Username:
Password:
หน้าแรก
ห้องสนทนา
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
เว็บไซต์อารมณ์กลอน เว็บไซต์สำหรับผู้มีกลอนในหัวใจ..
>>
บทกลอนไพเราะ
>>
บทประพันธ์อันน่าประทับใจ
>>
แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
หน้า:
1
2
3
[
4
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒) (อ่าน 37465 ครั้ง)
0 สมาชิก
และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#45 เมื่อ:
11 ธันวาคม, 2561, 09:53:28 AM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
54 แม่ศรีวรรณทอง
เรียกชื่อบ้านและชื่อคลองพ้อง“ลำพูน”
ตามตระกูลแต่หนหลังดังประสงค์
สืบเชื้อสายกันมานานร่วมวรรณวงศ์
ชื่อดำรงจนได้เห็นเป็นอำเภอ
วรรณฟังอยู่ได้รู้ซึ้งถึงคุณค่า
เรื่องล้านนาที่ตาขำนำเสนอ
ผู้นำคดชาติเราหนอขออย่าเจอ
ดั่งท้าวเธอเจ้าเวียงหนาพาวอดวาย
แพล่องธารผ่าน“ไทรงาม”ยามแดดกล้า
ชะแง้หาไม่เห็นไทรชวนใจหาย
เห็นแต่ไซใช้ดักปลาทั้งขวาซ้าย
หรือความหมายแต่เดิมมาว่า“ไซงาม”
ประวัติบ้านย่านถิ่นคลองต้องเขียนไว้
เกินร้อยปียากที่ใครอยู่ให้ถาม
ที่สำคัญนั้นความหมายได้ตรงความ
มิต้องตามสันนิษฐานบานบุรี
แพล่องผ่านย่านลุ่มต่ำน้ำนองลาด*
ไร้อาวาสทั้งเรือนบ้านย่านไพรศรี
ถึงปากคลองพอมองเห็นเป็นเรือนมี
อันชื่อนี้คือ “ปากเซียด”เสียดแทงใจ
“เซียด”เป็นชื่อของต้นไม้นั้นนัยหนึ่ง
มิได้ซึ้งว่าสัมพันธ์กันไฉน
แต่ยังมีตำนานเก่าเล่าขานไว้
เรื่องเข้ใหญ่ยาวหลายวาจากตามอง
บางคนกล่าวว่าเท่าช้างว่ายหลังโผล่
หรือใหญ่โตเพราะเล่าเติมเพิ่มคูณสอง
เหมือนคนเราคราวจับปลาในลำคลอง
หลุดมือต้องได้คุยโวโตทุกที
อันคำคนเล่าข่าวความตามตลาด
เพิ่มขนาดมักต่อเสริมและเติมสี
จงฟังหูเอาไว้หูดูให้ดี
อย่าไปผลีผลามเชื่อมิเหลือเชิง
ลางคนชอบยุให้รำตำให้รั่ว
ขืนหลวมตัวตามคำเผาเขาก็เหลิง
บางคนชอบเอาน้ำมันนั้นราดเพลิง
เพื่อนกระเจิงจึงสะใจในสังคม
กลบทกินนรเก็บบัว
อีกนินทามักฉาบทาด้วยยาพิษ
ทำเหมือนมิตรเป็นอมิตรคิดทับถม
อันใดหวังได้อย่าหวังคนชังชม
ซ่อนคารมดูรื่นรมย์แต่ขมใน
แม้แต่ชู้เคยชื่นชู้ชมชูเชิด
คราร้างเริดก็ร้างเริดพิสมัย
พบใหม่ดีเก่าหมดดีมิเยื่อใย
ยากหาใครยกย่องใครด้วยใจจริง
------------------------------- ---------
ลาด ท้องถิ่นภาคใต้หมายถึง ที่ลุ่มต่ำ เมื่อถึงหน้าน้ำจะมีน้ำท่วมทุกปี
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#46 เมื่อ:
13 ธันวาคม, 2561, 10:51:45 AM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ตาขำออกนอกนิทานกล่าวขานไข
ฝากเตือนใจคนรุ่นหลังทั้งชายหญิง
เรื่องเข้ใหญ่ความทั้งหลายให้ประวิง
ข้อที่เข้นั้นเชื่องยิ่งไม่กัดใคร
ยามดุร้ายเขาก็ว่าโดนปรามาส
บางคนอาจหลงเชื่อตามคำพูดได้
เดรัจฉานนั้นมิควรด่วนวางใจ
จงเลี่ยงไปอย่าทายท้ากล้าเผชิญ
“พ่อท่านเซียด”อีกตำนานเล่ากันว่า
อยู่วัดเซียดเรืองฤทธาทางเหาะเหิน
ท่านเลี้ยงช้างไว้เชือกใหญ่วัยจำเริญ
งายาวเกินเลี้ยงด้วยว่านด้านพลัง
สวมตะกรุดเป็นของขลังครั้งเยาว์วัย
ครั้นเป็นหนุ่มหนังหุ้มไว้อยู่ใต้หนัง
ทั้งปืนผาหรือหน้าไม้ให้ประดัง
แม้โดนจังไม่ระคายแค่แสบคัน
ชอบท่องดงแดนพงไพรไม่ดุร้าย
แต่อย่าหมายจะประณามหรือหยามหยัน
คราหนึ่งได้ท่องเที่ยวป่าพนาวัน
ลุเขตขัณฑ์ของจังหวัดพัทลุง
พ่อท่านแห่งวัดเขาอ้อย่อพสุธา
ท่านลือชาด้านมนต์เวทย์เดชเรืองรุ่ง
มิใช้ผิดคิดช่วยชาติศาสน์บำรุง
ชนจึงมุ่งใจนบน้อมค้อมบูชา
สองพ่อท่านนั้นสนิทเป็นมิตรมั่น
สานสัมพันธ์ช่วยสืบสานพระศาสนา
เคยร่วมเพียรเล่าเรียนเวทย์วิทยา
สองศึกษาจากอาจารย์ท่านเดียวกัน
เมื่อเห็นช้างพ่อท่านผ่านเหมือนการนัด
“พ่อท่านวัดเขาอ้อ”ก็เสกสรร
ลองวิชามนต์วิเศษเวทยันต์
กะลานั้นเสกสามรอบครอบคชา
พ่อท่านเซียดท่านเก่งกล้าวิชาฌาน
จึงจัดการผูกเรือมนต์ด้นเวหา
เรือวิเศษวิ่งด้วยเวทย์และมนตรา
ผ่านทุ่งคลองหนองน้ำท่าฝ่าอรัญ
ขึ้นข้ามเนินเหินผาหาดลาดไศล
มุ่งตรงไปมิลดเลี้ยวเที่ยวเหหัน
มนต์เภตราถึงที่หมายใกล้ครึ่งวัน
ได้พบกันสองพ่อท่านยามชรา
ปรารภธรรมคำสังขารมิเที่ยงแท้
พอพ้นแก่แล้วต้องตายไม่เห็นหน้า
สองพ่อท่านเดินคู่กันเปิดกะลา
ช้างสง่าทั้งสูงใหญ่ออกไปพลัน
ชาวบ้านถึงตลึงงันทั้งลานวัด
แพร่สะพัดเรืองมนต์เวทย์วิเศษสรรค์
มิทันต่อข้อนิทานนั้นยาวครัน
ถึงผาชันแพบังเงา “เขาหัวควาย”
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#47 เมื่อ:
13 ธันวาคม, 2561, 10:57:27 AM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ตาขำออกนอกนิทานกล่าวขานไข
ฝากเตือนใจคนรุ่นหลังทั้งชายหญิง
เรื่องเข้ใหญ่ความทั้งหลายให้ประวิง
ข้อที่เข้นั้นเชื่องยิ่งไม่กัดใคร
ยามดุร้ายเขาก็ว่าโดนปรามาส
บางคนอาจหลงเชื่อตามคำพูดได้
เดรัจฉานนั้นมิควรด่วนวางใจ
จงเลี่ยงไปอย่าทายท้ากล้าเผชิญ
“พ่อท่านเซียด”อีกตำนานเล่ากันว่า
อยู่วัดเซียดเรืองฤทธาทางเหาะเหิน
ท่านเลี้ยงช้างไว้เชือกใหญ่วัยจำเริญ
งายาวเกินเลี้ยงด้วยว่านด้านพลัง
สวมตะกรุดเป็นของขลังครั้งเยาว์วัย
ครั้นเป็นหนุ่มหนังหุ้มไว้อยู่ใต้หนัง
ทั้งปืนผาหรือหน้าไม้ให้ประดัง
แม้โดนจังไม่ระคายแค่แสบคัน
ชอบท่องดงแดนพงไพรไม่ดุร้าย
แต่อย่าหมายจะประณามหรือหยามหยัน
คราหนึ่งได้ท่องเที่ยวป่าพนาวัน
ลุเขตขัณฑ์ของจังหวัดพัทลุง
พ่อท่านแห่งวัดเขาอ้อย่อพสุธา
ท่านลือชาด้านมนต์เวทย์เดชเรืองรุ่ง
มิใช้ผิดคิดช่วยชาติศาสน์บำรุง
ชนจึงมุ่งใจนบน้อมค้อมบูชา
สองพ่อท่านนั้นสนิทเป็นมิตรมั่น
สานสัมพันธ์ช่วยสืบสานพระศาสนา
เคยร่วมเพียรเล่าเรียนเวทย์วิทยา
สองศึกษาจากอาจารย์ท่านเดียวกัน
เมื่อเห็นช้างพ่อท่านผ่านเหมือนการนัด
“พ่อท่านวัดเขาอ้อ”ก็เสกสรร
ลองวิชามนต์วิเศษเวทยันต์
กะลานั้นเสกสามรอบครอบคชา
พ่อท่านเซียดท่านเก่งกล้าวิชาฌาน
จึงจัดการผูกเรือมนต์ด้นเวหา
เรือวิเศษวิ่งด้วยเวทย์และมนตรา
ผ่านทุ่งคลองหนองน้ำท่าฝ่าอรัญ
ขึ้นข้ามเนินเหินผาหาดลาดไศล
มุ่งตรงไปมิลดเลี้ยวเที่ยวเหหัน
มนต์เภตราถึงที่หมายใกล้ครึ่งวัน
ได้พบกันสองพ่อท่านยามชรา
ปรารภธรรมคำสังขารมิเที่ยงแท้
พอพ้นแก่แล้วต้องตายไม่เห็นหน้า
สองพ่อท่านเดินคู่กันเปิดกะลา
ช้างสง่าทั้งสูงใหญ่ออกไปพลัน
ชาวบ้านถึงตลึงงันทั้งลานวัด
แพร่สะพัดเรืองมนต์เวทย์วิเศษสรรค์
มิทันต่อข้อนิทานนั้นยาวครัน
ถึงผาชันแพบังเงา “เขาหัวควาย”
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รอยทรายบนสายลม
,
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#48 เมื่อ:
14 ธันวาคม, 2561, 10:58:28 AM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ตกเย็นย่ำตะวันรอนอ่อนแสงใส
แม้ล่องไปฝ่ามืดถึงซึ่งที่หมาย
การตรวจรับนับเมตรซุงคงวุ่นวาย
รอให้สายวันพรุ่งนี้มีเวลา
ส่งสัญญาณให้หยุดแพแลถึงท้าย
เมื่อเตรียมหวายออกยืนรอพอพร้อมหน้า
จึงโจนลงโยงแพเลยเหมือนเคยมา
ขอที่พักจาก “พ่อตาเขาหัวควาย”
กินอาหารฟังนิทานงานตาขำ
นิทานธรรมเรื่องเก่ามีดีหลากหลาย
เรากำเนิดมีเกิดแก่แลเจ็บตาย
เรื่องมากมายอย่าเผาไฟไปกับโลง
กลบทกบเต้นต่อยหอย.
ยกหมู่บ้านย่านมิใหญ่ไกลถนน
บ่เรือยานบ้านรถยนต์ที่โอ่โถง
มีกระต๊อบหมอบกระแตแคร่ผูกโยง
ลำประโดงลงประดาหาปลาปู
ทรัพย์ในดินสินในดงพงป่ากว้าง
เริ่มหน้าใสไร่นาสร้างเลี้ยงไก่หมู
สองเจ้าบ้านสานใจแบ่งแหล่งอูฟู
ได้ทำกินดินที่กูมึงไม่มี
จนวันหนึ่งจึงวันนั้นสวรรค์โปรด
ออกโฉนดโอดฉันนะเจ้าของที่
มิตรไร้ค่ามาระคางหมางไมตรี
ถนนมาฐานะมีที่เป็นทอง
ผืนใหญ่นักพักหยุดนามาแบ่งขาย
ริมทางสวยรวยทุกสายขายเป็นห้อง
สิ้นที่เดิมเสริมที่ดินสินชายคลอง
เข้าจดแจ้งแข่งจับจองเขาหนองบึง
แข่งกันชัดขัดกันชั่วมั่วโลภมาก
โกรธกันแย่แก้กันยากคาดไม่ถึง
เสียทนายสายถนัดมิคำนึง
พลาดแล้วตันพลันล้มตึงทั้งสองครัว
สุดหลังเขาเสาลงข้างสร้างกระต๊อบ
เพื่อนเก่าชังพังกลับชอบปลอบสุมหัว
ย้อนทวนความยามที่คว้างเคยสร้างตัว
คิดแต่ชั่วขั้วแต่ชังซังกะตาย
อันคนเราคราวจนยากมากมายมิตร
มีน้ำจิตและจริงใจไม่เสียหาย
พอมั่งมีมักเพลิดเพลินเงินเป็นนาย
ลืมความหมายอันยิ่งใหญ่ของไมตรี
เห็นจริงด้วยคนยิ่งรวยก็ยิ่งงก
ใช่หยิบยกว่ากล่าวใครให้เสื่อมศรี
สะสมทรัพย์สินเงินทองกองทวี
ตายเป็นผีพอถูกเผาอดเอาไป
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#49 เมื่อ:
15 ธันวาคม, 2561, 09:24:11 AM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 57
ปลดแพลา “เขาหัวควาย”ในรุ่งเช้า
มีแต่เขาหัวไม่เห็นเป็นตรงไหน
สิ่งเดียวกันต่างมุมมองต้องเข้าใจ
คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันวันชีพวาย
กลบทมยุราฟ้อนหาง.
ใดใดเป็นอนิจจังทั้งสิ้นสิ้น
เคยเคยเห็นทั้งเคยยินจำหมายหมาย
ติติติงทั้งเหยียบย่ำทำลายลาย
มองมองกันด้านเสียหายด้านเดียวเดียว
พอพอสิ้นชีพดิ้นดับกลับเชิดเชิด
ชมชมเห็นยกเป็นเลิศใครเหลียวเหลียว
ลับลับลาหาซึ้งใจไม่เจียวเจียว
ดีดีสมชมเลยเชียวก่อนตายตาย
พอพ้นผ่านย่านผาชันด้านฝั่งขวา
เหลียวกลับมาเห็นลำธารนั้นอีกสาย
ตาขำอ้างถึง “บางอ้อ”อ๋ออ้อราย
คือความหมายที่ยึดถือเป็นชื่อบาง
ใกล้ที่หมายใจเร่งเร้าเอาตึ๊กตั๊ก
แต่ช้านักด้วยกระแสแม่น้ำกว้าง
น้ำทะเลคงหนุนมาพาย้อนทาง
ตามิวางเล็งเบื้องหน้าสุดตามอง
ย่าน “เชอบาย”มีความหมายว่าชักช้า
สานกระเชอสบายอุราเสร็จถึงสอง
จนถึงย่านบ้านมากมายอยู่ชายคลอง
ร้านขายของทั้งซ้ายขวา“ท่าตะเภา”
แต่ก่อนมาเป็นท่าน้ำทำเรือใบ
เรือลำใหญ่ลำมีหลายกระโดงเสา
“ตะ”หรือ “สำ”คำไหนผิดโปรดคิดเอา
แต่ก่อนเก่าการค้าขายต้องใช้เรือ
ไปต่างเมืองจะน้อยใหญ่ไร้ถนน
ยุครถยนต์สำเภาหายไม่ใคร่เหลือ
รถเร็วกว่าก็เลยว่า “อืดเรือเกลือ”
ช้าน่าเบื่อหนักจึงใช้ในทะเล
ใกล้ปลายทางวรรณยังงงคิดสงสัย
จะเริ่มต้นที่ตรงไหนให้หันเห
ใกล้หรือไกลมิอาจจะคาดคะเน
หากซวนเซเกิดล้มไข้ใครดูแล
แล้วแว็บหนึ่งจากก้นบึ้งของความคิด
ยังมีมิตรน่าผ่อนคลายทุกข์ได้แน่
อยู่ท่าข้ามถามหาได้ไม่เชือนแช
คงช่วยแก้หนักให้หายกลายเป็นเบา
แต่คิดคิดยังหวั่นหวั่นพรั่นดวงจิต
ถูกหรือผิดที่มุ่งหน้าไปหาเขา
ขอพึ่งพาให้แนะนำภูมิลำเนา
แค่เพียงเรารู้ทางไปได้ก็พอ
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#50 เมื่อ:
17 ธันวาคม, 2561, 01:48:15 PM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ครั้นคิดได้วิตกหายคลายกังวล
เป็นกุศลจริงจริงแท้แน่แล้วหนอ
ใกล้ท่าข้ามลาตาขำน้ำตาคลอ
ขึ้นเรือต่อที่ขวักไขว่วิ่งไปมา
เรือถึงหน้าบ้านท่าข้ามพอถามไถ่
คนที่มีอัชฌาศัยพาไปหา
พรหมลิขิตช่างขีดเส้นเกณฑ์ชะตา
ให้พบหน้าด้วยกรรมหนุนบุญบันดาล
ธนุ เสนสิงห์ 59
ตอนที่ ๕ กุมภีล์หลุมพราง
กลบทม้าเทียมรถ
แสนดีใจยามเมื่อได้มาพบพักตร์
พบพักตร์น้องที่ปองรักสมัครสมาน
สมัครสมานฝันใฝ่หามาเนิ่นนาน
เนิ่นนานวันที่ผันผ่านร้าวรานใจ
รานใจร้าวเศร้าดวงจิตยิ่งคิดหวั่น
คิดหวั่นว่าถึงวันนั้นเป็นไฉน
เป็นไฉนไม่แปรผันมั่นฤทัย
มั่นฤทัยถึงอย่างไรพี่รักจริง
สาววรรณแม้นแสนดีใจแต่ไหวหวั่น
ความผูกพันสิ่งผิดถูกลูกผู้หญิง
แต่พญาคว้าโอกาสปราศคู่ชิง
ทำทุกสิ่งทุกทุกทางสร้างสายใย
ถือว่านางมุ่งมาหาในครานี้
เป็นสิ่งดีอนาคตต้องสดใส
หวังสร้างฐานรักปักลงตรงกลางใจ
ของนางไม่ต้องรอท่าไปค้าความ
ทั้งตื่นเต้นและยินดีกุลีกุจอ
เอ้อเอออออึกอึกอักแล้วซักถาม
สาววรรณบอกที่ต้องพรากจากเขตคาม
จะไปตามคำมั่นไว้ให้สัญญา
กับพ่อแม่แต่เมื่อครั้งท่านยังอยู่
อัฐิสู่ตระกูลหลังดังปรารถนา
มารดานั้นอยู่วัดพระธาตุไชยา
ส่วนบิดาอยู่วัดธาตุเมืองนคร*
ร่วมกับมูลตระกูลตนพ้นปู่ตา
ขอขมาที่ล่วงล้ำต่อคำสอน
บ้านเก่าท่านทั้งมารดาและบิดร
มิรู้ก่อนยังอับจนซึ่งหนทาง
พญาตอบอย่างปลอบโยนให้โอนอ่อน
พักผ่อนก่อนนะขวัญตาอย่าหมองหมาง
พี่นี้หนอขออาสาพาน้องนาง
อย่าระคางมิต้องมีที่หนักใจ
สั่งแม่บ้านจัดห้องหับต้อนรับสาว
แม่บ้านย้ำถามอีกคราวว่าห้องไหน
ยังยืนยันห้องนั้นไม่เคยให้ใคร
เผยความนัยให้แม่บ้านนั้นได้ฟัง
-------------------------------
นคร จังหวัดนครศรีธรรมราช คำเรียกของคนภาคใต้ จะเป็นคำที่ยาวแค่ไหนจะเรียกให้สั้นที่สุดแต่ได้ความหมาย
ถ้าหากจะเป็นการสื่อความหมายที่อาจทำให้เกิดความสับสนได้ ก็จะใช้คำเต็มหรือใช้คำอื่นมาประกอบ
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#51 เมื่อ:
18 ธันวาคม, 2561, 01:11:29 PM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
เรือกลไฟพี่จะไปเตรียมเอาไว้
ออกเดินทางกันวันใดคิดภายหลัง
คัดกัปตันพร้อมต้นหนคนชื่อดัง
จะกี่ตังค์ขอให้ท่านชำนาญชล
น้องจงได้เข้าพักผ่อนหย่อนกายา
พอบ่ายคล้อยค่อยพบหน้ากันอีกหน
เจรจากินอาหารกันสองคน
เรื่องเตรียมตนกันอย่างไรได้หารือ
มิรอช้าแม่บ้านพาวรรณผันผาย
ตะกร้าหวายรีบคว้าไว้หมายช่วยถือ
วรรณมิวางนางอาสามาจูงมือ
เธอนั้นคือหญิงแรกที่มีมาเรือน
ด้วยดีใจจิตมั่นหมายคือนายหญิง
เป็นบ้านจริงให้เลิศเลอเสมอเหมือน
นายผู้ชายไม่อยู่บ้านนานนับเดือน
เลิกแชเชือนเถลไถลใจคลอนแคลน
ตะลึงลานเห็นบ้านช่องทุกห้องหับ
แต่งประดับของล้ำค่าราคาแสน
ดูใหญ่โตช่างโอฬารปานเมืองแมน
ต่างจากแดนปากอีปันอันเคยชิน
เมื่อเดินผ่านอาคารใหญ่ในสถาน
โต๊ะอาหารตั้งข้างหน้าเป็นม้าหิน
เข้าห้องซ้ายวรรณตื่นใจคล้ายโบยบิน
ห้องขวายินว่าเป็นห้องของพญา
เห็นเตียงตั่งทั้งม่านย้อยห้อยวิจิตร
ไม่เคยคิดได้พบผ่านแม้ฝันหา
แม่บ้านบอกหลังอาบน้ำฉ่ำอุรา
เชิญออกมาได้รับประทานอาหารกัน
แล้วจะได้เข้าพักผ่อนหย่อนใจกาย
ตกเย็นนายจึงจะมาพาสังสรรค์
เมื่อแม่บ้านลาจากไปแล้วใจววรรณ
ยังงงงันนี่ฝันไปหรือไรนา
หลังอาหารวรรณพักให้หายเหนื่อยอ่อน
วางไว้ก่อนเรื่องโศกสุขทุกปัญหา
สะดุ้งตื่นต้องฝืนกายได้เวลา
เสียงแม่บ้านเปล่งวาจาหน้าประตู
วรรณขานรับรีบอาบน้ำแล้วประแป้ง
มิต้องแต่งจนมากมายให้สวยหรู
เปิดห้องสาวก้าวออกมาพญาดู
จ้องนางอยู่ไม่คลาดตาหน้ายิ้มพราย
อาหารนั้นได้คัดสรรค์อันยอดเยี่ยม
ซึ่งจัดเตรียมเอาไว้มากจนหลากหลาย
ไม้ผลทั้งเครื่องดื่มตั้งวางเรียงราย
กล่าวทักทายพญาน้อมพร้อมเชื้อเชิญ
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#52 เมื่อ:
21 ธันวาคม, 2561, 10:55:42 AM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 61
เก้าอี้ว่างตัวเดียวอยู่คู่ด้านข้าง
ดูท่าทางของสาววรรณนั้นเคอะเขิน
การต้อนรับขับสู้ดูหรูเจริญ
ออกจะเกินฐานะตนจนเกรงใจ
แม่บ้านมาตักข้าวให้ไว้ตรงหน้า
สองร่วมวงเจรจาอัชฌาศัย
พญาขอให้วางตนเป็นคนใน
เรื่องอันใดมิมีสิ่งต้องกริ่งเกรง
หลังอาหารจึงชวนวรรณชมตลาด
ชวนด้วยดีมิบังอาจจะข่มเหง
วรรณคงต้องรีบรับคำทำครื้นเครง
ยิ่งกันเองจะขัดใจกระไรลง
เหมือนเริ่มก้าวเข้าสู่ความแนบสนิท
อันผูกจิตเหมือนตั้งใจให้ไหลหลง
จนล้ำล่วงห้วงรักหวานอันจำนง
สาวชาวดงมิรู้ซึ้งถึงฤทัย
กลบทตรีประดับ.
ตะวันรอนร่อนร้อนออกแรมร้าง
บังอรอ่อนอ้อนสุดอ้างเหตุไฉน
เพียงเอ่ยคำค่ำค้ำจะนำไป
แต่ก่อนไรไร่ไร้ที่ให้ชม
พอเห็นโอโอ่โอ้แทบปากอ้า
เจรจาจ่าจ้าท่าสุขสม
พรรณนาน่าน้าอภิรมย์
จวนเป็นลมล่มล้มลงกลางใจ
โอ้ตลาดบ้านท่าข้ามในยามค่ำ
ยิ่งงามล้ำเป็นราตรีที่สดใส
เมืองเจิดจ้าฟ้าระยิบพริบแสงไฟ
ต่างกันไกลเป็นอย่างมากกับปากปัน
เห็นร้านโรงโอ่โถงหมดรถขวักไขว่
ช่างกว้างใหญ่ดั่งเมืองแมนแดนสวรรค์
“นายเรือนึก”*ตลาดใหญ่กว้างไกลครัน
อยู่คู่กันกับวิกหนัง “เจริญภิรมย์”*
แวะตลาดจัดซื้อของที่ต้องใช้
ซื้อเสื้อให้วรรณเลือกสวมจนสวยสม
ทั้งเสื้อหนังตั้งใจให้ใส่กันลม
อีกยาอมยากันแพ้แก้เมาเรือ
แล้วชวนกินน้ำแข็งไสใกล้วิกหนัง
ร้านชื่อดังทุกวันขายไม่ใคร่เหลือ
ไปทางไหนใครต่อใครได้จุนเจือ
วรรณต้องเชื่อว่าพญาประชานิยม
--------------------------------------
ตลาดนายเรือ และวิกนายเรือ (เจริญภิรมย์)
สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นของนายนึก เจริญเวช
คนท่าข้ามยุคบุกเบิก
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
ชลนา ทิชากร
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#53 เมื่อ:
24 ธันวาคม, 2561, 10:42:46 AM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
“ควนท่าข้าม”ดูงามเด่นเป็นสง่า
คู่พารา “สวนสราญ”*อันสวยสม
อีก “สะพานจุลจอมเกล้า”*เราชื่นชม
นั่งรับลมชมความงามลำตา
โอ้สายชลช่างชวนยลยามค่ำค่ำ
แสงต้องน้ำงามระยับสลับสี
เรือใหญ่น้อยลอยล่องไปในวารี
ชวนกันชี้ให้ชมเพลินจำเริญใจ
จนดึกดื่นจึงคืนเข้าสู่เคหา
ด้วยแววตาที่เปี่ยมสุขสุดสดใส
กัปตันมาว่าต้นหนเรือกลไฟ
พร้อมจะไปทุกเวลาและนาที
วรรณพญาร่วมปรึกษาหารือกัน
อยากไปพลันเพราะกังวลชลวิถี
แต่ควรพักผ่อนกายาครึ่งราตรี
ทั้งสองจึงจรลีเข้าห้องนอน
แต่เช้าตรู่เมื่อทั้งคู่ออกจากห้อง
เห็นขนของกันวุ่นวายรายสลอน
ขึ้นรถใหญ่ที่รอท่าจะพาจร
เก๋งตองอ่อนงามหรูเลิศเปิดประทุน
เป็นคันสวยสุดสง่าแห่งท่าข้าม
ญาติให้ความเมตตามาเกื้อหนุน
วรรณขึ้นนั่งพญาสั่งงานชุลมุน
เมื่อล้อหมุนออกมุ่งหน้าไปท่าเรือ
ท่าเรือใหญ่คนมากมีรอที่ท่า
ร้อยไม่ถึงก็คาดว่าห้าสิบเหลือ
พญาได้แจ้งข่าวคราวญาติในเครือ
ว่านิ่มเนื้อนี้คือนางกลางฤทัย
มีญาติกันเพื่อนบ้านเก่าคราวพ่อแม่
อยากมาแลโฉมแม่งามล้ำเพียงไหน
พอได้พบต่างก็ตกตะลึงใจ
เพริศพิไลงามเลิศล้ำสมคำลือ
วรรณอำลาลงเรือไปไม่ชักช้า
กอดตะกร้ามิยอมให้ใครช่วยถือ
เหมือนได้โอบอุ้มพ่อแม่แกด้วยมือ
สิ่งนี้คืองานสำคัญที่ท่านรอ
คุ้มลูกด้วยลูกจะทำให้สำเร็จ
เขาว่าเจ็ดย่านน้ำไกลแค่ไหนหนอ
เรือจากท่ากราบตะกร้าน้ำตาคลอ
วิญญาณพ่อแม่โปรดป้องคุ้มครองกาย
--------------------------------------------------
สวนสราญรมย์ ที่ประทับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
บนควนท่าข้าม เคยใช้เป็นศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี
มาสมัยหนึ่ง ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลรักษาโรคทางจิต
สะพานจุลจอมเกล้า มักเรียกสะพานพระจุลจอมเกล้า
สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำตาปีที่ตำบลท่าข้าม สร้างขึ้น ระหว่างปี
พ.ศ.๒๔๕๓ ถึง พ.ศ.๒๔๕๘ ถูกทิ้งระเบิดเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถึง ๒ ครั้ง
หลังสงครามได้มีการสร้างขึ้นใหม่ ได้เปลี่ยนจากทรงโค้งเป็นทรงเหลี่ยม
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
รพีกาญจน์
,
Mr.music
,
โซ...เซอะเซอ
,
ระนาดเอก
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
ธนุ เสนสิงห์
กิตติมศักดิ์
ออฟไลน์
กระทู้: 1283
ผู้เริ่มหัวข้อนี้
|
|
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
«
ตอบ
#54 เมื่อ:
06 มกราคม, 2562, 12:52:35 PM »
หน้าแรก
Re: แม่ศรีวรรณทอง ตำนานบ้านย่านดินแดง (พิมพ์ครั้งที่ ๒)
ธนุ เสนสิงห์ 63
พญาคอยยืนเป็นเพื่อนเลื่อนมาหา
ใจอยากแอบแนบกายาเหมือนมั่นหมาย
เรือกลไฟพลังไอน้ำอธิบาย
ฟังบรรยายวรรณมองไกลไม่พริบตา
เห็นทะเลเป็นครั้งแรกในชีวิต
ดังดวงจิตเคยมุ่งมาดปรารถนา
ดูเวิ้งว้างฝั่งสมุทรสุดคณนา
เห็นขอบฟ้าโค้งลงครอบขอบทะเล
คลื่นกระฉอกหัวเรืออยู่ดังซู่ซ่า
เรือโคลงมาแล้วโคลงไปใจโหวเหว
ช่างกว้างใหญ่เกินใจจะคาดคะเน
แต่เหมือนเปลแกว่งซ้ายขวาน่ารำคาญ
วรรณชอบดูหมู่ปักษาถลาลม
แล้วดิ่งจมลงจับปลาเป็นอาหาร
จนพญาเตือนว่าหากตากลมนาน
เดี๋ยวจะพาลให้ป่วยไข้กลางสายชล
สาววรรณจึงซึ้งถึงคำพญาว่า
เริ่มเหว่ว้าหวิวหวิวไหวไม่เห็นหน
พลังลมคลื่นหันเหทะเลวน
อิทธิพลเหนือคนใดในทะเล
เริ่มคลื่นไส้ใกล้อาเจียนจะโอ้กอ้าก
ฝืนหุบปากแสร้งยิ้มยวนให้สรวลเส
แต่ภายในท้องไส้นั้นมันรวนเร
แล้วโซเซกลับเข้าห้องอย่างว่องไว
อยู่ในห้องรู้สึกเหียนมิได้หาย
ศูนย์ร่างกายนั้นไม่รู้อยู่ตรงไหน
เรือขึ้นลงเดี๋ยวโคลงมาพาโคลงไป
กลั้นไม่ไหวขย้อนท้องต้องอาเจียน
พญาพาพยุงไปใกล้หน้าต่าง
มิได้ห่างห่วงทูนหัวที่คลื่นเหียน
ยาดมส่งคงลูบหลังยังวนเวียน
เริ่มบทเรียนแนบสัมผัสรัดกายา
พยุงให้เอนกายลงตรงกลางเรือ
แม่บุญเหลือช่างกระไรไร้เดียงสา
แล้วประคองขึ้นอีกครั้งทั้งป้อนยา
หลับเถิดหนาตื่นขึ้นเมาคงเบาบาง
“อ่าวบ้านดอน”ดูเวิ้งว้างแผ่นดินเว้า
เรือเบนหัวมุ่งหน้าเข้า “อ่าวท่าฉาง”
บ่ายใกล้เย็นเริ่มเห็น“แหลมโพธิ์”รางราง
เล็งตรงกลางให้เข้าช่อง“คลองพุมเรียง”
ทวนน้ำไหลไปเรื่อยเรื่อยเอื่อยเฉื่อยวิ่ง
เรือเริ่มนิ่งปล่องควันไฟได้ลดเสียง
แม้สาววรรณดูอาการยังโอนเอียง
แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยค่อยคลายลง
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
ระนาดเอก
,
รพีกาญจน์
,
โซ...เซอะเซอ
บันทึกการเข้า
~รวมทุกสำนวนของ"ธนุ เสนสิงห์"ครับ~
หน้า:
1
2
3
[
4
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
บทกลอนไพเราะ
-----------------------------
=> กลอนรัก
=> กลอนเศร้า
=> กลอนคิดถึง
=> กลอนงอนง้อ
=> กลอนคลายเครียด
=> กลอนให้แง่คิด
=> กลอนอวยพร
=> บทประพันธ์อันน่าประทับใจ
=> กลอนเปล่า
=> เรื่องสั้น แนวนิยาย
-----------------------------
อารมณ์กลอน
-----------------------------
=> การใช้งานบอร์ด-แจ้งปัญหา
=> สมาชิกแนะนำตัว
=> สารบัญกลอน สมาชิกกลอน
=> ห้องเรียนรู้คำประพันธ์
=> โคลง
=> ฉันท์ กาพย์ ร่าย
=> กลบท
=> คำคมอารมณ์กลอน
===> หมวดความรัก
===> หมวดเศร้า - อกหัก
===> หมวดการให้แง่คิด
===> หมวดคลายเครียด
-----------------------------
คุยเรื่องร้อยแปดชาวอารมณ์กลอน
-----------------------------
=> ห้องศิลปวัฒนธรรม
===> หมวดการท่องเที่ยว
===> หมวดอาหาร
===> หมวดศิลปกรรม
=> กระดานประชาสัมพันธ์สำหรับสมาชิก
=> คุยได้ทุกเรื่อง
=> ดูหนัง-ฟังเพลง-คลิปความบันเทิง
=> ขอความช่วยเหลือในการแต่งคำประพันธ์
-----------------------------
กฎระเบียบและการจัดการประกวดคำประพันธ์
-----------------------------
=> ห้องประกวดคำประพันธ์
กำลังโหลด...