๐ หนาว-ร้อน-ฝน วนผันตามวันผ่าน
กลางห้วงกาลเคล้าสุขคละทุกข์เข็ญ
รุกถาโถมกระหน่ำสุดลำเค็ญ
ความ..มี-เป็น..เต้นยั่วทุกตัวตน
๐ สนยืนต้นเสียดยอดอยู่พลอดหาว
ผ่านร้อนหนาวผลัดช่วงใบร่วงหล่น
แล้วระบัดเรียวริ้วพลิ้วลม,วน-
เวียนอยู่บนสายธารกาลเวลา
๐ ม่านน้ำฝนหลั่งรินโลมดินแห้ง
ครั้งร้อนแล้งห้อมหาวโอบราวป่า
สิ้นมาลีคลี่บานละลานตา
ต่างร่วงลาลงดื่นทั้งผืนดิน
๐ สนยืนต้นหม่นเหงาผ่านเช้าค่ำ
สายลมร่ำฝนร่วงจากสรวงถิ่น
ภายใต้เปลือกเย็นฉ่ำหยาดน้ำริน
กลไกแห่งชีวินยังดิ้นรน
๐ อ้อมกอดเวิ้งฟ้ากว้างในต่างที่
ผลัดเปลี่ยนสีรุ้งรวงแต่งห้วงหน
ฟากฝั่งดินหมุนเวียนผันเปลี่ยนวน
พาพานพบ..พรากพ้น..ผ่าน..ต้น-ปลาย
๐ นั่นเรียวใบร่อนคว้างออกห่างลับ
รอแหลกดับกับดินสิ้นสลาย
ริ้วอารมณ์เรื่อรุ้งอันพุ่งพราย
ก็คลับคล้ายคล้อยเคลื่อนแล้วเลือนรอย
๐ สะท้านกิ่งก้านใบในลมร่ำ
ผ่านคืนค่ำหม่นเทาอันเหงาหงอย
เบื้องบนนั้นจันทร์เสี้ยวรูปเรียวคอย
จักเคลื่อนคล้อยลับฟ้าคราอรุณ
๐ ปลุกปวงชีพตื่นรับจากหลับใหล
พร้อมอุ่นไอแผ่เอื้อลงเกื้อหนุน
ป่นเหงาเงียบเยียบเย็นแหลกเป็นจุล
ด้วยละมุนลำแสงแรงสุรีย์
๐ ขอบฟ้านั่นแปลงภาพเมื่อคาบรุ่ง
เมื่อพรายรุ้งเรื่อสายจนพรายสี
หอมกลิ่นโชยเจือจางบางมาลี
เมื่อยามคลี่กลีบบานบนลานดิน
๐ กลางสรวงฟ้าหล้าต่ำธรรมชาติ
คล้ายภาพวาดผ่านวารตระการถิ่น
สลักลวดลายแฝงในแหล่งจินต์
มิรู้สิ้นสุดลง ณ. ตรงใด
๐ เพียงไม่นานม่านฝนก็หล่นร่วง
กลบกลืนห้วงเวหาดับฟ้าใส
โรยหยาดหยดปนละอองปลิวล่องไป
แทรกทรวงใครซ่านซับอยู่นับนาน
๐ รอกาลเคลื่อนเดือนขับจนลับช่วง
วรรษาล่วงพ้นสิ้นจากถิ่นฐาน
เพื่อริ้วหนาวแผ่ระลอกโลมดอกมาลย์
ที่จะบานรับรู้ฤดูลม
๐ สนระบัดใบอ่อนกลางม่อนหนาว
แพหมอกขาวแผ่ล้อมออกห้อมห่ม
บางอณูฟูฟ่องละล่องพรม
ให้กดข่มความหนาวอันยาวนาน
วลีลักษณา
๖ มกราคม ๒๕๖๑
ที่มา
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=waleelaksana&month=01-2018&date=06&group=26&gblog=81