...ก่อนอื่นผมต้องขออภัยทุกท่าน
หากการแต่งโคลงกลอนของผม
ไปกระทบกระเทือนถึงท่าน
ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
เพราะนั่นมิใช่เจตนาของผม
แต่อาจจะเกิดจากความ
คิดไว ปากไว คะนอง(ตามวัย...หึหึ)
ที่มองเพียงต้องการระบาย พัก ผ่อนคลาย
สนุกสนานเฮฮาผ่านการแต่งโคลงกลอน
จึงขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้
ไม่ต้องขออภัยใดใดครับ ตราบใดที่ยังใช้ภาษาสุภาพ การแซว จีบ แหย่ ในเชิงกลอน ไม่มีอะไรน่าเสียหายใดใดครับสองปีที่ผ่านมาผมได้สนุกกับการเรียนรู้
ในการแต่งโคลงกลอนกาพย์ฉันท์
ร่าย กลบทต่างๆเป็นอย่างมาก
จากที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย
ก็ต้องขอขอบพระคุณครูบาอาจารย์และ
มิตรสหายทุกท่านที่ได้ให้คำแนะนำมาตลอด
อีกทั้งทางผู้บริหารเวป ที่เปิดโอกาสให้ได้
แสดงออกในหลากหลายรูปแบบโดยมิได้ปิดกั้น
เป็นจุดแข็งของเวปนี้ ที่ให้ความเป็นกันเอง และ ให้อิสระ ในขอบเขตที่สมเหตุสมผลครับ
อีกทั้งการมาหัดแต่งโคลงกลอนนี้
ทำให้ผมได้สัมผัสถึง Power of Words
พลังแห่งอักษรและการใช้คำ
ซึ่งถ้าหากผู้สื่อสามารถสื่อสารได้ดี
ก็จะเข้าถึงจิตใจของผู้รับได้อย่างลึกซึ้ง
แต่พลังนี้ก็มีทั้งคุณและโทษ
สามารถทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มคล้อยตาม
สร้างขวัญกำลังใจและความสมัครสมานสามัคคี
แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้าง
ความร้าวฉานบาดหมางในจิตใจที่บาดลึก
มากกว่าบาดแผลทางกายได้เช่นกัน
พลังของการใช้ถ้อยคำ จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับ พลังแห่งการรับรู้ และเข้าใจ ของหัวใจคนฟัง ซึ่งผมคิดว่า นักกลอน จะแต่งกลอนได้ เพราะ พื้นฐานมีอารมณ์ที่อ่อนไหว ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดี ที่สามารถใช้ ห้วงอารมณ์นี้ เขียนงานกลอน แต่ เจ้าอารมณ์อันเดียวกันนี้เองน่ะ หากมองด้วยเหตุผล มีหนักมีเบา มีเขามีเรา แรงไปก็ขอโทษ แล้วจบ เบาไป เติมกำลังใจให้กัน หากคิดแค่นี้ สังคมพี่พี่น้องน้อง ของเราจะสดใสและสวยงามน่ะครับแม้รู้ว่าจำต้องใช้คำด้วยความระมัดระวัง
แต่ก็ยังผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่เพราะความจงใจ
แต่เกิดปัญหาการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
โดยเฉพาะการเขียนกลอนในเวปลักษณะนี้
ปฏิสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
แม้ว่าเราจะไม่ได้ต่อกลอนหรือเอ่ยถึงท่านใด
ท่านหนึ่งโดยตรง แต่เราอาจได้แรงบันดาลใจ
บางส่วนหรือบางอย่างจากกลอนของผู้อื่น
ทำให้เราเขียนกลอนขึ้นมา โดยเรื่องของ
“อารมณ์กลอน” เป็นเรื่องอ่อนไหวบอกได้ยาก
เพราะอาจจะแค่เสี้ยวของวรรค หรือหนึ่งคำ
ที่ดลบันดาลใจให้เราเขียนกลอนในขณะนั้นๆ
หากเราระมัดระวังแล้ว ยังมีพลั้งเผลอ ฝ่ายผู้พลั้งก็ขออภัย ฝ่ายผู้อ่าน ก็มองผ่านเลยไป หรือ สงสัย ก็ถามไถ่กันหลังไมค์ และ ผมเชื่อว่า มิตรภาพพี่พี่น้องน้อง ของเรามีแต่ความห่วงใยกัน มากกว่า จะหาจุดผิดจุดถูกเอาเป็นเอาตายกันน่ะครับ และสิ่งที่เขียนก็อาจเป็นการรำพึงถึงตัวเอง
หรืออาจเปรยขึ้นมาถึงบุคคลตามจินตนาการ
ที่อาจจะอ้างอิงหรือไม่อ้างอิงกับบุคคลจริง
หรือแค่บางส่วนเพื่อมาใช้ในการสร้าง”อารมณ์กลอน”
แต่อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายว่า
เราหมายถึงเขาหรือเอ่ยถึงใครบางคนโดยเฉพาะ
ซึ่งผมเองก็เคยคิดเช่นนี้และเคยทะเลาะกับเขาไปทั่วเหมือนกัน
ดังนั้นหากโคลงกลอนที่ผมเขียนนี้กระทบถึงท่านผู้ใด
ผมก็ขออภัยดังที่กล่าวข้างต้น
ข้อคิดเห็นส่วนนี้ เหมือนข้อเมื่อกี้ครับ คือ หนักเบา คุยกัน อภัย เข้าใจ ไม่มีปัญหาต่อเนื่องใดใดครับกระทู้ลำนำเพลงลานี้ ผมเขียนลามาหลายรอบแล้ว
แต่ก็มิวายได้หวนกลับมาทุกครั้ง...หึหึ
ครั้งนี้คงมิใช่เป็นการลา หรือต้องการดราม่าอะไร
แต่ที่ผ่านมาการแต่งกลอนนั้นมันเหมือนเป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิตประจำวัน ความคิดมันจะนึกเป็นโคลงกลอน
เองตามสิ่งที่มากระทบหรืออารมณ์ที่มีอยู่ในขณะนั้น
ผมก็จะแต่งตามความรู้สึก
ซึ่งมันจะต้องมีความรู้สึกร่วมกับสิ่งที่เราอยากจะบอก
อยากจะเขียนจึงสามารถแต่งกลอนออกมาได้
แต่ถ้าให้ตั้งหัวข้อแล้วให้แต่ง
มักจะแต่งไม่ค่อยได้ เพราะไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมขึ้นมาได้
มาครั้งนี้ความรู้สึก “อารมณ์กลอน” มันชักจะเริ่มแผ่ว
กลอนที่แต่งก็เริ่มที่จะฝืนๆ วนๆ ซ้ำๆ
แรงกระตุ้นให้แต่งกลอนก็เริ่มเหือดหาย
ผมจึงอยากจะไปลองหาความท้าทายใหม่ๆ
แต่ถ้าหากยังสามารถหาแรงบันดาลใจ
ในการแต่งกลอนได้อยู่ ก็อาจจะยังแวะเวียน
มาแต่งกลอนเกรียนๆป่วนเวปบ้าง
ตามแต่โอกาสเอื้ออำนวยครับ
หากคิดจะไปจีบสาวที่อื่น เพื่อสร้างความท้าทายใหม่ๆ ผมคิดว่า สาวบ้านนี้ คงไม่ยอมน่ะครับ 5555 และ ผมเองขอชื่นชมนักกลอนทุกท่านนะครับ ที่กรุณาสละเวลามาลงกลอนในเวป ซึ่งตัวผมเอง เข้ามาน้อย แต่ ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไม่ได้ เพราะ ผมยังมีความสุขในการติดตามอ่านงานกลอนของคุณโซล คุณมนต์คำ และ นักกลอนท่านอื่นๆ เสมอน่ะครับ
ด้วยความรักพี่พี่น้องน้องบ้านอารมณ์กลอนทุกท่าน
Jannjao