Username:
Password:
หน้าแรก
ห้องสนทนา
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..
>>
บทกลอนไพเราะ
>>
กลอนให้แง่คิด
>>
นิทานธรรม
หน้า: [
1
]
2
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: นิทานธรรม (อ่าน 9956 ครั้ง)
0 สมาชิก
และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
นิทานธรรม
«
เมื่อ:
28 เมษายน, 2559, 03:13:51 PM »
หน้าแรก
นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๑ นกแขกเต้าสองพี่น้อง
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** มีนิทานชาดกยกมาเล่า
เรื่องของนกแขกเต้าในไพรสณฑ์
ตัวที่หนึ่งลมพัดจรดล
สู่วังวนโจรไพรใจทมิฬ
** อีกตัวหนึ่งพึงตกหมู่ฤๅษี
ถูกสั่งสอนให้ดีไม่ใจหิน
แตกต่างกันที่คนดังยลยิน
จะดีเลวเพราะเคยชินคบกันมา
** วันหนึ่งเจ้าผู้ครองพระนคร
เสด็จจรประพาสไพรพฤกษา
ทรงล่าเนื้อหลงไปในพนา
จนเหนื่อยล้าเข้าพักใต้ร่มไทร
** ลมเอื่อยเอื่อยพัดมาพาให้ง่วง
ใบไม้ร่วงดังเสียงกล่อมให้หลับใหล
หลับตาลงจินตนาพาไปไกล
ไม่เท่าใดเริ่มเลือนรางย่างนิทรา
** เป็นดินแดนที่นกอยู่กับโจร
ใจหยาบโลนยิ่งนักร้ายหนักหนา
เจ้านกน้อยเมื่อเห็นจอมพารา
ด้วยสันดานนกป่าเหมือนโจรไพร
** จึงพูดว่าต้องฆ่าเอาทรัพย์สิน
ตื่นบรรทมได้ยินไม่ไถล
เสด็จหนีโดยพลันในทันใด
ให้ห่างไกลนกพาลสันดานทราม
** ได้พบนกที่อยู่กับนักบวช
อย่างเร็วรวดต้อนรับมิหยาบหยาม
มีสัมมาคารวะแสนงดงาม
พระราชาชื่นชมความเป็นนกดี
** นกทั้งสองพี่น้องท้องเดียวกัน
แต่แตกต่างเพราะผูกพันคนละที่
นกที่อยู่กับโจรมีราคี
นกที่อยู่กับฤๅษีมีน้ำใจ
** คบคนพาลที่สันดานเขาหยาบช้า
แย่เสียกว่ายาเสพติดพิษยิ่งใหญ่
ยอมจะมีนิสัยชั่วตามเขาไป
คบผู้ใดก็จะเป็นเช่นผู้นั้น
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
❀ Sasi ❀
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
โซ...เซอะเซอ
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#1 เมื่อ:
28 เมษายน, 2559, 03:35:13 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๒ ประโยชน์ของการคบมิตร
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** ในอดีตกาลที่ผ่านมา
สมเด็จพระศาสดาเปล่งรัศมี
ทรงปรารภเรื่องมิตรจิตอารี
จึงทรงมีพระธรรมเทศนา
** พระราชอุทยานในกาลนั้น
ต่างก็มีสุขสันต์ชื่นหรรษา
โพธิสัตว์บังเกิดเป็นเทวดา
ประจำกอหญ้าคาในอุทยาน
** ได้เป็นมิตรเทวราชผู้ใหญ่ยิ่ง
ซึ่งพักพิงไม้มงคลมหาศาล
เกิดอาเพสมีเหตุพิสดาร
เสาปราสาทราชฐานไหวขึ้นมา
** ทรงรับสั่งให้ช่างรีบปรับเปลี่ยน
พวกนายช่างต่างเพียรเที่ยวเสาะหา
เมื่อพบไม้มงคลจึงหมายตา
ขออนุญาตพระราชาเพื่อจัดการ
** ทรงอนุมัติตามขอไม่รอช้า
เทวราชถึงคราน่าสงสาร
กอดคอลูกร้องไห้แทบวายปราณ
ใครหนอจะกล้าหาญมาช่วยเรา
** โพธิสัตว์บอกว่าข้าจะช่วย
ไม่ต้องตัดไม้ด้วยอย่าโศกเศร้า
ถึงเวลาฝ่ายช่างไม่ดูเบา
จึงรีบเข้าไปตัดในทันที
** โพธิสัตว์แปลงร่างเป็นกิ้งก่า
วิ่งนำหน้าเร็วไวอย่างด่วนจี๋
เข้าไปในต้นไม้โดยทันที
เปรียบประหนึ่งว่ามีโพรงข้างใน
** ฝ่ายนายช่างต่างเห็นเหตุการณ์นั้น
จึงพากันยกเลิกตัดต้นใหม่
เทวราชจึงอยู่สืบต่อไป
กล่าวสรรญสริญด้วยใจที่ช่วยตน
** บุคคลที่เสมอกันหรือสูงกว่า
ควรคบหาเอาไว้ไม่หมองหม่น
แม้ต่ำกว่าก็คบได้ไม่อับจน
มิตรทุกคนมีน้ำใจมากไมตรี
** คบมิตรดีล้วนมีแต่ความสุข
ห่างจากทุกข์ใดใดไม่หมองศรี
คบบัณฑิตปิดนรกชั่วชีวี
หนุนให้มีความสุขทุกคืนวัน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
❀ Sasi ❀
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
โซ...เซอะเซอ
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#2 เมื่อ:
28 เมษายน, 2559, 09:42:16 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๓ นายสุมนะมาลาการ
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** ในสมัยพุทธกาลกล่าวขานไว้
เป็นตัวอย่างเพื่อให้ได้ศึกษา
ขอเชิญชวนทุกท่านผู้ศรัทธา
ล้อมวงมาฟังกันขอบรรยาย
** ณ กรุงราชคฤห์แคว้นมคธ
ซึ่งงามงดโสภางค์อย่างเหลือหลาย
มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย
กระทาชายสุมนะมาลาการ
** ทำหน้าที่เป็นผู้จัดดอกไม้
เพื่อมอบให้พระเจ้าพิมพิสาร
ทำอย่างนี้ติดต่อมาเนิ่นนาน
พระราชทานเงินทองของตอบแทน
** จนวันหนึ่งได้พบพระพุทธองค์
พร้อมพระสงฆ์สาวกอีกเนืองแน่น
เกิดศรัทธาเลื่อมใสไม่คลอนแคลน
หมายวังแดนสวรรค์อันรื่นรมย์
** จึงถวายดอกไม้ให้เป็นทาน
เริ่มด้วยการแบ่งส่วนอย่างเหมาะสม
สองกำแรกโยนขึ้นไปตามลม
น่าชื่นชมได้กลายเป็นเพดาน
** สถิตอยู่เบื้องบนพระศาสดา
อีกสองกำต่อมาก็ประสาน
อยู่เบื้องหลังดูแลงามตระการ
ช่างเป็นเหตุพิสดารเกิดขึ้นมา
** ครั้งที่สามปรากฏอยู่เบื้องซ้าย
ครั้งที่สี่ก็ย้ายมาเบื้องขวา
มวลดอกไม้ลอยตามดูงามตา
เหล่าประชาโห่ร้องก้องกังวาล
** สุมนะปลื้มปิติเป็นที่ยิ่ง
ยอมทุกสิ่งแม้จะถูกประหาร
เพราะไม่มีดอกไม้ให้ภูบาล
หมือนดังวันวานและทุกวัน
** จึงเข้าเฝ้าสมเด็จเจ้าเหนือหัว
ไม่เกรงกลัวแม้ภัยใหญ่มหันต์
รีบกราบทูลให้ทราบมิช้าพลัน
บังคมคัลพร้อมรับกับอาญา
** พระราชาจึงตรัสว่า “สาธุ”
จงบรรลุสิ่งพึงปรารถนา
แล้วมอบเงินทองของนานา
ทั้งช้างม้าวัวควายให้เขาไป
** การบูชาผู้ที่ควรบูชา
ย่อมได้มาซึ่งสินทรัพย์นับไม่ไหว
และย่อมเกิดความสุขเหนืออื่นใด
ทำให้ใจหายขุ่นมัวชั่วนิรันดร์
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
เฒ่าธุลี
,
รพีกาญจน์
,
โซ...เซอะเซอ
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#3 เมื่อ:
28 เมษายน, 2559, 09:48:32 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๔ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** เมื่อสมัยพุทธกาลแสนนานนัก
สองเพื่อนรักสาบานเป็นสหาย
ให้สัญญารักกันจนวันตาย
เกิดเบื่อหน่ายกามคุณวุ่นโลกีย์
** คนที่หนึ่งคือโมคคัลลานะ
อุตสาหะดิ้นรนพ้นวิถี
อีกคนหนึ่งสารีบุตรชายชาตรี
อยากหลีกลี้หนีทุกข์ให้สุดไกล
** จับมือกันเป็นศิษย์สญชัยเฒ่า
ตั้งใจเฝ้าศึกษาหาสิ่งใหม่
ได้เรียนจบหลักสูตรในเร็วไว
เจ้าสำนักตั้งให้เป็นอาจารย์
** คอยสั่งสอนรุ่นน้องให้ท่องบ่น
และฝึกฝนวิชาพาอาจหาญ
ไม่สมปรารถนาที่ต้องการ
อยากพบพานผู้รู้โมกขธรรม์
** จึงขอลาอาจารย์ออกเสาะหา
ให้สัจจะวาจาไม่แปรผัน
แม้นใครพบผู้รู้จะบอกกัน
เป็นพันธะผูกพันตลอดไป
** ครั้นวันหนึ่งสารีบุตรสุดโชคดี
พบสมณะผู้มีกายผ่องใส
คือพระอัสสชิมิใช่ใคร
เป็นหนึ่งในกลุ่มปัญจวัคคีย์
** จึงเข้าไปสนทนาวิสาสะ
เพื่อศึกษาธรรมะพระชินศรี
จึงนิมนต์ให้แสดงธรรมวาที
จงเอื้อนเอ่ยวจีเป็นสำเนา
** พระอัสสชิบอกว่าตัวข้านี้
ผู้บวชใหม่ยังมีความโง่เขลา
พระบรมศาสดาครูของเรา
จะสั่งสอนให้เจ้าได้เข้าใจ
** สารีบุตรนมัสการกล่าวขานว่า
ขอจงโปรดเมตตาจะได้ไหม
บอกข้อธรรมเบื้องต้นเป็นสายใย
พอทำให้ก่อเกิดภูมิปัญญา
** อัสสชิภิกษุพระผู้น้อย
จึงเอ่ยถ้อยกล่าวไปไม่กังขา
อันว่าธรรมเหล่าใดย่อมไหลมา
มีตัณหาเป็นเหตุเกิดเภทภัย
** ผลของมันย่อมทำให้เกิดทุกข์
ไร้ความสุขโศกาอย่าสงสัย
ละตัณหาสิ้นทุกข์สุขฤทัย
มีโชคชัยไร้กิเลสเหตุเกิดพลัน
** สารีบุตรปล่อยใจใฝ่ธรรมะ
จิตลดละอกุศลผลเกินฝัน
จนที่สุดบรรลุโสดาบัน
ในวันนั้นด้วยธรรมองค์สัมมา
** รีบกลับไปแจ้งข่าวแก่เพื่อนรัก
แล้วชวนชักสญชัยเพื่อไปหา
กราบบังคมสมเด็จพระศาสดา
แต่สญชัยบอกว่าไม่เป็นไร
** สองสหายเข้าเฝ้าจอมโมลี
ได้ขอบวชทันทีมิหวั่นไหว
เพียรบำเพ็ญกัมมัฏฐานฝึกจิตใจ
ครั้นที่สุดก็ได้บรรลุธรรม
** สารีบุตรนั้นเลิศทางปัญญา
โมคคัลลาเลิศทางฤทธิ์จิตคมขำ
เป็นอัครสาวกองค์ผู้นำ
เพราะได้ทำคุณงามสร้างความดี
** ทั้งสองท่านประสบความสำเร็จ
ประหนึ่งเพชรส่องประกายฉายแสงสี
เป็นเพราะประเทศนั้นบังเกิดมี
พุทธศาสน์เป็นที่หลอมศรัทธา
** อันการอยู่ในประเทศที่เหมาะสม
เป็นอุดมมงคลดีหนักหนา
ประดุจดังวิมานเทพเทวา
มีความสุขทุกทิพาราตรีกาล
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
เฒ่าธุลี
,
รพีกาญจน์
,
โซ...เซอะเซอ
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#4 เมื่อ:
28 เมษายน, 2559, 10:01:21 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๕ ควาญช้างได้เป็นพระมหากษัตริย์
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** อดีตกาลผ่านมาเวลาผ่าน
แสนเนิ่นนานขอกล่าวเล่าความหลัง
เรื่องเกิดที่พาราณสีนครัง
นิทานังได้ฤกษ์เริ่มเบิกโรง
** ชายคนหนึ่งอาชีพตัดฟืนขาย
สุขสบายแม้จะไม่โอ่โถง
เป็นอาชีพสุจริตไม่คิดโกง
รับรองโปร่งไม่มีที่นอกใน
** ณ วันหนึ่งจึงออกไปในป่า
หวังจะตัดไม้มาไม่เหลวไหล
นำไปขายทำกินในถิ่นไพร
เพื่อจะได้ยังชีพเช่นทุกวัน
** ไม่เกียจคร้านซื่อตรงต่อหน้าที่
เป็นคนมีมานะและขยัน
ตื่นแต่เช้าเข้าป่ามิช้าพลัน
นิจนิรันดร์สุขใจไม่อาทร
** ตัดไม้เพลินเกินเวลากว่าจะกลับ
ตะวันลับขอบฟ้าพาสังหรณ์
ถ้าประตูเมืองปิดคงร้าวรอน
จึงรีบจรกลับมายังหน้าเมือง
** ถึงเวลานายประตูรู้หน้าที่
จึงรีบปิดทันทีใช่ทำเขื่อง
ปฏิบัติตามกติกาอย่าขุ่นเคือง
ไม่ใช่เรื่องเสแสร้งหรือแกล้งใคร
** คนตัดฟืนมาถึงจึงได้รู้
ว่าประตูเพิ่งปิดไปใหม่ใหม่
จึงจำเป็นจะต้องตัดสินใจ
ไม่เป็นไรยอมนอนนอกกำแพง
** ครั้นใกล้รุ่งสะดุ้งเพราะเสียงไก่
เถียงกันสนั่นไหวอวดกำแหง
อันสาเหตุทะเลาะกันรุนแรง
ไก่ตัวบนผิดสำแดงถ่ายลงมา
** ให้บังเอิญถูกหัวไก่ตัวล่าง
ความบาดหมางจึงวิ่งเข้ามาหา
เกิดโอ้อวดเถียงกันจำนรรจา
ต่างก็ว่าตัวเก่งไม่เกรงกัน
** ไก่ตัวล่างบอกว่าตัวข้านี้
มีของดีประเสริฐเกินเสกสรร
อันเนื้อข้ามีคุณนับอนันต์
ใครได้กินมีเงินพันในทันใด
** ไก่ตัวบนบอกว่าข้าแน่กว่า
เมื่อกินเนื้อของข้าจะสดใส
เป็นพระมหากษัตริย์ในเร็วไว
เป็นมเหสีหรือไม่เป็นขุนคลัง
** คนตัดฟืนได้ฟังไม่รอช้า
รีบลุกมาพร้อมกับมีความหวัง
เป็นราชาที่เข้มแข็งมีพลัง
ได้ครอบครองเวียงวังอันโอฬาร
** จึงจับไก่ตัวบนเอามาฆ่า
นำไปให้ภรรยาทำอาหาร
เล่าเรื่องราวที่เกิดแก่นงคราญ
เยาวมาลย์จะได้เป็นยอดนารี
** เมื่อเสร็จแล้วจึงบอกให้ทราบว่า
อาบน้ำก่อนดีกว่าจะเป็นศรี
จงได้นำอาหารเท่าที่มี
ไปยังริมนทีชำระกาย
** ขณะนั้นเกิดมีพายุใหญ่
พัดอาหารลอยไปเกินคาดหมาย
ลอยละล่องในธาราอย่างท้าทาย
คนตัดฟืนเสียดายอดได้กิน
** เป็นเพราะวาสนาสร้างมาน้อย
โชคจึงลอยล่องไปไกลสูญสิ้น
บุญกาลก่อนไม่ได้สร้างจึงโบยบิน
โอ้ชีวินไร้คุณค่าแทบบ้าตาย
** โชคชะตาวาสนาของควาญช้าง
ที่ได้สร้างเอาไว้ไม่สูญหาย
ขณะที่นำช้างเยื้องย่างกราย
ไปริมฝั่งของสายมหานที
** มีถาดไก่ลอยมากลางสายน้ำ
จึงได้จ้ำว่ายไปอย่างเร็วรี่
รีบคว้าเอาถาดไก่ไว้ทันที
เป็นโชคดีได้อาหารกลับบ้านตน
** ฝ่ายดาบสอาจารย์ของควาญช้าง
ญาณพิเศษนำทางไม่สับสน
รู้เรื่องราวของไก่เป็นมงคล
จรดลหาควาญช้างอย่างเร็วไว
** นายควาญช้างจึงรีบบอกภรรยา
รีบนำอาหารมาแล้วมอบให้
ฝ่ายดาบสจึงรับอาหารไป
จัดการอย่างรู้ใจให้ทุกคน
** แบ่งสันในให้แก่นายควาญช้าง
บุญบารมีที่สร้างทางกุศล
จะได้เป็นราชาของหมู่ชน
ภายใต้นพปฏลเศวตทอง
** ฝ่ายภรรยาดาบสให้สันนอก
เพื่อจะบอกชาตินี้ไม่มีหมอง
ได้เป็นมเหสีผู้ครอบครอง
ราชธานีดังปองคู่ราชา
** ส่วนดาบสเลือกเนื้อติดกระดูก
จะพันผูกรับใช้เสน่หา
เป็นเสนาบดีมีศักดา
คู่พระทัยกษัตราครองธานี
** อีกสามวันข้าศึกมาประชิด
รอบทุกทิศของกรุงพาราณสี
จอมกษัตริย์ผู้ซึ่งครองบุรี
จึงได้มีดำรัสสั่งลงมา
** ให้ควาญช้างแต่งตัวเป็นกษัตริย์
อนุมัติให้ออกศึกคึกหนักหนา
พระองค์เองเป็นทหารออกตรวจตรา
โดนธนูยิงมาถึงสิ้นใจ
** ควาญช้างเปลี่ยนอุบายการต่อสู้
เอาชนะศัตรูให้จงได้
นำทรัพย์สินเงินทองจากคลังใน
จะมอบให้แก่ผู้ออกสู้รบ
** ในที่สุดก็ได้ชัยชนะ
แต่นี้จะเกิดมีความสงบ
การกระทำแบบนี้เพิ่งเคยพบ
นายควาญช้างสยบพวกมาเยือน
** ชาวเมืองยกให้เป็นวีรบุรุษ
ยอดมนุษย์เก่งกล้าหาใครเหมือน
จึงสถาปนาไม่แชเชือน
เป็นกษัตริย์เชือดเฉือนด้วยศักดา
** ด้วยผลบุญทำไว้ในปางก่อน
จึงสะท้อนให้มีวาสนา
ดำรงศักดิ์ยิ่งใหญ่ในพารา
ทั้งสามีภรรยาและอาจารย์
** รีบสร้างบุญกันไว้ในชาตินี้
จะได้มีต้นทุนในสงสาร
เกิดชาติใดไม่ทุกข์ทรมาน
สั่งสมบุญบันดาลให้สุขใจ
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
อ้ายอ่ำ
,
รพีกาญจน์
,
โซ...เซอะเซอ
,
เฒ่าธุลี
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#5 เมื่อ:
28 เมษายน, 2559, 10:07:41 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๖ โกสิยะผู้ตระหนี่
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** จะขอเล่านิทานในกาลก่อน
เพื่อสะท้อนการทำดีที่สร้างสรรค์
และส่งเสริมละความชั่วอย่าผูกพัน
ใช่จะเพ้อจำนรรจ์เพียงลมลม
** ในกาลนั้นที่กรุงพาราณสี
ท่านเศรษฐียิ่งใหญ่ไม่ขื่นขม
มีทรัพย์สินเงินทองเอกอุดม
น่าชื่นชมจิตใจใสละมุน
** ตั้งโรงทานหกแห่งเพื่อช่วยเหลือ
มีจิตใจเอื้อเฟื้อช่วยเกื้อหนุน
แก่คนจนยากไร้ได้พึ่งบุญ
ต่อชีวิตเป็นทุนก้าวต่อไป
** สี่โรงทานตั้งอยู่ในสี่ทิศ
ใกล้เคียงชิดกับสี่ประตูใหญ่
มีผู้คนมากมายทั้งใกล้ไกล
พวกเขาได้อาศัยในโรงทาน
** อีกแห่งหนึ่งกลางเมืองดูเรืองรุ่ง
คนยากไร้ต่างมุ่งรับอาหาร
อีกหนึ่งแห่งตั้งอยู่หน้าเรือนชาน
พร้อมให้บริการทุกทุกวัน
** การสร้างบุญทำให้จิตผ่องใส
เมื่อตายแล้วจะได้ไปสวรรค์
ท่านเศรษฐีก็เป็นเช่นเดียวกัน
เมื่อตายพลันไปเกิดเป็นพระอินทร์
** ฝ่ายลูกชายก็ได้สละทรัพย์
เช่นเดียวกับเศรษฐีเป็นนิจสิน
ทำจิตใจให้ผ่องใสไร้ราคิน
ละชีวินไปเกิดเป็นพระจันทร์
** ส่วนหลานชายได้รับมรดก
ก็หยิบยกปฏิปทามาสานฝัน
ดำเนินการทุกสิ่งให้เหมือนกัน
ไปตามที่ปู่นั้นท่านทำมา
** ครั้นสุดท้ายถึงกาลสิ้นชีวิต
ไปสถิตเทวโลกโชคหนักหนา
ชื่อพระอาทิตย์ผู้ทรงมหิทธา
เพราะบุญญาที่สร้างอย่างถาวร
** อีกหลายรุ่นผ่านไปไม่เปลี่ยนผัน
คงยึดมั่นในทานไม่ถ่ายถอน
จนกระทั่งคนสุดท้ายก็คลายคลอน
ยกเลิกสิ่งเก่าก่อนแม้โรงทาน
** โกสิยะเป็นคนที่ตระหนี่
ไม่เคยมีเมตตาและสงสาร
คิดว่าคนรุ่นเก่าโง่ดักดาน
การให้ทานสิ้นเปลืองเลิกเสียที
** การเป็นอยู่ของเขาช่างแสนเข็ญ
ทำตัวเป็นยากไร้ให้เสื่อมศรี
ใช้เสื้อผ้าเก่าเก่าคลุมกายี
การเป็นอยู่เหลือที่น่าเวทนา
** บริโภคปลายข้าวเช้าเที่ยงค่ำ
ชีวิตแสนชอกช้ำเพราะบาปหนา
เนื่องจากความตระหนี่เกินอัตรา
จึงได้พาให้คิดผิดทำนอง
** เช้าวันหนึ่งโกสิยะจะเข้าเฝ้า
เหนือหัวเจ้าพาราณสีเพื่อสนอง
นโยบายต่าง ๆ ดังใจปอง
เพื่อรับใช้ผู้ครองราชธานี
๑๓๔. ** จึงแวะหาเศรษฐีเพื่อนผู้น้อง
ซึ่งเป็นคู่ปรองดองไม่หน่ายหนี
เขาทานข้าวปายาสอยู่พอดี
ได้ชวนชี้โกสิยะทานด้วยกัน
** ความอยากทานบังเกิดอย่างจับจิต
แต่นิ่งคิดเกรงกลัวจนตัวสั่น
เราจะต้องตอบแทนเขาสักวัน
ความเสียดายเกินขั้นจะพรรณนา
** กลับถึงบ้านความอยากก็มากขึ้น
ต้องนั่งกลืนน้ำลายให้โหยหา
กลัวจะเสียทรัพย์สินจึงรอรา
จนกายาผ่ายผอมสุดตรอมตรม
** อาการไข้ได้ป่วยก็กำเริบ
เพราะอยากเปิบข้าวปายาสไม่สุขสม
จะนั่งนอนโศกเศร้าเร้าระทม
ภรรยาคู่ภิรมย์คอยปลอบใจ
** สอบถามว่าต้องการสิ่งใดหรือ
จะปรนปรือจัดให้อย่างยิ่งใหญ่
อันทรัพย์สินเรามีออกถมไป
ถ้าอยากได้จะรีบจัดหามา
** โกสิยะจึงแจ้งให้เมียรู้
เรื่องที่ข้าคิดอยู่และปรารถนา
อยากกินข้าวปายาสเพียงสักครา
ภรรยารีบตอบว่าตกลง
** ถ้าอย่างนั้นจะสั่งคนรับใช้
ให้เตรียมของเอาไว้ไม่ลืมหลง
พรุ่งนี้จะได้หุงอย่างมั่นคง
เจตน์จำนงให้ทุกคนได้รับทาน
** ท่านเศรษฐีบอกว่าไม่จำเป็น
มันสิ้นเปลืองเห็นเห็นจะร้าวฉาน
มีแต่เราไม่เปลืองงบประมาณ
คนในบ้านเขาคงไม่อดตาย
** ภรรยากล่าวว่าถ้าอย่างนั้น
ท่านกับฉันสองคนคงสมหมาย
หุงข้าวปายาสกินอย่างสบาย
ไม่มีใครวุ่นวายกับสองเรา
** โกสิยะว่าเจ้าไม่อยากกิน
ทำมากก็สูญสิ้นเสียเปล่าเปล่า
ข้าคนเดียวไม่มากพอทำเนา
ขอให้เจ้าจงได้รีบจัดการ
** เราจะไปหุงกันที่ในป่า
จะไม่มีใครมาช่วยล้างผลาญ
ทำให้เราเจ็บใจและร้าวราน
ข้าจะได้รับประทานอย่างสุขใจ
** ร้อนถึงบรรพบุรุษในชั้นสรวง
เขาทั้งปวงปรึกษากันจะแก้ไข
ความตระหนี่ถี่เหนียวโดยเร็วไว
มิฉะนั้นสิ้นใจลงอบาย
** เนรมิตกายามาเป็นพราหมณ์
ที่อุตส่าห์พยายามด้วยกระหาย
หวังส่วนแบ่งข้าวปายาสเพื่อเลี้ยงกาย
จึงทุรนทุรายมาขอกิน
** โกสิยะเสียดายไม่อยากให้
ปฏิเสธไม่ได้ดังถวิล
จำต้องยอมแบ่งให้ใจรวยริน
ต้องสูญสิ้นบางส่วนชวนเสียดาย
** แต่น่าแปลกประหลาดคาดไม่ถึง
อาหารพึงไม่พร่องหรือสลาย
โกสิยะรู้สึกหิวอย่างมากมาย
จึงมุ่งหมายรีบตักอาหารกิน
** ปัญจะสิขะเทพผู้เป็นพ่อ
ไม่รีรอแปลงร่างอย่างใจหิน
เป็นสุนัขฉี่ใส่ในหม้อดิน
โกสิยะเลยสิ้นโอกาสทาน
** จึงลุกขึ้นวิ่งไล่เจ้าสุนัข
เพราะความแค้นสุดจักจะสมาน
หวังจะตีให้เข็ดไปอีกนาน
สุนัขพาลกลายร่างเป็นพาชี
** แล้วกลับมาแสดงความดุร้าย
มุงหน้าหมายมาไล่ท่านเศรษฐี
ให้หันหลังวิ่งไปในทันที
เพราะกลัวมีอันตรายมาใกล้ตน
** พราหมณ์ทั้งห้าแสดงตัวตามฐานะ
กลับกลายเป็นเทวะใจกุศล
สั่งสอนให้ก้าวพ้นความอับจน
เป็นมงคลทำให้สุขสำราญ
** พรรณนาถึงผลความตระหนี่
ทำให้มีแต่ทุกข์ในสงสาร
จงทำดีเลื่อมใสในผลทาน
เทวโลกสถานอันพึงไป
** โกสิยะเข้าใจในคำสอน
กราบขอพรเริ่มต้นชีวิตใหม่
สร้างโรงทานสานฝันอันเกรียงไกร
ตามบรรพบุรุษน้อยใหญ่ได้ทำมา
** เมื่อละโลกไปเกิดในวิมาน
สุขสราญรมย์รื่นชื่นหรรษา
การตั้งตนไว้ชอบย่อมนำพา
ให้ชีวิตสูงค่าสุขสบาย
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
อ้ายอ่ำ
,
รพีกาญจน์
,
โซ...เซอะเซอ
,
เฒ่าธุลี
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#6 เมื่อ:
28 เมษายน, 2559, 10:19:06 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๗ บุรุษง่อยนักดีดก้อนหิน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** อดีตกาลผ่านมาช้านานแล้ว
ณ เมืองแก้วชื่อว่าพาราณสี
บุรุษง่อยคนเก่งและแสนดี
เลี้ยงชีวีด้วยศิลป์ดีดหินกิน
** ทุกทุกเช้าพวกเด็กลูกชาวบ้าน
ได้พาไปสร้างงานดีดก้อนหิน
ให้กระทบใบไม้งามโสภิณ
จะเกิดภาพตามจินตนาพลัน
** เป็นวัวควายช้างม้านานาสัตว์
สาระพัดรูปร่างช่างสร้างสรรค์
คนที่ผ่านไปมาชื่นชมกัน
มอบเงินเป็นรางวัลกำนัลมา
** ครั้นวันหนึ่งกษัตริย์ทรงประพาส
พร้อมอำมาตย์น้อยใหญ่ใจปรารถนา
จะออกไปล่าสัตว์ในพนา
เมื่อผ่านมาได้เห็นเป็นสำคัญ
** เห็นรูปสัตว์ต่างต่างช่างงามนัก
เป็นประจักษ์ศิลปะหฤหรรษ์
เมื่อได้พบชายง่อยค่อยจำนรรจ์
จึงเสกสรรค์ตรัสถามเนื้อความไป
** ปุโรหิตของเราเขาพูดมาก
เราจึงอยากให้ช่วยจะได้ไหม
บุรุษง่อยรีบตอบในทันใด
คงจะพอช่วยได้นะพระองค์
** พระราชาจึงพาคนง่อยเปลี้ย
ไม่ให้เสียเวลาตามประสงค์
ทรงยกเลิกเที่ยวป่าดังจำนง
จึงมุ่งตรงกลับไปยังในวัง
** พระองค์ทรงรับสั่งให้เจาะม่าน
เพื่อให้ชายพิการอยู่ข้างหลัง
มีผ้าม่านเป็นส่วนที่ปิดบัง
จัดที่นั่งปุโรหิตตรงพอดี
** ถึงเวลาราชาประทับนั่ง
ที่เหนือราชบัลลังก์คชสีห์
ปุโรหิตอำมาตย์มุขมนตรี
ต่างกล่าวราชสดุดีองค์ราชัน
** องค์ราชาเริ่มมีพระดำรัส
พระทรงตรัสราชกิจจิตสุขสันต์
ปุโรหิตพูดมากเหมือนทุกวัน
ทุกคนต่างพากันเอือมระอา
** กล่าวฝ่ายชายพิการผู้มีศิลป์
ในการดีดก้อนหินชื่นหรรษา
เมื่อได้รับมูลแพะจากราชา
นั่งหลังม่านบังตาดำเนินการ
** ครั้นท่านปุโรหิตอ้าปากพูด
จึงดีดคูถของแพะดังกล่าวขาน
เป็นศิลปะที่มีความชำนาญ
เข้าในปากของท่านโดยทันที
** ปุโรหิตรู้ตัวนึกอับอาย
ไม่กล้าคายออกมาหน้าเช่นผี
จึงต้องกลืนมูลแพะแต่โดยดี
จนอิ่มท้องเต็มที่สุดพรรณนา
** พระราชาตรัสว่าปุโรหิต
ท่านจงคิดให้ดีด้วยเถิดหนา
เนื่องจากท่านได้เอ่ยเผยวาจา
จนเกินกว่าพอดีที่ควรเป็น
** ในท้องท่านจึงเต็มด้วยมูลแพะ
ขอชี้แนะอย่าทนความทุกข์เข็ญ
จงรีบทำในสิ่งที่จำเป็น
คือดื่มน้ำเย็นเย็นสำรอกมัน
** นับแต่นั้นปุโรหิตสงบเสงี่ยม
รู้จักเจียมกายใจไม่หุนหัน
จะพูดเฉพาะเรื่องที่สำคัญ
ไม่พูดมากเหมือนวันที่ผ่านมา
** พระราชาขอบใจชายพิการ
พระราชทานรางวัลมากนักหนา
มอบหมู่บ้านสี่ตำบลไม่รอรา
ทั้งเงินทองของมีค่านับอนันต์
** อันความรู้รู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว
แต่ให้เชี่ยวชาญเห็นเป็นมิ่งขวัญ
ศิลปะเป็นมงคลนิจนิรัดร์
นานกัปกัลป์มีคุณค่ากว่าสิ่งใด
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
อ้ายอ่ำ
,
รพีกาญจน์
,
โซ...เซอะเซอ
,
เฒ่าธุลี
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#7 เมื่อ:
29 เมษายน, 2559, 11:01:43 AM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๘ นิทานเรื่องเสนกะบัณฑิต
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** ขอย้อนกล่าวถึงพระโพธิสัตว์
ครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ใหญ่
ชื่อว่า “เสนกะ” ผ่องอำไพ
เรียนรู้จากแดนไกลตักสิลา
** รับราชการที่กรุงพาราณสี
ทำหน้าที่อนุศาสน์ไขปัญหา
ได้ขยายอรรถธรรมแก่ราชา
บรรยายธรรมแก่บรรดาเหล่าปวงชน
** มีพราหมณ์แก่ขอทานเลี้ยงชีวิต
หากินสุจริตไม่หมองหม่น
เดินขอไปในย่านของผู้คน
ได้เงินมาเหลือล้นเกินรำพัน
** จึงหวนกลับเคหาเคยอาศัย
แสนอาลัยหนักหนาพาไหวหวั่น
ต้องจากไปขอทานเสียนานครัน
เพื่อครอบครัวสุขสันต์ทุกวันวาร
** ระหว่างทางแวะเข้าใต้ต้นไม้
เพื่อจะได้หยุดพักทานอาหาร
หยิบข้าวตังออกมารับประทาน
แล้วลนลานรีบออกไปล้างมือ
** จนทำให้เขาลืมปิดปากถุง
จิตใจมุ่งติดถึงบ้านประสาซื่อ
งูพิษร้ายได้กลิ่นหอมกระพือ
เป้าหมายคือถุงผ้าของขอทาน
** ฝ่ายพราหมณ์แก่กลับมาไม่ได้คิด
จึงรีบปิดถุงผ้ากลับถิ่นฐาน
ทันใดนั้นมีเสียงก้องกังวาน
เพื่อบอกให้ขอทานระวังตัว
** ถ้าวันนี้หยุดพักระหว่างทาง
ชีพจะต้องวายวางใช่พูดมั่ว
ถ้าถึงบ้านเมียตายอย่างน่ากลัว
ดีหรือชั่วสร้างไว้ได้แน่นอน
** พราหมณ์แก่ได้ทราบเรื่องเดินร้องไห้
มีใครบ้างช่วยได้ช่วยถ่ายถอน
ให้พ้นจากทุกข์ภัยใจสั่นคลอน
แสนอาวรณ์ต่อชีวิตอนิจจัง
** จนกระทั่งถึงเมืองพาราณสี
เห็นผู้คนมากมีต่างมุ่งหวัง
ได้มุ่งหน้าไปสู่พระราชวัง
เพื่อรับฟังธรรมบรรยายให้สุขใจ
** จึงเดินตามฝูงชนไปห่างห่าง
จะฟังธรรมนำทางจิตผ่องใส
เพื่อบรรเทาความเศร้าที่ภายใน
คิดหาใครมาช่วยคงไม่มี
** เสนกะมองเห็นขอทานแก่
ก็รู้แน่มีทุกข์ไม่สุขี
จึงรีบถามเรื่องราวในทันที
รู้ได้ดีมีเหตุให้ร้อนรน
** เริ่มสอบถามเรื่องราวสาวสาเหตุ
เพื่อสังเกตพื้นฐานไม่สับสน
ที่ในถุงมีข้าวตังใส่ปะปน
เป็นเสบียงยามจนต้องทนเอา
** ขอทานเฒ่ารีบตอบว่าถูกต้อง
เป็นครรลองยามเดินทางที่เงียบเหงา
ทานอาหารหรือไม่จงบอกเรา
ที่ในกลางลำเนาตอนเดินทาง
** จึงบอกว่าได้ทานที่กลางป่า
ใต้พฤกษาต้นใหญ่ยามฟ้าสาง
ก่อนดื่มน้ำล้างมือให้สะอาง
ปิดปากถุงที่เปิดกว้างหรือไม่เอย
** จึงตอบว่าข้านี้ไม่ได้ปิด
เสนกะครุ่นคิดแล้วเฉลย
อสรพิษได้กลิ่นลมรำเพย
หอมจังเลยเลื้อยเข้าถุงข้าวตัง
** ถ้าหากท่านกินอาหารในเย็นนี้
จะต้องสิ้นชีวีตามคาดหวัง
เป็นเพราะถูกงูพิษกัดอย่างจัง
แต่ถ้าถึงเคหังจะรอดตาย
** ภรรยาจะเป็นผู้ถูกงูกัด
เพราะย่อมจัดของในถุงดังมุ่งหมาย
ให้ขอทานวางถุงบนพื้นทราย
ใช้วิธิง่ายง่ายคอยไล่งู
** ใช้ไม้เคาะเบาเบาที่ถุงผ้า
มันจึงเลื้อยออกมาส่งเสียงขู่
แผ่พังพานแล้วร้องดัง ฟู ฟู
บอกให้รู้เข้ามาข้ากัดจริง
** เมื่อจัดการเรื่องงูสำเร็จแล้ว
ใจขอทานผ่องแผ้วเป็นสุขยิ่ง
เกิดศรัทธาเสนกะไม่ประวิง
มอบทุกสิ่งที่ได้มาบูชาคุณ
** พร้อมทั้งเงินเจ็ดร้อยกหาปณะ
เสนกะไม่ขอรับอย่าเคืองขุ่น
เพิ่มให้อีกสามร้อยเพื่อทำบุญ
ครบหนึ่งพันเป็นทุนให้ขอทาน
** แล้วถามว่ามีใครให้ไปขอ
ไม่รีรอรีบตอบเพื่อไขขาน
ภรรยาโฉมงามแม่นงคราญ
โฉมสราญให้ไปขอพอมีกิน
** เสนกะรู้ว่าเธอยังสาว
จึงได้บอกเรื่องราวดังถวิล
จงเก็บเงินนอกบ้านเป็นอาจิณ
อย่าปล่อยให้ยุพินได้รับรู้
** มิฉะนั้นคู่นอนของโฉมศรี
จะเอาเงินที่มีไม่อดสู
พราหมณ์ขอทานเชื่อฟังคำของครู
เก็บเงินแล้วเดินสู่ประตูเรือน
** ตะโกนเรียกเมียสาวเจ้าอยู่ไหน
มัวแต่ทำอะไรใยเชือดเฉือน
ไม่สนใจผัวเจ้าเฝ้าแช เชือน
ที่ผัวกลับมาเหมือนไม่สนใจ
** ฝ่ายภรรยาเริงร่าอยู่กับชู้
ครั้นพอรู้ผัวมาพาวุ่นใหญ่
จึงบอกชู้จงรีบไปปิดไฟ
แล้วจงรีบหนีไปค่อยย้อนมา
** รีบออกมารับหน้าสามีไว้
แล้วถามไถ่เรื่องเงินที่ไปหา
เงินอยู่ไหนเร็วไวเผยวาจา
จงรีบเอาเงินมาอย่ารอรี
** เฒ่าขอทานกล่าวว่าอยู่ข้างนอก
เอ่ยปากบอกถึงที่ฝังอย่างถ้วนถี่
ฝ่ายชายชู้รีบไปในทันที
ขุดเอาเงินที่มีเป็นของตน
** เช้าขึ้นมาจึงรู้ว่าเงินหาย
แสนเสียดายหนักหนาพาหมองหม่น
จึงไปพบเสนกะในบัดดล
เพื่อจะแจ้งยุบลเรื่องเงินทอง
** เสนกะครั้นรู้เรื่องทั้งหมด
ให้รู้สึกรันทดและหม่นหมอง
จึงได้แจ้งอุบายให้ไปลอง
ตามทำนองคนดีมีปัญญา
** ตามเนื้อหาของอุบายให้เริ่มต้น
เชิญผู้คนทั้งสองฝ่ายให้มาหา
เพื่อกินเลี้ยงทุกวันหนึ่งสัปดาห์
โดยต้องลดอัตราลงมาพลัน
** ฝ่ายละหนึ่งพึงลดงดเชิญต่อ
แล้วจงรอครบเวลาใครขยัน
จะพึงมีหนึ่งคนมาทุกวัน
จงพาคนผู้นั้นมาหาเรา
** ครั้นได้ตัวรีบไปหาเสนกะ
เพื่อชำระความผิดคิดร้ายเขา
ขโมยเงินขอทานพาลมัวเมา
จงนำเอาเงินมาคืนให้ครบพัน
** เสนกะลงโทษกับชายชู้
ตามกระทู้กระบวนความอย่างกวดขัน
คนทำดีได้ดีเป็นรางวัล
คนทำชั่วโทษทัณฑ์ติดตามมา
** คนอ่านมาก ฟังมาก ย่อมรู้มาก
เป็นผลจากการตั้งใจใฝ่ศึกษา
คือพื้นฐานอันประเสริฐเกิดปัญญา
วัฒนารุ่งเรืองประเทืองบุญ
** ดังเช่นกับตัวท่านเสนกะ
ใช่ว่าจะมีฤทธามาช่วยหนุน
แต่เป็นเพราะสังเกตเป็นต้นทุน
ช่วยเจือจุนสมมุติฐานการควรเป็น
** นี่คือผู้ที่เป็นพหูสูต
มิใช่คิดและพูดเพียงได้เห็น
ต้องมีเหตุมีผลเกิดประเด็น
พิจารณาจากที่เป็นข้อเท็จจริง
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
โซ...เซอะเซอ
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#8 เมื่อ:
29 เมษายน, 2559, 11:23:01 AM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๙ นกกระจาบแตกสามัคคี
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** จะขอยกนิทานในการก่อน
อุทาหรณ์น้อมนำคำเฉลย
มาเปรียบเทียบให้เห็นเหมือนเช่นเคย
ติดตามเลยจะรู้ว่าค่าอนันต์
** พุทธองค์ได้ประทับกบิลพัสดุ์
ณ ที่วัดโครธารามงามเกินฝัน
ทรงปรารภพระญาติทะเลาะกัน
จึงเลือกสรรค์นิทานมาแสดง
** ณ กาลนั้นยังมีฝูงกระจาบ
หวังบินคาบหาเหยื่อเสาะแสวง
นับจำนวนหลายพันล้วนแข็งแรง
รวมเป็นแก็งกลุ่มใหญ่ในพนา
** นกหัวหน้าเป็นห่วงจึงบอกกล่าว
ถ้าถึงคราวติดบ่วงของพรานป่า
ให้จงรีบเอาหัวสอดเข้ามา
ที่ในช่องตาข่ายของนายพราน
** แล้วออกแรงบินขึ้นพร้อมพร้อมกัน
เอาตาข่ายไปพันอย่างอาจหาญ
กับต้นไม้ต้นใหญ่ไม่ร้าวราน
แล้วบินผ่านลงต่ำจำเอาไว้
** ถ้าทุกท่านมีวินัยไม่ตายแน่
สามัคคีช่วยแก้วิกฤตได้
จงรักกันช่วยกันด้วยห่วงใย
อันตรายใดใดไม่กล้ำกราย
** ฝ่ายนายพรานดักนกเป็นอาชีพ
จึงได้รีบจัดการวางตาข่าย
เกณฑ์ชะตาของนกไม่ถึงตาย
ปฏิบัติตามนัดหมายจึงปลอดภัย
** แต่อยู่อยู่วันหนึ่งจึงเกิดเหตุ
เป็นอาเพศแล้วหนาพาสงสัย
ความแตกแยกกัดกินสิ้นอาลัย
ถึงสมัยต้องพินาศอนาถครัน
** เหตุเพราะว่าขณะกินอาหาร
มีเหตุการณ์เกิดขึ้นดังอาถรรพ์
นกตังหนึ่งบินโผลงมาพลัน
ไปเหยียบหัวเพื่อนกันไม่เจตนา
** นกถูกเหยียบโวยวายสนั่นทุ่ง
พวกเพื่อนเพื่อนต่างมุ่งเข้ามาหา
แบ่งออกเป็นสองฝ่ายไม่รอรา
ต่างต่อว่าอีกฝ่ายน่าอายจริง
** จึงกลายเป็นน้ำผึ้งเพียงหยดเดียว
มาขับเคี่ยวกันไปในทุกสิ่ง
สามัคคีมลายคลายประวิง
อันวินัยถูกทิ้งไม่ไยดี
** นกหัวหน้าพูดจาคอยเกลี้ยกล่อม
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ้างศักดิ์ศรี
นกหัวหน้าเห็นว่าไม่เข้าที
ความพินาศจักมีอย่างแน่นอน
** จึงได้พาสมาชิกที่เป็นกลาง
หลีกหนีห่างออกไปใจทอดถอน
แม้นจากไปมิใช่ไม่อาวรณ์
แสนเร้ารอนจากไปจำใจลา
** ครั้นเวลาผ่านไปไม่นานนัก
นายพรานวางข่ายดักหมู่ปักษา
กระจาบติดตาข่ายดังเจตนา
ของพรานป่าเพื่อนำไปฆ่าแกง
** ฝ่ายกระจาบต่างเถียงกันและกัน
พวกเจ้านั้นเก่งกาจอาจกำแหง
อย่าชักช้านะเจ้ารีบแสดง
จงออกแรงดันตาข่ายให้พ้นไป
** เอาแต่เกี่ยงไม่สนใจในภาระ
ขาดธรรมะสามัคคีนี่ไฉน
ตกเป็นเหยื่อเป็นอาหารของพรานไพร
ขาดอะไรก็ไม่ร้ายเท่าขาดธรรม
** พรานจึงกล่าวคาถาว่าดังนี้
เมื่อเจ้ามีความร่าเริงช่างคมขำ
ก็สามารถดันตาข่ายได้ประจำ
ต่างก็ทำได้ดังใจไม่ร้อนรน
** แต่เมื่อใดที่พวกเจ้าเฝ้าทะเลาะ
เหมือนมีเคราะห์บาปกรรมอกุศล
ต้องเป็นเหยื่อของข้าพาอับจน
ขาดมงคลขาดใจในทันที
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
โซ...เซอะเซอ
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#9 เมื่อ:
29 เมษายน, 2559, 11:34:14 AM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๑๐ วาทศิลป์
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** อดีตกาลผ่านมาพระโพธิสัตว์
ได้อุบัติในตระกูลที่สุขสันต์
เป็นบุตรของเศรษฐีชื่นชีวัน
มีสินทรัพย์อนันต์สุขสบาย
** ครั้นวันหนึ่งจึงออกไปเดินเล่น
เพื่อรับลมเย็นเย็นกับสหาย
อีกสามคนที่รักกันมากมาย
เพื่อผ่อนคลายอารมณ์สมอุรา
** ขณะนั้นนายพรานบรรทุกเนื้อ
มากมายเหลือนำไปใจปรารถนา
เพื่อจะขายให้แก่ชาวพารา
จึงมุ่งหน้าตรงไปภายในเมือง
** สี่สหายเมื่อเห็นนายพรานป่า
จึงหันมาปรึกษาดำเนินเรื่อง
การใช้วาทศิลป์จินต์ประเทือง
ว่าใครจะปราดเปรื่องยิ่งกว่ากัน
** คนที่หนึ่งจึงเดินเข้าไปหา
นายพรานป่าด้วยหวังอย่างแม่นมั่น
แล้วจึงเริ่มเจรจาโดยเร็วพลัน
เฮ้ย ! พรานจงแบ่งปันเนื้อให้เรา
** นายพรานจึงร้องตอบออกไปว่า
ช่างหยาบคายหนักหนานะคนเขลา
เปรียบได้กับพังผืดตามทำเนา
จงรับเอาพังผืดอย่ารีรอ
** คนที่สองลองเอ่ยเผยวจี
นี่แนะ ! พี่จงแบ่งเนื้อนะเราขอ
ไปประกอบอาหารให้เพียงพอ
แก่ครอบครัวเถิดหนอโปรดเห็นใจ
** นายพรานจึงเอ่ยว่าคำว่าพี่
ฟังแล้วไพเราะดีจะมีไหน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบมนุษย์ไง
ใช้เรียกขานทั่วไปในสังคม
** คำพูดท่านเป็นเหมือนส่วนประกอบ
เราจะมอบเนื้อให้ตามเหมาะสม
คือเนื้อส่วนประกอบน่ารื่นรมย์
ตามคารมที่เอ่ยเผยออกมา
** คนที่สามมุ่งหมายได้ร้องขอ
พูดว่าพ่อให้เนื้อบ้างเถิดหนา
ตามที่เห็นสมควรจะกรุณา
โปรดเมตตาเถิดท่านวานแบ่งปัน
** นายพรานจึงพูดว่าคำว่าพ่อ
น่าชื่นใจยิ่งหนออกไหวหวั่น
ได้ยินคำว่าพ่อพอใจครัน
นิจนิรันดร์สุขใจหาใดปาน
** วาจาท่านนั้นเป็นเช่นน้ำใจ
เราจะให้ตอบแทนแสนไพศาล
ได้แก่เนื้อหัวใจใสตระการ
มอบให้ท่านรับไว้ได้อิ่มเอม
** คนสุดท้ายได้แก่โพธิสัตว์
ปฏิบัติด้วยใจอันเกษม
ภารกิจที่นับว่าเป็นเกม
เยื้องงกรายดังหงส์เหมชวนให้มอง
** จึงเอื้อนเอ่ยวาจาว่าเพื่อนเอ๋ย
อย่าช้าเลยโปรดได้ตอบสนอง
ให้เรานี้มีเนื้อเพื่อครอบครอง
เป็นเจ้าของสักนิดจิตเปรมปรีดิ์
** นายพรานฟังวาจาพาขนลุก
มีความสุขเกินคิดจิตผ่องศรี
วาจาโพธิสัตว์ฟังเข้าที
เอ่ยวจีกล่าวคาถาช่างน่าฟัง
** บ้านใดไม่มีเพื่อนเหมือนกับป่า
อันวาจาท่านนี้มีความหวัง
เปรียบได้เหมือนสมบัติทั้งเวียงวัง
โปรดจงฟังนะสหายให้หมดเลย
** อันเนื้อที่มีอยู่เราให้ท่าน
เพื่อนำกลับไปบ้านอย่างเปิดเผย
จงไปยังบ้านข้าอย่าละเลย
รีบขึ้นเกวียนเพื่อนเอ๋ยไปด้วยกัน
** เมื่อถึงแล้วโพธิสัตว์จึงจัดการ
พานายพรานไปบ้านของเขานั่น
พร้อมทั้งบุตรธิดามิช้าพลัน
อาศัยอยู่ด้วยกันทุกวันมา
** แล้วจึงให้ละเลิกการฆ่าสัตว์
สร้างแต่บุญเป็นวัตรดีหนักหนา
เกื้อกูลกันและกันมั่นสัญญา
ความเป็นเพื่อนเหนือกว่าจะบรรยาย
** ทั้งหมดนี้ที่เล่ากล่าวมานั้น
เพื่อที่จะยืนยันด้วยมุ่งหมาย
ว่าวาจาสุภาษิตดีมากมาย
ท่านทั้งหลายลองคิดดูจะรู้ดี
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
โซ...เซอะเซอ
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#10 เมื่อ:
29 เมษายน, 2559, 11:45:39 AM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๑๑ นกแขกเต้าเลี้ยงพ่อแม่
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** ณ หมู่บ้านชื่อว่า “สาลินทิยะ”
เศรษฐีมีภาระทำนาสวน
ได้จ้างให้คนทำตามกระบวน
ถึงเวลาอันควรก็งอกงาม
** ชื่อว่า “โกสิยะ” ทำนาข้าว
ประมาณราวพันไร่ไว้หาบหาม
ข้าวเจริญเติบโตทุกโมงยาม
ท่ามกลางฟ้าสีครามเขียวขจี
** ไม่ไกลจากทุ่งนาเป็นป่าเขา
ภูมิลำเนาของสัตว์เช่นปักษี
นับเป็นที่อาศัยปลอดภัยดี
อีกลิงค่างชะนีมีมากมาย
** อันพระโพธิสัตว์ถือกำเนิด
จุติลงมาเกิดเลิศเหลือหลาย
เป็นพญานกแขกเต้าเพริดพราวพราย
บริวารมากมายหลายร้อยตัว
** พญานกแขกเต้ามีพ่อแม่
ต้องดูแลและเทิดไว้เหนือหัว
มีลูกน้อยกลอยใจไม่หมองมัว
ต้องเลี้ยงดูจนทั่วทุกตัวตน
** คาบรวงข้าวมาฝากแม่และพ่อ
อีกลูกน้อยที่รอไม่หมองหม่น
แม้จะยากจะเหนื่อยก็สู้ทน
จิตใจช่างงามล้นเกินบรรยาย
** ครั้นวันหนึ่งพญานกแขกเต้า
ได้พาเหล่าบริวารสิ้นทั้งหลาย
มุ่งหน้าสู่ท้องนาอย่างสบาย
เพราะมีข้าวมากมายให้จิกกิน
** จึงบินลงที่นาของเศรษฐี
มองเห็นมีอาหารดังถวิล
นับจากนั้นก็มาเป็นอาจิณ
ทั้งจิกกินและคาบเอากลับไป
** คนเฝ้านามองเห็นตะโกนก้อง
ส่งเสียงร้องดังลั่นสนั่นไหว
เพื่อให้นกทั้งสิ้นรีบบินไป
แต่นกไพรไม่หนีดังที่คิด
** ในที่สุดยอมแพ้แก่ฝูงนก
แสนวิตกหนักหนาพาหงุดหงิด
จึงแจ้งแก่เศรษฐีให้พินิจ
แก้เหตุการณ์วิกฤตให้คืนดี
** ฝ่ายเศรษฐีทราบเรื่องขุ่นเคืองยิ่ง
ช่างเจ็บใจจริงจริงไม่สุขี
จึงได้มีคำสั่งในทันที
จงจับนกเหล่านี้มาให้เรา
** ลูกจ้างจึงรีบไปจัดการ
หมู่นกที่คอยผลาญเม็ดข้าวเขา
วางกับดักจับนกเพื่อบรรเทา
ภัยจากนกแขกเต้าเข้ารุกราน
** เป็นวาระโชคร้ายพญานก
เกิดดวงตกก้าวล่วงบ่วงสังหาร
ติดบ่วงดิ้นไม่หลุดสุดทรมาน
เพราะผลกรรมบันดาลให้เป็นไป
** ด้วยภาวะผู้นำจำทนนิ่ง
นึกเกรงกริ่งบริวารจะหวั่นไหว
หากรู้ว่าบัดนี้เกิดอะไร
คงจะบินหนีไปเพราะความกลัว
** จึงปล่อยให้พวกนกกินอาหาร
จนอิ่มหนำสำราญกันถ้วนทั่ว
ต่างพากันสดใสไม่หมองมัว
ให้สัญญาณทุกตัวรู้ถึงภัย
** บรรดานกตกใจรีบบินหนี
อย่างเร็วรี่เพื่อกลับที่อาศัย
พญานกก้มหน้าทอดอาลัย
ห้วงหทัยร้อนเร่าเฝ้ากังวล
** คนเฝ้านามาจับพญานก
เอาขึ้นมาแนบอกแล้วลูบขน
นำไปให้เศรษฐีมิวกวน
ดีใจล้นได้ขจัดเหล่าศัตรู
** โกสิยะจับนกแล้ววางไว้
แล้วจึงได้เอ่ยถามไม่ข่มขู่
มาคุยกันดีดีทดลองดู
เราอยากรู้ตอบได้จะปล่อยไป
** ทำไมหรือเจ้าจึงโลภมากหนอ
กินไม่พอยังคาบเอาไปไหน
หรือมียุ้งเพื่อเก็บตุนเอาไว้
เจ้าจึงได้คาบกลับไปรวงรัง
** พญานกจึงตอบว่าท่านเอ๋ย
ยุ้งข้าวไม่มีเลยตามคาดหวัง
ไม่โลภมากอยากได้เกินกำลัง
โปรดจงฟังเถิดหนอขอสาธยาย
** ประการหนึ่งพึงทราบเพื่อใช้หนี้
ประการสองนั้นมีจุดมุ่งหมาย
ให้เขากู้วันหน้าจะสบาย
ประการสามจะขยายเนื้อนาบุญ
** นำเอาไปฝังไว้เป็นขุมทรัพย์
เพื่อผลลัพธ์เบื้องหน้ามาอุดหนุน
จะมีผลยิ่งใหญ่ได้เจือจุน
นับเป็นการลงทุนที่สุนทร
** โกสิยะบอกว่าไม่เข้าใจ
จงรีบเผยเงื่อนไขอย่าหลอกหลอน
ฟังง่ายง่ายรู้เรื่องขออ้อนวอน
เป็นขั้นตอนว่ามาอย่ารีรอ
** จึงเอื้อนเอ่ยวจีมีความว่า
ท่านเจ้าขาโปรดฟังดังร้องขอ
ท่านผู้ให้กำเนิดได้เกิดก่อ
คือแม่พ่อมีคุณเจือจุนมา
** เวลาผ่านท่านก็แก่ลงมาก
ออกหากินลำบากยากหนักหนา
ต้องเลี้ยงดูตอบแทนตอนชรา
ข้าเรียกว่าใช้หนี้ผู้มีคุณ
** ส่วนลูกน้อยคอยพ่อรออาหาร
ต้องจัดการสรรหามาเกื้อหนุน
นำอาหารไปให้ด้วยการุณ
หวังพึ่งบุญตอนแก่และใกล้ตาย
** ข้าจึงได้เรียกการกระทำนี้
ว่าก่อหนี้มิใช่เรื่องเสียหาย
เป็นเรื่องดีมีคุณอย่างมากมาย
จะสบายได้พึ่งพาคราอ่อนแรง
** ยังมีนกชราและป่วยไข้
ข้าจึงได้เที่ยวไปเสาะแสวง
หาอาหารไปฝากอย่าเคลือบแคลง
เพื่อแสดงน้ำใจและไมตรี
** ได้ชื่อว่าขุมทรัพย์ที่ฝังไว้
หวังจะได้เป็นทุนบุญราศรี
การสั่งสมซึ่งบุญเป็นสิ่งดี
ส่งให้มีความสุขทุกวันคืน
** โกสิยะได้ฟังถึงนั่งอึ้ง
เกิดซาบซึ้งน้ำตาไหลไม่อาจฝืน
นกตัวนี้มีธรรมเป็นจุดยืน
เลี้ยงพ่อแม่และนกอื่นไม่เหมือนใคร
** โกสิยะกล่าวว่าต่อแต่นี้
ข้าวในนาที่มีเรายกให้
ลงมากินและจัดการเอาตามใจ
คาบกลับไปดังปรารถนาและต้องการ
** พญานกกล่าวตอบว่าขอบคุณ
ที่ค้ำจุนช่วยเหลือดังกล่าวขาน
ขอให้ท่านไร้ทุกข์สุขสำราญ
เป็นที่พึ่งอันเบิกบานและรื่นรมย์
** นกแขกเต้าปลอดภัยในครั้งนี้
เป็นเพราะคุณความดีที่สั่งสม
เลี้ยงบิดามารดาน่าชื่นชม
ให้ทุกคนในสังคมพึงสังวรณ์
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
โซ...เซอะเซอ
,
รพีกาญจน์
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#11 เมื่อ:
29 เมษายน, 2559, 11:55:41 AM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๑๒ ตำราเลือกลูกเขย
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** อดีตกาลมีนิทานนำมาเล่า
เป็นเรื่องเก่าการเลือกคู่ดูเหมาะสม
จะอยู่ดีกินดีเอกอุดม
แสนสุขสมชื่นใจหาใดปาน
** ครั้งนั้นสมเด็จพระโพธิสัตว์
ได้อุบัติเป็นครูที่เรียกขาน
ว่าทิศาปาโมกข์ชำนาญการ
ผู้เชี่ยวชาญศิลปะวิทยา
** พราหมณ์คนหนึ่งมีลูกสาวสี่ใบเถา
งามเทียบเท่านางสวรรค์ชื่นหรรษา
ชายใดเห็นเป็นต้องถูกชะตา
อยากได้มาสมสู่เป็นคู่ครอง
** ในบรรดาชายหนุ่มที่รุมล้อม
หวังดมดอมเชยชมภิรมย์สอง
พราหมณ์ผู้พ่อจับตาเฝ้าคอยมอง
เลือกคู่เคียงประคองให้ลูกตน
๓๕๑. ** มีชายหนุ่มสี่คนน่าสนใจ
คุณสมบัติต่างกันไปตามกุศล
เคยทำดีได้ดีมีมงคล
เคยทำชั่วไม่พ้นผลไม่ดี
** คนที่หนึ่งรูปหล่อเป็นยิ่งนัก
ช่างน่ารักงามสง่ามีราศี
ทั้งกิริยาวาจาก็เข้าที
เอ่ยวจีอรรถรสปรากฏไกล
** คนที่สองผ่านโลกมาหลายฝน
อายุพ้นวัยเด็กเป็นผู้ใหญ่
สัมผัสสุขและทุกข์ผลัดเปลี่ยนไป
สุดหาใครเป็นคู่ครองอกหมองตรม
** คนที่สามร่ำรวยลูกเศรษฐี
ตระกูลดีเป็นผู้ที่เหมาะสม
เป็นคู่ครองสาวสาวร่วมภิรมย์
คงสุขสมฤดีมิเสื่อมคลาย
** คนที่สี่มีศีลธรรมแสนล้ำเลิศ
ก่อให้เกิดกุศลผลมากหลาย
งามสง่าอำไพทั้งใจกาย
หญิงมากมายหมายจองครองคู่กัน
** พราหมณ์พ่อไม่สามารถเลือกใครได้
เพื่อจะให้ลูกสาวร่วมสร้างฝัน
เป็นเพื่อนคิดคู่ใจไปนานวัน
สายสัมพันธ์มั่นคงยิ่งยืนนาน
** จึงไปหาอาจารย์ท่านปาโมกข์
ผู้เข้าใจเรื่องโลกโชคไพศาล
เริ่มปรึกษาหารือผู้เชี่ยวชาญ
เล่าเหตุการณ์ทั้งหลายให้ได้ฟัง
** หลังจากนั้นจึงถามถึงความเห็น
ควรเลือกเฟ้นคนใดจึงสมหวัง
ผู้ที่ควรครองคู่อยู่จีรัง
โปรดแนะนำสักครั้งเป็นพระคุณ
** ฝ่ายพระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า
แม้รูปร่างร่างกายาเป็นส่วนหนุน
ให้ดูดีมีค่ามาเจือจุน
แต่ขาดศีลเป็นทุนก็สิ้นงาม
** ถ้าเป็นเราจะเลือกคนมีศีล
เป็นไทยจีนก็สูงค่าน่าเกรงขาม
กลิ่นของศีลหอมฟุ้งทุกโมงยาม
ไม่ผลีผลามยามเดินและนั่งนอน
** แล้วจึงเอ่ยวจีเป็นคาถา
เจตนาให้ฟังดังคำสอน
รูปสวยตระกูลดีมีคลายคลอน
ถ้ามีศีลถาวรปราศจากภัย
** พราหมณ์ได้ฟังชอบใจไม่รอช้า
รีบกลับคืนเคหาที่อาศัย
ครั้นถึงจึงบอกสี่อรทัย
เรื่องคู่ครองทรามวัยโดยเร็วพลัน
** พราหมณ์จึงยกสี่สาวที่สดใส
ให้คนมีศีลไปด้วยใจมั่น
ต้องอยู่ดีมีสุขชั่วนิรันดร์
ทุกคืนวันก้าวหน้าพาเพลิดเพลิน
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
โซ...เซอะเซอ
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#12 เมื่อ:
29 เมษายน, 2559, 12:10:09 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๑๓ พญาเนื้อทอง
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** ณ ชายป่ายังมีพญาเนื้อ
ผิวดังทองงามเหลือหาใครเหมือน
มีกวางสาวเนื้อเย็นเป็นขวัญเรือน
อยู่เคียงคู่เป็นเพื่อนที่รู้ใจ
** ครอบครองบริวารราวแปดหมื่น
คอยหยิบยื่นสิ่งดีดีมีมอบให้
รักบริวารเท่ากันทุกตัวไป
มีจิตใจเป็นธรรมไม่ลำเอียง
** ครั้นวันหนึ่งจึงได้พาลูกน้อง
ที่ปกครองไปหากินในถิ่นเสี่ยง
ปากเล็มหญ้าตาจ้องคอยมองเมียง
หูฟังเสียงต่างต่างอย่างจริงจัง
** ด้วยผลกรรมทำไว้ในกาลก่อน
กลับมาย้อนส่งผลดังมนต์ขลัง
กินใบไม้เพลินไปไม่ระวัง
ก้าวสู่ฝั่งวังวนบ่วงนายพราน
** เผลอก้าวเท้าเข้าบ่วงพรานดักไว้
รู้ตัวได้ถึงภัยใจร้าวฉาน
รีบสลัดให้หลุดสุดทรมาน
น่าสงสารเจ็บปวดรวดร้าวกาย
** จึงร้องบอกพวกพ้องทั้งน้องพี่
ที่แห่งนี้มีภัยรีบผันผาย
จงหนีไปให้ไกลก่อนวางวาย
มีความตายรอท่าอย่าช้าพลัน
** อันตัวเราติดบ่วงของพรานแล้ว
ไม่คลาดแคล้วชีวาต้องอาสัญ
เป็นอาหารพรานไพรใจฉกรรจ์
อย่าห่วงฉันรีบหนีไปไวไว
** เหล่าบริวารตกใจไม่ยั้งคิด
ต่างก็รักชีวิตกว่าสิ่งไหน
ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ยาวไกล
ทิ้งหัวหน้าเอาไว้เพียงตัวเดียว
** ฝ่ายนางกวางภรรยาบ่ายหน้าหนี
เพื่อรักษาชีวีไม่เฉลียว
ถึงกวางผู้สามีสักนิดเทียว
จึงปล่อยให้เปล่าเปลี่ยวอย่างเดียวดาย
** เมื่อหนีไปนิดหนึ่งพึงสังหรณ์
นึกอาวรณ์ถึงสามีที่เงียบหาย
ไม่ติดตามกันมาหรือว่าตาย
จึงย่างกรายกลับไปใจไม่ดี
** มองเห็นกวางสามีที่ยืนอยู่
จึงได้รู้ไม่ตายให้สุขี
เข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเผยวจี
เหตุไฉนหนอพี่จึงไม่ไป
** พญากวางจึงเผยเอ่ยวาจา
อันตัวพี่นี่หนาไปไม่ได้
ขาของพี่ติดบ่วงของพรานไพร
เมื่อเข้าใจอย่าช้าจะอันตราย
** นางกวางน้อยจึงตอบขอบคุณพี่
ตัวน้องนี้ไม่กลัวภัยทั้งหลาย
จะขออยู่ที่นี่กับพี่ชาย
ถ้าต้องตายขอตายไปด้วยกัน
** ไม่ช้านานพรานป่าก็มาถึง
นางกวางจึงเอ่ยถ้อยค่อยเสกสรร
ขอจงได้เมตตาอย่าฆ่าฟัน
โปรดเถอะไว้ชีวันพญากวาง
** ถ้าจะฆ่าโปรดจงฆ่าเราก่อน
ให้ม้วยมรณ์สิ้นใจไม่ขัดขวาง
แล้วค่อยฆ่าสามีให้วายวาง
ชีพอับปางดับไปไม่เสียดาย
** พรานป่าฟังน้ำคำชื่นฉ่ำนัก
เป็นความรักยิ่งใหญ่สมใจหมาย
กล่าววาจาจับใจไม่เสื่อมคลาย
แม้ความตายไม่หวั่นพรั่นพรึงเลย
** ไม่เคยเห็นมีใครในโลกนี้
ยอมสละชีวีหน้าตาเฉย
เพื่อผัวที่ตนรักจักเสบย
จึงได้เอ่ยวาจาน่าชื่นใจ
** พรานป่าชอบจึงตอบวจีว่า
เราไม่ฆ่าเจ้าทั้งสองหยุดร้องไห้
จะปล่อยเจ้าทั้งสองเข้าป่าไป
ขอจงได้สุขสันต์นิรันดร์กาล
** นางกวางป่าจึงตอบขอบคุณมาก
ก่อนลาจากอยากขอจงสงสาร
อย่าทำร้ายสัตว์ป่าให้ร้าวราน
จงหยุดการฆ่าฟันให้บรรลัย
** ก่อนจากไปพญากวางจึงมอบแก้ว
ให้พรานแล้วจึงได้เอ่ยปราศรัย
เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้อภัย
ตลอดอายุขัยจงทำดี
** หมั่นทำทานรักษาศีลภาวนา
มีเมตตาเอื้อเฟื้อเพื่อสุขศรี
จงเอาแก้วที่ให้เลี้ยงชีวี
ทำบุญตามที่มีโอกาสทำ
** ขอลาทีวันนี้ขอลาแล้ว
ทำให้ใจแน่แน่วอย่าถลำ
แล้วตั้งตนตั้งใจมั่นในธรรม
ละเวรกรรมห่างอบายได้สุขเลย
** การสงเคราะห์แก่กันพลันเกิดสุข
ห่างจากทุกข์ดังที่ได้เปิดเผย
เรื่องของกวางทั้งคู่ชื่นชูเชย
ต่างก็ไม่ละเลยความสัมพันธ์
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
โซ...เซอะเซอ
,
เฒ่าธุลี
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#13 เมื่อ:
30 เมษายน, 2559, 05:54:04 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๑๔ การทำงานไม่ถูกขั้นตอน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** สมัยหนึ่งที่องค์พระศาสดา
เสด็จยังพาราสาวัตถี
ประทับที่เชตวันอันโสภี
แล้วทรงมีดำรัสตรัสเรื่องราว
** ทรงปรารภภิกษุผู้เกียจคร้าน
จึงได้ยกตำนานที่อื้อฉาว
ในกาลก่อนก็เกียจคร้านมานานยาว
โดยบอกกล่าวเป็นนิทานเล่าขานมา
** ในเมืองตักศิลาคราครั้งก่อน
มีผู้สอนศิลปะเก่งหนักหนา
คือทิศาปาโมกข์ยอดวิทยา
ผู้เก่งกล้าวิชาเชี่ยวชำนาญ
** มีลูกศิษย์ประมาณห้าร้อยคน
คอยสั่งสอนฝึกฝนจนแตกฉาน
จนขึ้นชื่อลือชาวิชาการ
ผู้อาจารย์ชื่นสุขทุกทิวา
** ครั้นวันหนึ่งบรรดาสานุศิษย์
จึงได้คิดร่วมใจกันเข้าป่า
เพื่อเก็บผักหักฟืนไม่รอรา
รีบมุ่งหน้าเข้าไพรดังใจปอง
** เมื่อถึงป่าต่างพากันเก็บฟืน
อย่างราบรื่นสดใสไม่หม่นหมอง
ต่างส่งเสียงล้อกันอย่างคะนอง
บ้างก็ร้องเพลงเล่นไม่เป็นภัย
** อีกนายหนึ่งซึ่งเป็นคนเกียจคร้าน
หลบหลีกการทำงานเป็นนิสัย
ในวันนี้ทิ้งเพื่อนไม่อาลัย
อีกสมัยที่แอบหนีไปนอน
** ตกเย็นเพื่อนมัดฟืนขึ้นใสบ่า
ได้เดินมาสะดุดเข้าคิดว่าขอน
สะดุ้งตื่นขึ้นมาพาร้าวรอน
ใจอาวรณ์ไม่มีฟืนยืนเศร้าตรม
** ตะลีตะลานปีนป่ายขึ้นต้นกุ่ม
ดังไฟสุมร้อนเร่าเศร้าขื่นขม
รีบดึงกิ่งมาหักไม่รื่นรมย์
กิ่งกลมกลมดีดตาพาบอดเลย
** ได้กิ่งไม้สดสดมาหน่อยหนึ่ง
แล้วรีบบึ่งกลับสำนักไม่อยู่เฉย
ความเกียจคร้านพาลเสียเหมือนเช่นเคย
จะขอเผยฉากสุดท้ายให้ได้ฟัง
** เย็นวันนั้นอาจารย์ได้รับเชิญ
นับเป็นเหตุบังเอิญแต่หนหลัง
ต้องรีบทานข้าวเช้าเพิ่มพลัง
จึงได้สั่งแม่ครัวฝีมือดี
** พรุ่งนี้เช้าจงรีบทำอาหาร
เราจะต้องรีบทานอย่างด่วนจี๋
ก่อนจะไปประกอบกิจพิธี
เพื่อให้มีมงคลไม่ลนลาน
** ครั้นรุ่งเช้าแม่ครัวรีบก่อไฟ
เพื่อจะได้ประกอบมวลอาหาร
จึงหยิบฟืนที่นำมาเมื่อวาน
ของลูกศิษย์ที่เกียจคร้านไม่รอรา
** ก่ออย่างไรแต่ไฟไม่ยอมติด
เป็นเพราะฟืนทำพิษสร้างปัญหา
เพราะฟืนสดทำให้จนปัญญา
จนเวลาผ่านไปไม่ได้กิน
** ศิษย์ผู้ที่เกียจคร้านในกาลนั้น
คือภิกษุปัจจุบันถูกติฉิน
ว่าเกียจคร้านการงานเป็นอาจิณ
เกิดมลทินงานอากูลอาดูรเกิน
** ต้องขยันอย่าเกียจคร้านงานทั้งหลาย
ได้สบายนับอนันต์ชนสรรเสริญ
จะก้าวหน้าพบแต่ความเจริญ
และเพลิดเพลินอุดมผลเป็นมงคล
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
โซ...เซอะเซอ
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
นักกลอนผู้รอบรู้
ออฟไลน์
กระทู้: 416
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
สมาชิกดีเด่นประจำเดือนนี้..
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: นิทานธรรม
«
ตอบ
#14 เมื่อ:
30 เมษายน, 2559, 06:05:09 PM »
หน้าแรก
Re: นิทานธรรม
นิทานธรรม
เรื่องที่ ๑๕ ยอดทาน
โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ
***************************
** สมัยหนึ่งสมเด็จพระศาสดา
หวังให้ชาวประชามีสุขสันต์
เสด็จมาประทับ ณ เชตวัน
สาวัตถีจอมราชันพระทรงชัย
** ในครั้งนั้นยังมีอุบาสิกา
ชื่อ “นันทมารดา” พิสมัย
ได้ถวายทักษิณาทานมัย
โดยไม่ต้องสงสัยเพราะศรัทธา
** เป็นทานที่ประกอบด้วยองค์หก
จึงได้ยกพระธรรมเทศนา (เทศนา อ่านว่า เทด-สะ-หนา)
แสดงแก่ภิกษุที่ได้มา
ณ ธรรมสภาพร้อมหน้ากัน
** ภิกษุเอ๋ย....จงฟังเราจะกล่าว
ถึงเรื่องราวทักษิณาอย่าไหวหวั่น
แบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญ
ส่วนประกอบย่อยนั้นมีหกองค์
** ส่วนประกอบที่หนึ่งคือ “ผู้ให้”
เรียกง่ายง่ายว่า “ทายก” ผู้ประสงค์
จะแบ่งปันส่วนที่มีโดยจำนง
แบ่งเป็นองค์ย่อยย่อยสามประการ
** หนึ่ง “ก่อนให้เป็นผู้ที่จิตใจดี”
เอื้ออารีเมตตามาประสาน
ปราศจากอกุศลคนใจพาล
การทำทานเป็นมงคลผลอุดม
** สอง “ขณะให้มีจิตใจที่เลื่อมใส”
ประกอบไปด้วยศรัทธาอันเหมาะสม
เชื่อมั่นในความดีน่านิยม
เป็นปฐมของการให้ได้ผลบุญ
** สาม “ปลื้มใจในการที่ได้ให้”
กุศลที่ทำไว้ได้อุดหนุน
การสั่งสมความดีย่อมมีคุณ
คอยเจือจุนส่งให้ได้วิมาน
** ส่วนประกอบที่สองคือ “ผู้รับ”
“ปฏิคาหก” เป็นศัพท์ที่เรียกขาน
มีผู้ให้ขาดผู้รับก็ป่วยการ
สองประสานจึงเกิดผลดังใจ
** อันผู้รับนั้นมีสามส่วนย่อย
ดูเหมือนน้อยแต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่
ลองศึกษากันดูเรื่อยเรื่อยไป
แล้วจะได้รู้ว่าค่ามากมาย
** หนึ่ง “เป็นผู้ปราศจากตัวราคะ”
หรือโลภะตัณหาพาฉิบหาย
ความกำหนัดยินดีในรูปกาย
หรือความหมายกรงขังทางปัญญา
** สอง “เป็นผู้ปราศจากตัวโทสะ”
คือความโกรธมักจะสร้างปัญหา
ทุจริตทั้งใจกายวาจา
ขาดเมตตาการุณและปราณี
** สาม “เป็นผู้ปราศจากตัวโมหะ”
คือความหลงไม่ละพาหมองศรี
ความมัวเมายึดมั่นเป็นราคี
ล้วนไม่ดีมีกิเลสเหตุงมงาย
** ภิกษุเอ๋ย...ทักษิณาที่ว่านี้
ย่อมจะมีคุณค่าดังมุ่งหมาย
มีความสุขสงบทั้งใจกาย
ทั้งผลบุญมากมายเกินประมาณ
** เปรียบดังน้ำในห้วงมหาสมุทร
มันมากสุดที่จะบวกลบคูณหาร
ดุจดังผลของทักษิณาทาน
แม้จักรวาลไม่อาจเปรียบเทียบผลบุญ
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
บ้านกัลปังหา
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
โซ...เซอะเซอ
,
รพีกาญจน์
,
เฒ่าธุลี
,
อ้ายอ่ำ
บันทึกการเข้า
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตและทุก ๆ แหล่งข้อมูลครับ
~รวมทุกสำนวนของ"สมพงศ์ ชูสุวรรณ"ครับ ~
หน้า: [
1
]
2
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
บทกลอนไพเราะ
-----------------------------
=> กลอนรัก
=> กลอนเศร้า
=> กลอนคิดถึง
=> กลอนงอนง้อ
=> กลอนคลายเครียด
=> กลอนให้แง่คิด
=> กลอนอวยพร
=> บทประพันธ์อันน่าประทับใจ
=> กลอนเปล่า
=> เรื่องสั้น แนวนิยาย
-----------------------------
อารมณ์กลอน
-----------------------------
=> การใช้งานบอร์ด-แจ้งปัญหา
=> สมาชิกแนะนำตัว
=> สารบัญกลอน สมาชิกกลอน
=> ห้องเรียนรู้คำประพันธ์
=> โคลง
=> ฉันท์ กาพย์ ร่าย
=> กลบท
=> คำคมอารมณ์กลอน
===> หมวดความรัก
===> หมวดเศร้า - อกหัก
===> หมวดการให้แง่คิด
===> หมวดคลายเครียด
-----------------------------
คุยเรื่องร้อยแปดชาวอารมณ์กลอน
-----------------------------
=> กระดานประชาสัมพันธ์สำหรับสมาชิก
=> คุยได้ทุกเรื่อง
=> ดูหนัง-ฟังเพลง-คลิปความบันเทิง
=> ขอความช่วยเหลือในการแต่งคำประพันธ์
-----------------------------
กฎระเบียบและการจัดการประกวดคำประพันธ์
-----------------------------
=> ห้องประกวดคำประพันธ์
กำลังโหลด...