรดาตบะที่กล่าวมา
ท่านคิดว่าสมบูรณ์แล้วหรือยัง
** ฝ่ายนิโครธตอบว่าสมบูรณ์แล้ว
เพราะเป็นแนวรังเกียจบาปที่ฉมัง
แต่เราว่ายังบกพร่องโปรดจงฟัง
ท่านจงนั่งเราจะอรรถาธิบาย
** พระพุทธองค์ทรงกล่าวเป็นข้อข้อ
ครั้นบำเพ็ญไม่ทำต่อเพราะเบื่อหน่าย
จึงยึดมั่นตบะละใจกาย
เพราะมั่นหมายว่าสำเร็จตามต้องการ
** ยกตนข่มผู้อื่นเพราะหลงผิด
มัวหลงคิดมัวเมาเป็นกิ่งก้าน
ติดในลาภสักการะเป็นสันดาน
ติดรสชาติอาหารจนเมามัว
** บำเพ็ญตบะเพียงให้คนเคารพ
แล้วประจบเอาหน้าพายิ้มหัว
คอยรุกรานสมณะให้เกรงกลัว
กล่าวโอ้อวดไปทั่วตบะเรา
** ไม่ยอมรับในเรื่องที่ควรรับ
มักผูกโกรธประกอบกับความโง่เขลา
ลบหลู่คุณถือตัวจัดไม่ขัดเกลา
ยึดถือเอาความตระหนี่มีมายา
** นิโครธเอ๋ยสิ่งที่เรากล่าวมานี้
ตัวบ่งชี้อุปกิเลสเหตุปัญหา
ของผู้บำเพ็ญตบะในโลกา
ที่เรียกว่าความเศร้าหมองใช่หรือไร
** ฝ่ายนิโครธฟังจบสงบนิ่ง
ก้มหน้ารับความจริงว่าใช่ใช่
บางคนมีอุปกิเลสทุกอย่างไป
แล้วแต่ใครจะฝึกฝนให้พ้นมัน
** ดูกรนิโครธโปรดฟังเถิด (ดูกร=คำทักทาย อ่าน ดู-กะ-ระ)
จะได้เกิดความเข้าใจไม่ไหวหวั่น
ยึดตบะแต่บริสุทธิ์มีเหมือนกัน
อุปกิเลสไม่มีวันเศร้าหมองเลย
** เช่นสาวกของเราเป็นตัวอย่าง
มีสังวรคอยขัดขวางขอเปิดเผย
ได้แก่ความระวังจนคุ้นเคย
ความเศร้าหมองถูกสังเวยด้วยคุณธรรม
** สังวรสี่มีฤทธามหาศาล
กำจัดมารทำหน้าที่อุปถัมภ์
แก่ผู้บำเพ็ญตบะเป็นประจำ
ได้ชื่นฉ่ำบริสุทธิ์ดุจเดือนเพ็ญ
** หนึ่ง “งดเว้นจากการฆ่าหมู่สัตว์
เที่ยวประหัตประหารเป็นของเล่น
ไม่ดีใจเมื่อผู้อื่นต้องลำเค็ญ
ทุกข์ทรมานแสนเข็ญทั้งใจกาย
** สอง “ไม่ลักทรัพย์หรือใช้ให้ลักทรัพย์”
เป็นการทำที่นับว่าเสียหาย
ไม่ยินดีพฤติกรรมน่าอับอาย
ผิดศีลธรรมอย่างเลวร้ายในสังคม
** สาม “ไม่พูดปดหรือใช้ให้พูดปด”
พูดเพ้อเจ้อจะรันทดพาขื่นขม
ตกนรกอบายให้โศกตรม
เว้นเสียได้น่าชื่นชมสุขกายใจ
** สี่ “ไม่เสพกามหรือใช้ให้เสพกาม”
ดูไม่งามจะหมกมุ่นและฝันใฝ่
อยู่ในกามตัณหาอยู่ร่ำไป
เป็นสาเหตุทำให้เกิดมลทิน
** เมื่อเกิดมีสังวรทั้งสี่แล้ว
ดวงจิตจะผ่องแผ้วเป็นนิจสิน
พึงเสพความสงัดอยู่อาจิณ
ชำระจิตตัดสิ้นจากนิวรณ์
** จิตสงบตั้งอยู่ในพรหมวิหาร
ครบทั้งสี่ประการไม่ทอดถอน
คือเมตตากรุณาครบวงจร
และคำสอนอุเบกขามุทิตา
** ธรรมเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำสอน
เป็นขั้นตอนเริ่มต้นแสวงหา
โมกขธรรมอันล้ำเลิศของศาสดา
สอนสาวกเรื่อยมาทั่วหน้ากัน
** ธรรมเหล่านี้ที่เราใช้สอนสั่ง
ให้สาวกลุกนั่งหฤหรรษ์
ทุกคนจึงสดใสในพรหมจรรย์
มีคืนวันล่วงไปอิ่มในบุญ
** ถึงตอนนี้สันธานได้ไต่ถาม
ที่นิโครธลวนลามให้เคืองขุ่น
ว่าพระพุทธองค์ไร้ปัญญามาเจือจุน
จะแกล้งให้หัวหมุนจนเสียคน
** นิโครธได้ประจักษ์อย่างแน่วแน่
พุทธองค์เป็นเพชรแท้ไม่มัวหม่น
ทรงเลิศด้วยปัญญาในสากล
ผู้หลีกพ้นสังสารวัฏตัดบ่วงมาร (สังสารวัฏ อ่านว่า สัง-สา-ระ-วัด)
** จึงได้เอ่ยวาจาขมาโทษ
ขอจงโปรดอโหสิที่กล่าวขาน
ได้ล่วงเกินเพราะความโง่ดักดาน
ขอพระองค์ทรงประทานความเมตตา
** พระพุทธองค์ตรัสว่าช่างมันเถิด
เรื่องที่เกิดผ่านไปไม่ถือสา
จงลืมมันเถอะนะอย่านำพา
แล้วเสด็จไคลคลาไม่ช้าพลัน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#33 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 08:39:13 AM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๒ การประพฤติพรหมจรรย์
(พรฺหฺมจริยญฺจ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** พรหมจรรย์คือความประพฤติอันประเสริฐ
เป็นแดนเกิดของพรหมในสวรรค์
คือความดีน่าสรรเสริญเกินจำนรรจ์
และหนทางสร้างสวรรค์สู่นิพพาน
** พรหมจรรย์นั้นมีความหมายว่า
ปรมัตถโชติกาได้กล่าวขาน
ขุททกนิกายคือตำนาน
มีอยู่สี่ประการโปรดจงฟัง
** หนึ่ง “เมถุนวิรัติ” จัดว่างาม
เว้นจากการเสพกามอย่างขึงขัง
แม้ภรรยาของตนอย่างจีรัง
ไม่อินังในกลกามโลกีย์
** สอง “สมณธรรม” เป็นธรรมที่สดใส
เหมืออื่นใดคือคำสอนพระชินศรี
ปฏิบัติธรรมสมณะไร้ราคี
เจริญกัมมัฏฐานนั่นดีไม่ขุ่นมัว
**สาม “ศาสนา” คือคำสอนพระพุทธองค์
ปฏิบัติตรงปฏิบัติดีหนีความชั่ว
จิตผ่องใสใจสงบค้นพบตัว
กิเลสที่พันพัวถูกฆ่าพลัน
** สี่ “อริยมรรค” คือหนทางที่ยิ่งใหญ่
เพื่อเดินไปสู่นิพพานอันสุขสันต์
ความเห็นชอบดำริชอบคุณอนันต์
อรหันต์สุดท้ายพึงหมายปอง
** ส่วนในมังคลัตถทีปนี
กล่าวว่ามีสิบข้อขอสนอง
เป็นความรู้เสริมศรัทธาให้เรืองรอง
พรหมจรรย์ไม่บกพร่องจนเสียการ
** “ทาน” คือการเสียสละและแบ่งปัน
เพื่อมนุษย์ด้วยกันเพราะสงสาร
ทั้งสิ่งของความรู้มาเจือจาน
ให้อภัยเป็นทานด้วยเมตตา
** “เวยยาวัจจะ” คือการขวนขวาย
ทำประโยชน์หลากหลายไม่กังขา
ให้บังเกิดแก่ผู้อื่นด้วยเจตนา
เพื่อสังคมล้ำค่าทุกข์ไม่มี
** “เบญจศีล” ตั้งอยู่ในศีลห้า
จะควบคุมกายวาจาให้ถ้วนถี่
ไม่ลักทรัพย์ฆ่าสัตว์ตัดชีวี
ไม่เบียดเบียนด้วยวจีให้ร้อนรน
** “อัปปมัญญา” แผ่เมตตาแก่หมู่สัตว์
ในสังสารวัฏทุกแห่งหน
ไม่จำเพาะเจาะจงตัวบุคคล
แบ่งส่วนบุญและกุศลด้วยเต็มใจ
** “สทารสันโดษ” โปรดเมียตน
พอใจไม่ดิ้นรนไปมีใหม่
มีรักเดียวใจเดียวตลอดไป
ไม่เยื่อใยใฝ่หามาครอบครอง
** เมถุนวิรัติ” เว้นจากเสพเมถุน
กามคุณจะทำให้เศร้าหมอง
อย่าเอาแต่สนุกควรไตร่ตรอง
เพราะผลของสนุกจะทุกข์นาน
** “วิริยะ” ทำความเพียรชำระบาป
ที่แสนหยาบชั่วช้ามาเผาผลาญ
ให้ใจใสสะอาดตลอดกาล
อกุศลวายปราณจบสิ้นลง
** “อุโบสถ” รักษาศีลอุโบสถ
ที่กำหนดข้อห้ามปรามโลภหลง
ให้มีกายวาจามั่นดำรง
อยู่ในองค์ความดีที่ยงยืน
** อริยมรรค” คือแนวทางที่ใหญ่ยิ่ง
เป็นความจริงเพื่อหลุดพ้นอันราบรื่น
คือการเดินสายกลางไม่หวนคืน
สุขอื่นอื่นเทียบไม่ได้หาไม่มี
** “ศาสนา” คือปฏิบัติธรรมทุกข้อ
ไม่ย่อท้อตั้งมั่นเพื่อสุขี
ปฏิบัติตามคำสอนองค์ภูมี
ไม่ให้ทุกข์ย่ำยีจงตริตรอง
** ทั้งหมดนี้ข้าศึกพรหมจรรย์
ที่ห้ำหั่นทำให้ใจเศร้าหมอง
สามประการสำคัญหมั่นยึดครอง
คอยจ้องมองทำลายให้ยับเยิน
** “กามตัณหา” คือความทะยานอยาก
เกิดยินดีมักมากต่อสรรเสริญ
ทั้งรูปเสียงกลิ่นรสจนเพลิดเพลิน
หลงมัวเดินในวังวนจนหลงทาง
** “ปมาทะ” ประมาทในวัยเวลา
ด้วยคิดว่ายังหนุ่มสาวราวฟ้าสาง
ยังอีกนานชีวิตจึงวายวาง
บุญกุศลไม่สร้างปล่อยว่างฟรี
** “โกธะ” ความขัดเคืองและอึดอัด
ที่ต้องถูกจำกัดเฉพาะที่
ให้อยู่แต่ในกรอบของความดี
สุดแสนที่จะรำคาญบ่นพึมพำ
** จงฟังก่อนเถิดภิกษุทั้งหลาย
มีมนุษย์มากมายที่ถลำ
ปล่อยให้อวิชชาเข้าครอบงำ
ดังม่านดำบังตาให้มืดมน
** เห็นสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นดี
ปัญญามีเหมือนไม่มีขาดเหตุผล
เสมือนทารกน้อยที่ซุกซน
หลงเข้าป่าผจญอันตราย
** อันมนุษย์ในโลกของเราไซร้
ดูร่าเริงสดใสมีความหมาย
แต่ส่วนลึกของใจแสนวุ่นวาย
ว้าเหว่และเดียวดายสักปานใด
** ถ้าหากว่าว้าเหว่ในชีวิต
ไม่มีสิ่งจะยึดติดเป็นหลักให้
เหมือนไม้หลักปักเลนที่เอนไกว
เป็นที่พึ่งไม่ได้โปรดจงฟัง
** ธรรมคือสิ่งสำคัญมากที่สุด
ในชีวิตมนุษย์สุดจะหยั่ง
จะเพศใดภาวะใดมั่นจิรัง
ประดุจดังเกราะหุ้มคุ้มกันภัย
** แม้ว่าจะประสบความทุกข์ยาก
จะลำบากหมดสิ้นที่อาศัย
ไม่ทิ้งธรรมทิ้งคำสอนหมดอาลัย
ทุกเพศและทุกวัยจงจดจำ
** พรหมจรรย์เป็นมงคลที่ดลให้
เมื่อตายไปก็เกิดในสวรรค์
เป็นปัจจัยเพื่อบรรลุธรรมสำคัญ
อนาคตปัจจุบันตลอดกาล
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#34 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 08:39:28 AM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๓ การเห็นอริยสัจ
(อริยสจฺจาน ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** “อริยสัจ” เป็นปรมัตถ์ธรรมชั้นสูง
เครื่องลากจูงมีค่ามหาศาล
คือสภาวะเป็นจริงอันยาวนาน
จะกล่าวขานพอเข้าใจในเนื้อความ
** การเห็นอริยสัจต้องใช้ญาณ
มีทั้งหมดมาประสานรวมเป็นสาม
จงตั้งใจเรียนรู้อย่าวู่วาม
จะรู้เห็นเป็นไปตามกฎความจริง
** “สัจจญาณ” รู้ความจริงอริยสัจ
อย่างเด่นชัดแต่ละข้อหมดทุกสิ่ง
เช่นรู้ว่ามีทุกข์คอยพักพิง
จะเดือดร้อนอย่างยิ่งเมื่อทุกข์มา
** “กิจจญาณ” รู้หน้าที่จะพึงทำ
ควรเว้นควรน้อมนำควรใฝ่หา
กำหนดรู้เรื่องทุกข์ทุกเวลา
รู้แจ้งนิโรธพาให้สุขใจ
** “กตญาณ” รู้ว่ากิจเหล่านั้น
ได้ทำมันให้สำเร็จดังฝันใฝ่
พยายามทำตามขั้นตอนลุล่วงไป
ไม่มีส่วนใดขาดตกบกพร่องแล้ว
** อริยสัจมีอยู่สี่ประการ
สามารถตัดบ่วงมารให้ผ่องแผ้ว
หมดกิเลสสิ้นตัณหาพาเพริดแพรว
ปราศจากวี่แววของมลทิน
** หนึ่ง “ทุกข์” ความเดือดร้อนใจและกาย
ทรมานมากมายไม่จบสิ้น
ต้องทุรนทุรายเป็นอาจิณ
จะนั่งนอนเดินกินก็กังวล
** อันทุกข์นั้นมีอยู่สองสถานะ
องค์พุทธะตรัสไว้อย่าสับสน
ขอนำมาเผยแพร่แก่ปวงชน
จะได้ยลและเข้าใจไปนานวัน
** “สภาวะทุกข์” คือทุกข์ของสังขาร
มีเกิดแก่วายปราณคอยห้ำหั่น
เป็นปัจจัยปรุงแต่งและผูกพัน
ไม่มีวันที่ใครจะหนีพ้น
** “ปกิณณกะทุกข์” คือทุกข์จร
ที่เข้ามาหลอกหลอนให้หมองหม่น
เช่นผิดหวังเศร้าใจและร้อนรน
ทั้งท้อแท้เกินทนจนร้อนใจ
** สอง “สมุทัย” เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ไร้ความสุขโศกเศร้าไม่สดใส
เกิดจากความทะยานอยากอยู่ภายใน
เรียกเสียใหม่ว่าตัณหามาครอบครอง
** อกุศลมูลนิวรณ์และกิเลส
ก็เป็นเหตุทำให้ทุกข์หม่นหมอง
อีกมลทินทุจริตผิดทำนอง
เป็นเหตุของการเกิดทุกข์อีกมากมาย
** ตัณหาแบ่งเป็นสามประเภท
จะนำเอาขอบเขตมาขยาย
เพื่อให้เกิดความเข้าใจไม่งมงาย
ขอบรรยายวิสัชนาจะหายงง
** “กามตัณหา” หมายความว่าความอยากได้
คือปัจจัยทำให้เกิดความหลง
ในโลกีย์วิสัยอย่างมั่นคง
โดยเจาะจงกามคุณหมกมุ่นกาม
** “ภวตัณหา” คือความอยากเป็น
ที่พึงมีพึงเห็นในโลกสาม
อยากเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ทุกยาม
อยากคงอยู่ไม่เป็นตามอนิจจัง
** “วิภวตัณหา” ไม่อยากเป็น
ดังเฉกเช่นไม่อยากพบความผิดหวัง
ไม่อยากแก่ไม่อยากตายอย่างจิรัง
ไม่เจ็บป่วยไม่ภินท์พังจนชั่วกาล
** สาม “นิโรธ” การดับทุกข์ที่รุกเร้า
มาคลอเคล้าให้สิ้นไม่เผาผลาญ
ด้วยทำลายสมุทัยเจ้าตัวการ
ตัดรากฐานของตัณหาทุกข์วอดวาย
** สี่ “มรรค” คือหนทางการดับทุกข์
ให้เกิดสุขชั่วฟ้าดินสูญหาย
คือนิพพานไม่เกิดแก่เจ็บตาย
เป็นการดับสลายนิรันดร์กาล
** “สัมมาทิฏฐิ” คือความเห็นชอบ
ตามระบอบอริยมรรคเป็นแก่นสาร
มีปัญญาเป็นตัวตั้งในหลักการ
และประสานกับความจริงดียิ่งนัก
** “สัมมาสังกัปปะ” ดำริชอบ
ต้องประกอบด้วยคิดดีที่ตระหนัก
ไม่พยาบาทออกจากกามจงประจักษ์
ไม่เบียดเบียนแต่รักซึ่งความดี
** “สัมมาวาจา” เจรจาชอบ
ให้รอบคอบวาจางามตามวิถี
การพูดเท็จพูดคำหยาบต้องไม่มี
พูดส่อเสียดเป็นที่น่าชิงชัง
** “สัมมากัมมันตะ” การงานชอบ
อยู่ในกรอบของธรรมที่ไหลหลั่ง
เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวัง
การฉ้อโกงไม่อินังเพราะเลวทราม
** สัมมาอาชีวะ” เลี้ยงชีวิตชอบ
ต้องนอ้มนอบจิตกุศลคนไม่หยาม
ไม่ผิดธรรมผิดวินัยน้ำใจงาม
ปฏิบัติตามคำสอนองค์สัมมา
** “สัมมาวายามะ” ความเพียรชอบ
จงรอบคอบระวังบาปที่หยาบหนา
ไม่ให้เกิดและละบาปที่เกิดมา
เพียรรักษากุศลกรรมไม่ย่ำยี
** “สัมมาสติ” การระลึกชอบ
เพื่อรู้รอบสติปัฏฐานให้ถ้วนถี่
ว่าร่างกายต้องเน่าเปื่อยไปทุกที
ความสุขทุกข์เกิดมีเป็นอารมณ์
** “สัมมาสมาธิ” ความตั้งใจชอบ
ตามเขตขอบของฌานสี่ให้เหมาะสม
เพื่อวิตกวิจารณ์พาลระทม
ผลาญให้จมเข้าสู่ฌานเบิกบานจริง
** การเห็นอริยสัจเป็นมงคล
เป็นเรื่องที่เลิศล้นกว่าทุกสิ่ง
เข้าถึงเรื่องสังขารไม่ประวิง
ใช้อ้างอิงเรียนรู้ธรรมให้ชำนาญ
** ทำให้ได้เป็นพระอริยะเจ้า
ไม่หมองเศร้าด้วยกิเลสมาเผาผลาญ
เพราะเข้าถึงความดับคือนิพพาน
ทั้งกำจัดตัวมารเกิดแก่ตาย
ใบประดู่ลายในมือ
** สมัยหนึ่งสมเด็จจอมโมลี
ได้ทรงมีพระทัยอย่างมั่นหมาย
ในการจะเสด็จเยื้องย่างกราย
โกสัมพีเพื่อผ่อนคลายแห่งอารมณ์
** ทรงประทับ ณ สีสปาวัน
ในการนั้นทรงมีแต่สุขสม
จึงประสงค์แสดงธรรมอันอุดม
ให้เป็นที่ชื่นชมตลอดกาล
** ครั้นจะทรงเปรียบเทียบธรรมที่สั่งสอน
ในบวรศาสนามาไขขาน
กับธรรมที่ตรัสรู้มาเนิ่นนาน
ว่าอย่างไหนปริมาณมากกว่ากัน
** ทรงหยิบใบประดู่ลายมาสองใบ
มาวางไว้บนพระหัตถ์หฤหรรษ์
แล้วตรัสถามความเห็นเป็นสำคัญ
กับภิกษุเหล่านั้นในทันที
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจงฟังเรา
เปรียบเทียบเอาใบไม้ในมือนี่
กับใบไม้บนต้นเขียวขจี
ที่ไหนมีมากกว่าจงยืนยัน
** ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ที่ต้นมีมากเกินจะเสกสรร
บนพระหัตถ์น้อยกว่าเป็นร้อยพัน
ขอจำนรรจ์กราบทูลความที่ถามมา
** อย่างนั้นเหมือนกันภิกษุทั้งหลาย
เราตรัสรู้ธรรมหลากหลายมากหนักหนา
แต่ที่นำมาสั่งสอนทุกเวลา
มีน้อยกว่าที่เรารู้อีกมากมาย
** เพราะเหตุใดจึงไม่นำมาสอนเล่า
เพราะไม่เร้าให้เกิดความเบื่อหน่าย
อีกทั้งความกำหนัดก็ไม่คลาย
ความสงบไม่ย่างกรายมาให้ครอง
** ไม่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้
ไม่ตั้งอยู่เพื่อนิพพานตอบสนอง
เพื่อความรู้ที่ใหญ่ยิ่งสิ่งควรปอง
ตามครรลองความหลุดพ้นผจญมาร
** ดูก่อนบรรดาภิกษุทั้งหลาย
เรามุ่งหมายนำธรรมมาประสาน
ให้ได้รู้นี่คือทุกข์อันร้าวราน
อีกทั้งการดับทุกข์ให้สิ้นไป
** นี่คือทางให้ถึงความดับทุกข์
เกิดความสุขชั่วนิรันดร์อันยิ่งใหญ่
นี้คือสิ่งที่เราสอนอย่างตั้งใจ
ให้ใครใครได้เรียนรู้อยู่ทุกวัน
** เพราะเหตุใดเราจึงเอาสิ่งเหล่านี้
มาแนะชี้เพราะหวังให้สุขสันต์
ได้ก้าวสู่เบื้องต้นพรหมจรรย์
เพื่อรู้ยิ่งสิ่งสำคัญคือดับทุกข์
** ดูก่อนบรรดาภิกษุทั้งหลาย
เราก็ได้อธิบายเพื่อสร้างสุข
เพื่อให้เธอเข้าใจไม่เจ่าจุก
เลิกสนุกละตัณหาจะพ้นภัย
** เมื่อรู้แล้วขอให้จงได้คิด
บำเพ็ญเพียรจนติดเป็นนิสัย
ละกิเลสตัณหาไม่อาลัย
สู่เส้นชัยแห่งชีวิตคือนิพพาน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
❀ Sasi ❀
,
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#35 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 11:58:23 AM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๔ การทำให้แจ้งพระนิพพาน
(นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** การออกจากตัณหาเครื่องร้อยรัด
เหมือนการตัดพ้นจากเครื่องประหาร
จะร่มเย็นเป็นสุขนิรันดร์กาล
เรียก “นิพพานสัจฉิกิริยา”
** คือการทำนิพพานให้รู้แจ้ง
รู้ถึงแหล่งของทุกข์ที่โถมถา
รู้วิธีการดับทุกข์ที่เกิดมา
ด้วยคำสอนพระศาสดาของปวงชน
** ลักษณะของนิพพานกล่าวขานไว้
เพื่อจะได้เข้าใจไม่สับสน
ขออนุญาตนำเสนอแก่ทุกคน
ตามที่ได้สืบค้นและเล่าเรียน
** หนึ่ง “ความสิ้นตัณหา” ทะยานอยาก
ซึ่งเกิดจากอยากได้คุมบังเหียน
ความอยากเป็นไม่อยากเป็นที่หมุนเวียน
มาเบียดเบียนทำลายให้ร้าวราน
** สอง “จุดจบของความทุกข์” ที่รุกเร้า
เกิดถูกเผาให้มอดไหม้ไร้รากฐาน
ด้วยนิโรธตัวดับทุกข์ให้วายปราณ
ดังตัณหาถูกเผาผลาญสิ้นเชื้อไฟ
** สาม “ความดับแห่งภพชาติ” ไม่มีเหลือ
หมดสิ้นเชื้อการตายแก่และเกิดใหม่
ดับจนสิ้นไม่เหลือแม้เยื่อใย
ครั้นผ่านไปสังขารได้สลายลง
** ภาวะของผู้บรรลุนิพพานแล้ว
มีดวงจิตผ่องแผ้วไม่ไหลหลง
มีสติเป็นพื้นฐานที่มั่นคง
จะดำรงยึดพระรัตนตรัย
** “ภาวะทางปัญญา” สามารถมอง
สิ่งทั้งผองตามเป็นจริงไม่สงสัย
รู้เท่าทันเรื่องสังขารและโพยภัย
ไร้เลศนัยเห็นข้อดีว่าเป็นดี
** “ภาวะทางจิต” มีอิสระ
จากกิเลสที่จะมาเสียดสี
ไม่เป็นทาสของอารมณ์ที่ยวนยี
ไม่หวั่นไหวดุจเสาทีมั่นแข็งแรง
** “ภาวะทางการดำเนินชีวิต”
รักษาศีลเป็นนิจในทุกแห่ง
ให้สมบูรณ์ไม่เสียหายไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่เคลือบแคลงเพราะกิเลสเป็นเหตุนำ
** การที่ทำให้แจ้งแห่งนิพพาน
เป็นมงคลในจักรวาลที่คมขำ
ทำให้พ้นจากทุกข์ไม่ระกำ
ปราศจากสิ่งมาตอกย้ำหรือย่ำยี
** เป็นผู้ไม่มีเวรกับใครใคร
ชีวิตดำเนินไปอย่างสุขี
ไม่มีความประมาทในชีวี
สิ้นภพไปไม่มีเกิดแก่ตาย
ความสงบ
** ภิกษุทั้งหลายฟังเรานะ
ในบรรดาธรรมะที่หลากหลาย
ไม่มีความสุขใดจะมากมาย
ที่จะคล้ายหรือเสมอ “สงบ” เลย
** ความสุขนี้มีอยู่ในตัวเรา
เพราะความเขลาจึงทิ้งไปเฉยเฉย
เอาแต่วุ่นวิ่งหาเพราะคุ้นเคย
นิจจาเอ๋ยไม่เคยจะไล่ตามทัน
** จะไม่พบความสุขที่แท้จริง
เพราะมัววิ่งตามอารมณ์เป็นอาถรรพ์
วุ่นกับกามกับกินและเกียรติกัน
จนลืมเรื่องสำคัญคือจิตตน
** ดวงจิตที่ผ่องใสหรือผ่องแผ้ว
ดุจดังแก้วเจียระไนไม่หมองหม่น
สามารถให้ความสุขแก่ทุกคน
ไม่ต้องมัววิ่งวนคอยไล่ตาม
** ผู้มองแต่ความเจริญของวัตถุ
ในใจร้อนระอุอย่างล้นหลาม
ไม่สงบเยือกเย็นเพราะไฟลาม
จมในความเหม็นคาวของโลกา
** เปรียบดังผู้ที่แบกซึ่งของหนัก
วิ่งโดยไม่หยุดพักเหนื่อยหนักหนา
เท้าวิ่งไปปากบ่นไปจนระอา
แต่ไม่วางลงมาเพื่อผ่อนปรน
** ดูกรบรรดาภิกษุทั้งหลาย
ในโลกนี้ที่วุ่นวายและสับสน
ใส่หน้ากากหลอกกันอลวน
โลกหมองหม่นเพราะพิษร้ายจนเรื้อรัง
** ดังอาคารดุจปราสาทแห่งกษัตริย์
มีลมพัดเย็นสบายทั่วทั้งหลัง
มีดนตรีเสียงเพลงกล่อมให้ฟัง
ไพเราะดังคนธรรพ์คอยบรรเลง
** ผู้คนที่อาศัยใจเร่าร้อน
ดุจนั่งนอนในกองไฟด้วยรีบเร่ง
ไม่มีสุขระแวงภัยให้หวั่นเกรง
ใจตัวเองหวาดผวาพาลุกลน
** ไม่สงบจิตใจไม่มีสุข
ต้องเจ่าจุกในปราสาทไร้กุศล
ผู้สงบอยู่โคนไม้ไม่ร้อนรน
มีความสุขมากล้นหาใดปาน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#36 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 12:31:56 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๕ จิตไม่หวั่นไหว
(ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** คำ “จิตตะ” แปลว่านึกหรือคิด
ถ้าคิดถูกคือสุจริตดีไพศาล
ถ้าคิดผิดคือไม่ดีเหมือนมีมาร
คอยล้างผลาญให้โศกเศร้าร้าวระบม
** อันจิตนี้มีหน้าที่สามประการ
ตามหลักฐานบอกไว้อย่างเหมาะสม
มาเถิดหนาศึกษากันและชื่นชม
เพื่อเพาะบ่มจิตใจให้ใฝ่ดี
** หนึ่งทำหน้าที่นึกคิดหรือปรุงแต่ง
ตามวัตถุที่แสดงเป็นสักขี
เช่นสวยหรือไม่สวยที่เกิดมี
มาย่ำยีดวงจิตนิจนิรันดร์
** สองรับรู้อารมณ์ที่ผ่านมา
ทั้งทางหูทางตาพาไหวหวั่น
อีกทั้งลิ้นกายใจก็เหมือนกัน
สัมผัสพลันรับรู้ได้ทันที
** อันอารมณ์ทั้งหกยกมากล่าว
เป็นเรื่องราวต้องสัมผัสในทุกที่
คือรูปรสกลิ่นเสียงที่ยวนยี
โผฏฐัพพะมีธรรมารมณ์มา
** สามสั่งสมหรือเก็บสิ่งที่ทำ
พูดคิดเป็นประจำมากหนักหนา
ทั้งอารมณ์ต่างต่างชั่วชีวา
เก็บสะสมทุกคราตลอดกาล
** “โลกธรรม” ทำให้จิตหวั่นไหว
ซึ่งใครใครหลีกไม่ได้ในสงสาร
มีประจำกับชีวิตมาเนิ่นนาน
เวลาผ่านยังอยู่คู่โลกา
** โลกธรรมมีอยู่รวมแปดข้อ
แต่เมื่อย่อจะเป็นสองต้องศึกษา
คือฝ่ายที่ต้องการทุกเวลา
ภาษาธรรมเรียกว่า “อิฏฐารมณ์”
** คืออารมณ์ที่พีงปรารถนา
แยกออกมาสี่ประการล้วนสุขสม
คือได้ลาภได้ยศน่าชื่นชม
สรรเสริญสุขยอดนิยมของทุกคน
** “อนิฏฐารมณ์” คือธรรมตรงกันข้าม
เรียกตามตามกันว่าอกุศล
คือเสื่อมลาภเสื่อมยศรันทดทน
ถูกนินทาตกทุกข์จนเดือดร้อนใจ
** ธรรมเหล่านี้มีสภาพที่ไม่เที่ยง
ย่อมแปรปรวนสุดจะเลี่ยงไปทางไหน
ไม่แน่นอนแปรผันทุกวันไป
แล้วแต่ใครจะยอมรับกับความจริง
** ท่านผู้ใดมีสติมีปัญญา
ยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้ทุกทุกสิ่ง
ย่อมแปรเปลี่ยนไม่คงอยู่ให้พักพิง
ไม่หยุดนิ่งเป็นธรรมดาอย่ากังวล
** เมื่อใดที่อนิฏฐารมณ์มากระทบ
ก็สยบมันได้ไม่หมองหม่น
มีจิตไม่หวั่นไหวให้ร้อนรน
เรียกว่าคนมีจิตที่ฝึกแล้ว
หมาจิ้งจอกขี้เรื้อน
** สมัยหนึ่งสมเด็จพระศาสดา
เสด็จมาประทับอย่างผ่องแผ้ว
ณ พระเชตวันอันเพริดแพรว
ในเมืองแก้วสาวัตถีที่มั่นคง
** ทรงปรารภเรื่องลาภสักการะ
ซึ่งครอบงำหมู่พระภิกษุสงฆ์
ยกตัวอย่างหมาจิ้งจอกโดยจำนง
ซึ่งมันแก่ตัวลงที่เชตวัน
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเอ๋ย
เห็นไหมเอ่ยหมาจิ้งจอกที่ยืนนั่น
อาศัยอยู่ที่นี่มานานครัน
ตัวของมันเป็นขี้เรื้อนเปื้อนทั่วกาย
** มันเป็นสัตว์ที่ดูน่าสงสาร
ยืนตัวสั่นสะท้านน่าใจหาย
เมื่อมันอยู่ลานดินไม่สบาย
จึงได้ย้ายที่นอนเพื่อผ่อนปรน
** ไปอาศัยนอนอยู่โคนต้นไม้
หวังจะให้ดีขึ้นคงได้ผล
แต่ปรากฏว่าคิดผิดที่ดิ้นรน
สุดจะทนเหมือนกันกับวันวาน
** แม้จะเปลี่ยนที่นอนไปหลายที่
ก็ไม่มีที่ใดไม่ร้าวฉาน
ความเจ็บปวดไม่สบายทรมาน
มาก้าวร้าวรุกรานอยู่เหมือนเดิม
** เหมือนภิกษุบางรูปในศาสนา
ใช้ชีวิตกันมาอย่างฮึกเหิม
ติดในลาภสักการะจนเหิมเกริม
ไม่ฝึกเพิ่มความเพียรสิ่งควรทำ
** ผู้ที่ถูกลาภสักการะย่ำยีแล้ว
ก็ไม่แคล้วถูกตัณหามากระหน่ำ
จะนั่งนอนที่ไหนก็ระกำ
ต้องชอกช้ำเพราะทุกข์บุกทำลาย
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเอ๋ย
อย่ามัวเฉยให้ชีวิตล่มสลาย
ลาภสักการะทารุณและหยาบคาย
เป็นอันตรายต่อการบรรลุธรรม
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#37 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 12:42:05 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๖ จิตไม่โศก
(อโสกํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** จิตไม่โศกคือจิตไม่แห้งผาก
มีความชุ่มชื้นมากจนเย็นฉ่ำ
ไม่หดหู่ระทมด้วยผลกรรม
เพราะไม่ทำความชั่วตัวอัปรีย์
** จิตไม่โศกคือจิตที่หลุดพ้น
จากวังวนของวัฏฏะมาเสียดสี
ปราศจากราคะสิ้นราคี
ทั้งโทสะที่มีก็สิ้นไป
** อีกโลภะก็สละมันจนสิ้น
ไม่มีเหลือให้เกาะกินเกิดหวั่นไหว
จะไม่ติดในกามตัดสายใย
อกุศลบาปใดใดไม่ข้องมัน
** แม้อารมณ์ต่างต่างไม่เกี่ยวข้อง
ปล่อยให้ลอยละล่องไม่ใฝ่ฝัน
ละกิเลสละตัณหาสารพัน
ดังคำภควันต์ได้ตรัสมา
** ผู้ถึงธรรมไม่เศร้าโศกถึงความหลัง
ไม่ฝันเพ้อสิ่งที่ยังอยู่ข้างหน้า
คืออนาคตมองไม่เห็นอยู่ไกลตา
อยู่กับปัจจุบันดีกว่าอย่าดิ้นรน
** อีกนัยหนึ่งความโศกเกิดจากรัก
ถ้าห้ามหักเสียได้ไม่หมองหม่น
ผู้บรรลุนิพพานบันดาลดล
ให้หลุดพ้นจากรักที่ปักใจ
น้ำตามากกว่าน้ำทะเล
** พระพุทธองค์ทรงประทับอย่างสุขสันต์
ณ พระเชตะวันวิหารใหญ่
ที่กรุงสาวัตถีเรืองวิไล
เพื่อจะได้แสดงธรรมเสริมปัญญา
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
โลกนี้ช่างวุ่นวายเสียหนักหนา
สัตว์ทั้งหลายต้องใช้กรรมที่ทำมา
ไปจนกว่าจะหมดกำหนดกรรม
** สังสารวัฏของสัตว์โลก
มีทั้งโศกทั้งสุขทุกข์ร้องร่ำ
ต้องวนเวียนเปลี่ยนไปเป็นประจำ
ล้วนแต่เป็นสัจธรรมไม่ว่าใคร
** สังสารวัฏยาวไกลตั้งเหลือหลาย
ไม่รู้เบื้องต้นเบื้องปลาอยู่ที่ไหน
เพราะสรรพสัตว์เกิดตายมีทั่วไป
นับไม่ได้ว่ากี่ชาติกี่ภพกัน
** ภิกษุทั้งหลายพวกเธอคิดอย่างไร
น้ำตาของสัตว์ที่ไหลเพราะโศกศัลย์
ต้องคร่ำครวญร้องไห้อยู่ทุกวัน
ในแต่ละชาตินั้นมีมากมาย
** มีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร
อันกว้างใหญ่ที่สุดไร้จุดหมาย
ซึ่งเกิดจากความทุกข์มากล้ำกราย
เพราะการเจ็บการตายเป็นตัวการ
** พวกข้าพระองค์เคยได้ศึกษา
ตามพระองค์สั่งสอนมาเป็นพื้นฐาน
ว่าน้ำตาสรรพสัตว์ในจักรวาล
มีมากเกินประมาณจะคำนวณ
** ถูกแล้ว ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อเกิดแล้วต้องตายสุดถ่ายถอน
เสียน้ำตาเพราะพ่อแม่มาม้วยมรณ์
มากกว่าน้ำในสาครทั่วโลกา
** อีกทั้งญาติหลายหลากก็ไม่น้อย
ที่พวกสัตว์ต้องคอยละห้อยหา
เมื่อพวกเขาละโลกเศร้าโสกา
ก็ต้องเสียน้ำตาด้วยอาลัย
** นอกจากนี้ยังมีอีกนานับ
ความทุกข์โศกที่ได้รับเกินสงสัย
มากัดกินรุมเร้าในฤทัย
จนตลอดอายุขัยไม่สร่างเซา
** ความเสื่อมลาภโรคภัยมาเบียดเบียน
อุตส่าห์เพียรค้าขายก็เงียบเหงา
จะทำไร่ไถนาสุดบรรเทา
เป็นรากเหง้าของการเสียน้ำตา
** ภิกษุเอ๋ย รู้แล้วไฉนหนอ
จึงไม่หยุดไม่พอเสน่หา
ในสังสารวัฏที่เกิดมา
เพราะมันพาให้หลงวงเวียนมาร
** ด้วยเหตุนี้ควรที่สัตว์ทั้งหลาย
ควรคิดจะเบื่อหน่ายในสังขาร
ที่เกิดเกิดตายตายอีกแสนนาน
อีกกี่ชาติจึงพ้นผ่านทุกข์ทั้งปวง
** จิตไม่โศกเป็นมงคลผลดีนัก
จะประจักษ์ได้ด้วยใจไม่ต้องห่วง
รับรองว่าดีจริงจริงมิใช่ลวง
มีผลพวงอีกมากมายเล่าให้ฟัง
** ทำให้จิตมั่นคงดุจดังเขื่อน
ความทุกข์เลือนการเกิดสิ้นดังที่หวัง
ด้วยกิเลสต้นเหตุเกิดมาภินท์พัง
ผลของมันถูกยับยั้งให้สิ้นเชื้อ
** เป็นที่สักการะและเคารพ
แก่ผู้ที่ได้พบอย่างล้นเหลือ
อีกทั้งเทวดาไม่คลุมเครือ
เพราะเขาเชื่อความหมดจดของจิตใจ
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
masapaer
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#38 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 12:59:11 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๗ จิตหมดธุลี
(วิรชํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** ธุลี คือกิเลสเหตุหมองเศร้า
คอยรุมเร้าให้เดือดร้อนนอนไม่ไหว
ต้องร้อนรุ่มทั้งภายนอกและภายใน
คอยลวกไหม้จนวอดวายตายทั้งเป็น
** ทีสำคัญมีอยู่สามประการ
จะไขขานยกมาให้ได้เห็น
หลีกให้พ้นหนีให้ไกลไม่ลำเค็ญ
ก็จะเป็นผู้หมดจดจากธุลี
** หนึ่ง “โลภะ ความโลภ” หรืออยากได้
ซึ่งทรัพย์สินน้อยใหญ่เป็นเศรษฐี
อันความโลภความอยากได้เมื่อเกิดมี
จะรวมตัวเป็นธุลีคอยกัดกิน
** สอง “โทสะ ความโกรธ” พยาบาท
ความเจ็บแค้นอาฆาตและหยามหมิ่น
คิดปองร้ายเดือดดาลเป็นอาจิณ
ทำลายสิ้นความดีที่เคยทำ
** สาม “โมหะ ความหลง” ความเห็นผิด
เป็นยาพิษตัวร้ายคอยกระหน่ำ
ความถือตัวความฟุ้งซ่านเกิดประจำ
ความไม่รู้สัจธรรมเฝ้ารุกราน
** ใจหมดธุลีคือใจหมดกิเลส
ซึ่งเป็นเหตุทำลายหลายสถาน
ให้หมดสิ้นเปรียบได้ดังตัวมาร
สามประการข้างต้นให้พ้นไป
** การปฏิบัติเพื่อกำจัดธุลี
ต้องศึกษาให้ดีเพราะเรื่องใหญ่
ถ้าทำได้กิเลสหนีไปไกล
คงเหลือไว้ความผ่องแผ้วในกมล
** ไตรสิกขาคือข้อธรรมต้องศึกษา
เพื่อนำมากำจัดจะได้ผล
ธุลีจะหมดไปไม่ร้อนรน
เชิญทุกคนลองมาศึกษากัน
** ไตรสิกขามีอยู่รวมสามข้อ
เป็นรากฐานตัดตอได้คงมั่น
ความวุ่นวายภายในสิ้นไปพลัน
คงมีสุขทุกวันตลอดกาล
** “ศีล” ทำให้กายวาจานั้นเรียบร้อย
ไม่ด่างพร้อยด้วยมลทินสิ้นร้าวฉาน
ชีวิตจะมีสุขทุกวันวาร
เพราะตัวการไม่กล้ามารบกวน
** ศีลสามารถกำจัดกิเลสหยาบ
ไม่ให้มาจ้วงจาบจนผันผวน
ไม่มีศีลกายวาจาถูกลามลวน
ด้วยกิเลสคอยกวนไม่เบิกบาน
** “สมาธิ” คือภาวะจิตที่สงบ
จะได้พบความจริงของสังขาร
ว่าเป็นทุกข์ไม่เที่ยงไม่ยืนนาน
ภาวะกาลไม่แน่นอนเปลี่ยนได้ไว
** ไม่ขุ่นมัวเศร้าหมองไม่ร้อนรุ่ม
คอยควบคุมกิเลสอย่างกลางได้
จะอิ่มเอิบร่าเริงสิ้นเยื่อใย
และอยู่ในภาวะที่สมดุล
** “ปัญญา” ความรอบรู้อริยสัจ
รู้วิธีการตัดความเคืองขุ่น
อีกทั้งตัดกิเลสขาดเป็นจุณ
เป็นธรรมที่ให้คุณกับทุกคน
** ปัญญาขจัดกิเลสอย่างละเอียด
ไม่ให้เฉียดเข้าใกล้ในทุกหน
เพราะรู้เห็นตามเป็นจริงไม่วกวน
จะหลุดพ้นจากกิเลสเหตุรัดรึง
** จิตปราศจากธุลีแสนดีนัก
จะประจักษ์โมกขธรรมที่ยากถึง
เป็นผู้ไม่หวั่นไหวไม่พรั่นพรึง
คอยทำลายเครื่องรัดรึงอันตรธาน
ที่ใดมีความรักที่นั่นมีทุกข์
** ครั้งเมื่อองค์สมเด็จพระชินศรี
ประทับที่บุพพารามพระวิหาร
ใกล้นครสาวัตถีเมื่อมินาน
พร้อมด้วยบริวารติดตามมา
** ในกาลนั้นอุบาสิกาใหญ่
เป็นผู้มีน้ำใจชื่อวิสาขา
เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระศาสดา
ด้วยใบหน้าเศร้าโศกวิโยคครวญ
** เนื่องด้วยหลานรักถึงตักษัย
ประสพภัยเจ็บไข้อาลัยหวน
ยังตัดใจไม่ได้ให้รัญจวน
โอ้เนื้อนวลจากไปไม่กลับคืน
** พระพุทธองค์ตรัสถามเนื้อความว่า
ดูก่อนวิสาขาเธออย่าฝืน
ชีวิตของคนเราไม่ยั่งยืน
เวลาย่อมจะกลืนชีวิตคน
** ได้ยินว่าเธอมีความปรารถนา
ให้ลูกหลานเกิดมาเป็นห่าฝน
มีจำนวนมากมายหลายหมื่นคน
เท่าจำนวนประชาชนในนคร
** ใช่เจ้าค่ะ พระองค์โปรดทรงทราบ
ข้าพระองค์ขอกราบช่วยสั่งสอน
พระองค์โปรดพิจารณาเป็นขั้นตอน
อย่าอาทรความนึกคิดข้าพระองค์
** พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูก่อนวิสาขาเธออย่าหลง
เธอทราบไหมจำนวนคนที่ปลดปลง
ในนครต้องตายลงวันเท่าไร
** วิสาขากราบทูลพระศาสดา
ในพาราสาวัตถีทั้งไกลใกล้
ต้องพบความเศร้าโศกและเสียใจ
เพราะมีคนตายไปทุกทุกวัน
** พระพุทธองค์จึงตรัสวิสาขา
ตามที่เธอกล่าวมาถูกแล้วนั่น
เธอต้องซับน้ำตาชั่วนิรันดร์
เพราะลูกหลานเธอนั้นต้องมาตาย
** เมื่อรักมากความทุกข์ก็มีมาก
ความพลัดพรากเกิดทุกข์ความสุขหาย
ถ้ารักร้อยทุกข์ร้อยไม่ผ่อนคลาย
รักมลายหายสิ้นทุกข์ภินท์พัง
** คนผู้ใดไม่มีสิ่งเป็นที่รัก
ผู้นั้นจักไม่มีทุกข์เป็นบ่อฝัง
ให้ติดในสังสารวัฏทรงพลัง
เป็นทาสของอนิจจังอนัตตา
** เรากล่าวว่าไม่มีทุกข์ไม่เศร้าโศก
เปรียบดังโลกได้รับการรักษา
หมดกิเลสดุจธุลีชั่วชีวา
ทั้งโลกนี้โลกหน้าสุขสำราญ
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#39 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 01:18:08 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
มงคลที่ ๓๘ จิตเกษม
(เขมํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ)
** จิตเกษม คือปลอดภัยจากกิเลส
ซึ่งเป็นเหตุให้ผ่องใสไม่เผาผลาญ
เพราะกิเลสถูกทำลายจนแหลกลาญ
ด้วยโยคะสี่ประการถูกตัดไป
** โยคะคือเครื่องผูกให้สังขาร
ต้องวนเวียนทรมานในห้วงใหญ่
คือวัฏฏะสงสารที่กว้างไกล
ต้องขจัดให้ได้จะร่มเย็น
** “กามโยคะ” เครื่องผูกคือความใคร่
หรือพอใจกามคุณวุ่นเหลือเข็ญ
มีความอยากในรูปรสทุกประเด็น
และกลิ่นเสียงก็ไม่เว้นอีกมากมาย
** “ภวโยคะ” เครื่องผูกคือความยินดี
เพราะอยากเป็นอยากมีอย่างเหลือหลาย
ติดในภพคือเกิดแก่และตาย
ต้องวุ่ยวายวนเวียนเปลี่ยนไปมา
** “ทิฏฐิโยคะ” เครื่องผูกคือความเห็น
เห็นผิดเป็นเรื่องถูกเศร้าหนักหนา
ตัวอย่างเช่นเห็นสังขารเป็นอัตตา
หรือเห็นว่าสังขารเที่ยงแน่นอน
** “อวิชชาโยคะ” คือความบอด
ขาดปัญญาพาวายวอดสุดทอดถอน
ไม่รู้เหตุไม่รู้ผลทนร้าวรอน
ชีวิตต้องสั่นคลอนนอนไม่ลง
** โยคะนี้เปรียบได้เชือกสี่เกลียว
ผูกรัดอย่างแน่นเหนียวให้ไหลหลง
ในโลกีย์วิสัยอย่างมั่นคง
หนีจากวงล้อมของภัยไม่ได้เลย
** ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น
จวบสูญฟ้าสิ้นดินอย่านิ่งเฉย
รีบตัดขาดจากโยคะจะเสบย
หวังเกาะเกยสวรรค์ชั้นวิมาน
** จิตเกษมเป็นมงคลกุศลนัก
ปราศจากทุกข์สุขประจักษ์ทุกสถาน
เป็นสาวกที่สมบูรณ์ควรกราบกราน
เป็นแบบอย่างของวงศ์วานองค์พุทธา
** หมดเหตุและปัจจัยแห่งการเกิด
เป็นสิ่งที่ประเสริฐเกินจักหา
พบขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกา
สูงคุณค่าที่สุดดุจจักรวาล
ธรรมะมีค่าดังทอง
** อดีตกาลผ่านมาหลายพันปี
ณ กรุงพาราณสีอันไพศาล
มีชาวนาคนขยันทำการงาน
ไม่ปล่อยเวลาผ่านอย่างเลื่อนลอย
** ได้จับจองที่ดินซึ่งรกร้าง
เป็นที่ดินปล่อยว่างไม่ใช้สอย
เพื่อถากถางเป็นที่นาไว้รอคอย
ปลูกข้าวกล้าพอได้พลอยอาศัยกิน
** อันที่ว่างแห่งนี้มีประวัติ
ปรากฏชัดของเศรษฐีดังถวิล
ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนบนที่ดิน
จวบจนได้ย้ายถิ่นเมื่อก่อนนั้น
** ชายหนุ่มได้ออกไปเพื่อไถนา
เป็นประจำทุกวันมาอย่างมุ่งมั่น
ครั้นวันหนึ่งเกิดเหตุอัศจรรย์
ผานไถชะงักงันหยุดทันที
** คล้ายกับติดท่อนไม้ที่ฝังอยู่
เพราะอยากรู้รีบขุดอย่างเร็วรี่
พบแล้วจึงรีบคว้าไม่รอรี
เอ๊ะ....มันทองหรือนี่น่าแปลกจัง
** ตามประวัติกล่าวว่าทองคำนี้
เป็นของท่านเศรษฐีในหนหลัง
ด้วยกลัวจะไม่ปลอดภัยต้องระวัง
จึงได้ฝังเอาไว้ให้ไกลตา
** ชายชาวนาตั้งใจเอากลับบ้าน
แต่แท่งใหญ่เกินการราวหินผา
จึงแบ่งเป็นสี่ส่วนด้วยเจตนา
จะจัดสรรให้คุ้มค่าตามสมควร
** ส่วนที่หนึ่งขายนำทรัพย์มาเลี้ยงตัว
พร้อมทั้งเลี้ยงครอบครัวอย่างครบถ้วน
ส่วนที่สองฝังไว้ไม่เรรวน
ยามขัดสนได้หวนเอาไปกิน
** ส่วนที่สามเป็นทุนเพื่อค้าขาย
หากำไรใช้จ่ายเพิ่มทรัพย์สิน
ส่วนที่สี่ทำบุญล้างราคิน
ให้ตระหนี่สูญสิ้นหมดจากใจ
** ชายชาวนาไม่บอกให้ใครรู้
การเป็นอยู่ก็เหมือนเดิมไม่หลงใหล
ไม่ลืมตัวใช้จ่ายผ่องอำไพ
จนใครใครคิดว่ารวยด้วยทำงาน
** พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถา
ใจความว่าชนใดมีพื้นฐาน
บำเพ็ญธรรมเป็นกุศลอย่างสำราญ
จิตเบิกบานสดใสและร่าเริง
** ชนนั้นพึงบรรลุสิ้นสังโยชน์
เป็นประโยชน์จิตเกษมอย่ามัวเหลิง
อีกโยคะทั้งหลายเปรียบดังเพลิง
จะมอดไหม้สิ้นเชิงหมดเชื้อไฟ
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
«
ตอบ
#40 เมื่อ:
20 มีนาคม, 2559, 01:26:07 PM »
หน้าแรก
Re: *** มงคล ๓๘ ประการ ***
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บทส่งท้าย
** หลังจากที่องค์สมเด็จพระศาสดา
จบการแสดงเทศนาทรงผ่องใส
รัศมีแผ่ดังทองเป็นยองใย
เป็นที่พึ่งของเวไนยสัตว์ทั้งปวง
**อันหมู่เทวดาและมนุษย์
รับประโยชน์สูงสุดอย่างใหญ่หลวง
ได้กระทำมงคลชื่นฉ่ำทรวง
จนสำเร็จลุล่วงมีในตน
** จึงเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในทุกที่
กิเลสตัณหาไม่มีเป็นกุศล
จิตสะอาดผ่องใสไร้กังวล
ความมืดมนเพราะโอฆะก็มลาย
** ถึงความสุขสดใสในชีวิต
ปลอดภัยจากมลพิษบาปทั้งหลาย
เจริญธรรมสั่งสมบุญไม่วุ่นวาย
นรกไม่กล้ำกรายหมายนิพพาน
** ทั้งหมดนี้ประโยชน์ของมงคล
จะให้ผลสูงค่ามหาศาล
แสนประเสริฐเลิศล้นจักรวาล
พระพุทธองค์ทรงประทานเพื่อโลกา
** พระพุทธองค์ได้ตรัสเพื่อทิ้งท้าย
การที่สัตว์ทั้งหลายปรารถนา
ได้กระทำมงคลดังกล่าวมา
เป็นผู้ปราบปัจจาให้พ่ายแพ้
** ถึงความสวัสดีทุกสถาน
จะชนะหมู่มารได้แน่แน่
มีความสุขเริงรื่นชื่นดวงแด
เป็นเพชรแท้ของชาวโลกโชคอำนวย
** ขอขอบคุณที่อ่านผลงานนี้
ดีไม่ดีชมว่าสละสลวย
ขอให้ท่านผู้อ่านจงร่ำรวย
อุดมด้วยธรรมะพระพุทธองค์
** ปรารถนาสิ่งไหนได้สิ่งนั้น
สำเร็จพลันตามที่ใจประสงค์
มีฐานะการงานที่มั่นคง
เงินทองจงมากมีตามที่ปอง
** ตั้งมั่นในองค์ธรรมคำสั่งสอน
ของบวรพุทธศาสนาอย่าเป็นสอง
ให้แสงธรรมนำส่องใจใสเรืองรอง
บรรดาผองชาวไทยจงไพบูลย์
ธรรมะมีค่าดังทอง
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
❀ Sasi ❀
,
รพีกาญจน์
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
หน้า:
1
2
[
3
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
บทกลอนไพเราะ
-----------------------------
=> กลอนรัก
=> กลอนเศร้า
=> กลอนคิดถึง
=> กลอนงอนง้อ
=> กลอนคลายเครียด
=> กลอนให้แง่คิด
=> กลอนอวยพร
=> บทประพันธ์อันน่าประทับใจ
=> กลอนเปล่า
=> เรื่องสั้น แนวนิยาย
-----------------------------
อารมณ์กลอน
-----------------------------
=> การใช้งานบอร์ด-แจ้งปัญหา
=> สมาชิกแนะนำตัว
=> สารบัญกลอน สมาชิกกลอน
=> ห้องเรียนรู้คำประพันธ์
=> โคลง
=> ฉันท์ กาพย์ ร่าย
=> กลบท
=> คำคมอารมณ์กลอน
===> หมวดความรัก
===> หมวดเศร้า - อกหัก
===> หมวดการให้แง่คิด
===> หมวดคลายเครียด
-----------------------------
คุยเรื่องร้อยแปดชาวอารมณ์กลอน
-----------------------------
=> กระดานประชาสัมพันธ์สำหรับสมาชิก
=> คุยได้ทุกเรื่อง
=> ดูหนัง-ฟังเพลง-คลิปความบันเทิง
=> ขอความช่วยเหลือในการแต่งคำประพันธ์
-----------------------------
กฎระเบียบและการจัดการประกวดคำประพันธ์
-----------------------------
=> ห้องประกวดคำประพันธ์
กำลังโหลด...